1
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๙๘-๓๐๐
เหตุใดพระองค์จึงได้สมญานามว่าพระตถาคต
(โลกสูตร ว่าด้วยโลก)
๑. ทรงตรัสรู้อริยสัจสี่
- พระตถาคตตรัสรู้โลกแล้ว.. พรากแล้วจากโลก (ทุกข์)
- ตรัสรู้เหตุเกิดโลกแล้ว.. ละเหตุเกิดโลกได้แล้ว (สมุทัย)
- ตรัสรู้ความดับแห่งโลกแล้ว.. ทำให้แจ้งความดับโลกแล้ว (นิโรธ)
- ตรัสรู้ปฏิปทาเครื่องให้ถึงความดับแห่งโลกแล้ว.. เจริญปฏิปทาเครื่องให้ถึง ความดับแห่งโลกแล้ว (มรรค๘)
๒. ความจริงอันประเสริฐนั้นตถาคตรู้แจ้งแล้วด้วยใจ
สิ่งใดที่โลกพร้อมทั้งเทวโลกมารโลก พรหมโลก ที่หมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์เห็นแล้ว ฟังแล้ว ทราบแล้ว รู้แจ้งแล้ว ถึงแล้ว แสวงหาแล้ว ใคร่ครวญแล้ว ด้วยใจ เพราะสิ่งนั้นพระตถาคต ตรัสรู้แล้ว ฉะนั้น บัณฑิต จึงกล่าวว่า พระตถาคต
๓.
คำพูดของตถาคตย่อมเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น
พระตถาคตย่อมตรัสรู้ อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในราตรีใดและย่อม ปรินิพพาน ด้วย อนุปาทิเสสนิพพานธาตุในราตรีใด ย่อมตรัสบอก แสดงซึ่งพุทธพจน์ อันใดในระหว่างนี้ พุทธพจน์นั้นทั้งหมด ย่อมเป็นอย่างนั้น นั่นแล ไม่เป็นอย่างอื่น ฉะนั้น บัณฑิต จึงกล่าวว่า พระตถาคต
๔.
พระตถาคต ตรัสอย่างใด ทำอย่างนั้น ทำอย่างใด ตรัสอย่างนั้น เพราะเหตุ ดังนั้น บัณฑิตจึงกล่าวว่า พระตถาคต
๕. พระตถาคตทรงครอบงำโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก หมู่สัตว์ พร้อมทั้ง สมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ อันใครๆ ครอบงำไม่ได้ ทรงเห็นโดย ถ่องแท้ ยังอำนาจให้เป็นไปเพราะเหตุนั้น บัณฑิตจึงกล่าวว่า พระตถาคต
.......................................................................................
2
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๑๕
ธรรม ๕ ประการ เป็นไปเพื่อความเสื่อม แก่ภิกษุผู้เสขะ
(เสขสูตรที่ ๑)
ธรรม ๕ ประการ เป็นไปเพื่อความเสื่อม แก่ภิกษุผู้เสขะ (ยังไม่หลุดพ้น)
๑ ยินดีในการก่อสร้าง
๒ ยินดีในการเจรจาปราศรัย
๓ ยินดีในการนอน
๔ ยินดีในการคลุกคลีด้วยหมู่คณะ
๕ ไม่พิจารณาจิตตามที่หลุดพ้นแล้ว
.......................................................................................
3
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๑๕
ธรรม ๕ ประการ เป็นไปเพื่อความเสื่อม แก่ภิกษุผู้เสขะ
(เสขสูตรที่ ๒)
ธรรม ๕ ประการ เป็นไปเพื่อความเสื่อม แก่ภิกษุผู้เสขะ
๑ เป็นผู้มีกิจมาก มีกรณียมาก ไม่ฉลาดในกิจน้อยกิจใหญ่ ละการหลีกออกเร้น
๒ ปล่อยให้วันเวลาล่วงไป เพราะการงาน เล็กน้อย ละการหลีกออกเร้น
๓ คลุกคลีด้วยคฤหัสถ์ และบรรพชิต ด้วยการ คลุกคลีกับคฤหัสถ์ อันไม่สมควร
๔ เข้าไปบ้านในเวลาเช้านัก กลับมาในเวลาสายนัก ละการหลีกออกเร้น
๕ ไม่เป็นผู้ได้ตามปรารถนา ไม่เป็นผู้ได้โดยยาก ได้โดยลำบากซึ่งกถา ที่เป็นไปเพื่อ ขัดเกลากิเลส
.......................................................................................
4
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๒๒-๑๒๖
ศาสดา ๕ จำพวก
(1) ศาสดาบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีศีลไม่บริสุทธิ์
แต่ปฏิญาณว่าเราเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์
(2) ศาสดาบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีอาชีวะไม่บริสุทธิ์
แต่ปฏิญาณว่าเราเป็นผู้มีอาชีวะบริสุทธิ์
(3) ศาสดาบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีธรรมเทศนาไม่บริสุทธิ์
แต่ปฏิญาณว่าเราเป็นผู้มีธรรมเทศนาบริสุทธิ์
(4) ศาสดาบางคนในโลกนี้
เป็นผู้มีไวยากรณ์ (คาถา ภาษา) ไม่บริสุทธิ์
แต่ปฏิญาณว่าเราเป็นผู้มีไวยากรณ์บริสุทธิ์
(5) ศาสดาบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีญาณทัสสนะไม่บริสุทธิ์
แต่ปฏิญาณว่าเราเป็นผู้มีญาณทัสสนะบริสุทธิ์
ส่วน ตถาคต
เราเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ ปฏิญาณว่าเราเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ และว่าศีลของเราบริสุทธิ์ ผุดผ่องไม่เศร้าหมอง
เราเป็นผู้มีอาชีวะบริสุทธิ์ ปฏิญาณว่า....
เราเป็นผู้มีธรรมเทศนาบริสุทธิ์ ปฏิญาณว่า....
เราเป็นผู้มีไวยากรณ์บริสุทธิ์ ปฏิญาณว่า....
เราเป็นผู้มีญาณทัสสนะบริสุทธิ์ ปฏิญาณว่า เราเป็นผู้มีญาณทัสสนะบริสุทธิ์
ว่าญาณทัสสนะของเราบริสุทธิ์ ผุดผ่อง ไม่เศร้าหมอง
.......................................................................................
5
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๔๘
สุขของสมณะ
(สมณทุกขสูตร)
สุขของสมณะ ๕ ประการนี้ ๕ ประการเป็นไฉน คือ
๑ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้สันโดษด้วยจีวรตามมีตามได้
๒ เป็นผู้สันโดษด้วยบิณฑบาตตามมีตามได้
๓ เป็นผู้สันโดษด้วยเสนาสนะตามมีตามได้
๔ เป็นผู้สันโดษด้วยคิลานปัจจัยเภสัชบริขารตามมีตามได้
๕ ยินดีประพฤติพรหมจรรย์
.......................................................................................
6
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๔๘-๑๔
บุคคล ๕ จำพวกที่ต้องไปอบาย
(ปริกุปปสูตร)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๕ จำพวกนี้ เป็นผู้ต้องไปอบาย ต้องไปนรก
เดือดร้อน แก้ไขไม่ได้ ๕ จำพวกเป็นไฉน คือ
๑ บุคคลผู้ฆ่ามารดา
๒ ผู้ฆ่าบิดา
๓ ผู้ฆ่าพระอรหันต์
๔ ผู้มีจิตประทุษร้ายทำโลหิตของพระตถาคตให้ห้อ
๕ ผู้ทำลายสงฆ์ให้แตกกัน
..................................................................................
7
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๖๐-๑๖๔
ช้างที่ไม่ควรแก่พระราชา กับ ภิกษุที่ไม่ควรต้อนรับ
(อักขมสูตร)
ช้างที่ไม่ควรแก่พระราชา
๑ ไม่อดทนต่อรูป ...เห็นกองพลช้าง กองพลม้า แล้วหยุดนิ่ง สะทกสะท้าน
๒ ไม่อดทนต่อเสียง ...ได้ยินเสียงกองพลช้าง กองพลม้า แล้วหยุดนิ่ง สะทกสะท้าน
๓ ไม่อดทนต่อกลิ่น ...ได้กลิ่นมูตรและคูถของช้างข้าศึก แล้วหยุดนิ่ง สะทกสะท้าน
๔ ไม่อดทนต่อรส ... ไม่ได้กินอาหาร เพียงคืนหนึ่ง ๒ คืน... แล้วหยุดนิ่ง สะทกสะท้าน
๕ ไม่อดทนต่อโผฏฐัพพะ ...ถูกเขายิงด้วยลูกศรครั้งหนึ่ง ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง ..แล้วหยุดนิ่ง สะทกสะท้าน
ภิกษุไม่ควรต้อนรับ ไม่ควรแก่ของทำบุญ
๑ เป็นผู้ไม่อดทนต่อรูป ....เห็นรูปแล้วกำหนัด ไม่ตั้งจิตไว้โดยชอบ
๒ ไม่อดทนต่อเสียง ...ฟังเสียงด้วยหูแล้วกำหนัดในเสียง
๓ ไม่อดทนต่อกลิ่น... สูดกลิ่นด้วยจมูกแล้วกำหนัดในกลิ่น
๔ ไม่อดทนต่อรส ...ลิ้มรสด้วยลิ้นแล้ว ย่อมกำหนัดในรส
๕ ไม่อดทนต่อโผฏฐัพพะ... ถูกโผฏฐัพพะด้วยกายแล้ว ย่อมกำหนัด
..................................................................................
8
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๗๒-๑๗๓
ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งที่เป็นปฏิกูลและไม่เป็นปฏิกูล
(ติกัณฑกีสูตร)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ขอภิกษุพึงเป็นผู้มีความสำคัญในสิ่งอันไม่เป็นปฏิกูลว่าเป็นสิ่งปฏิกูล อยู่ตลอดกาล
ขอภิกษุพึงเป็นผู้มีความสำคัญในสิ่งอันเป็นปฏิกูลว่าไม่เป็นปฏิกูล อยู่ตลอดกาล
ขอภิกษุพึงเป็นผู้มีความสำคัญในสิ่งไม่ปฏิกูล และสิ่งอันเป็นปฏิกูลว่า เป็นปฏิกูลอยู่ ตลอดกาล
ขอภิกษุพึงเป็นผู้มีความสำคัญในสิ่งอันเป็นปฏิกูล และสิ่งอันไม่เป็นปฏิกูลว่า เป็นสิ่งไม่ปฏิกูลอยู่ตลอดกาล
ขอภิกษุพึงเว้นสิ่งทั้งสอง คือ สิ่งไม่ปฏิกูล และสิ่งปฏิกูลแล้ว เป็นผู้มีความวางเฉย มีสติสัมปชัญญะอยู่ตลอดกาล
เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไร ภิกษุจึงควรเป็นผู้มีความสำคัญในสิ่งไม่ปฏิกูล ว่าเป็นสิ่งปฏิกูล เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์นี้ ว่า ความกำหนัด ในธรรมอันเป็นที่ตั้ง แห่งความกำหนัด อย่าเกิดขึ้นแก่เรา ภิกษุจึงควรเป็นผู้มีความ สำคัญ ในสิ่งไม่ปฏิกูล ว่าเป็นสิ่งปฏิกูลอยู่
เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไร ภิกษุจึงควรเป็นผู้มีความสำคัญในสิ่งปฏิกูล ว่าเป็นสิ่งไม่ปฏิกูล เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์นี้ว่า ความขัดเคืองในธรรมอันเป็น ที่ตั้งแห่งความขัดเคืองอย่าเกิดขึ้นแก่เรา ภิกษุจึงควรเป็นผู้มีความสำคัญในสิ่ง ปฏิกูล ว่าเป็นสิ่งไม่ปฏิกูลอยู่
....................................................................................
9
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ หน้าที่ ๑๘๐
เหตุเสื่อมแห่งพระสัทธรรม
(สัทธรรมสัมโมส)
สูตร ๑
๑ ไม่ฟังธรรมโดยเคารพ
๒ ไม่เล่าเรียนธรรมโดยเคารพ
๓ ไม่ทรงจำธรรม ไม่ใคร่ครวญอรรถแห่งธรรม ที่ทรงจำไว้ โดยเคารพ
๔ รู้อรรถรู้ธรรมแล้ว ไม่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม โดยเคารพ
สูตร ๒
๑ ไม่เล่าเรียนธรรม คือ สุตตะ เคยยะ
๒ ไม่แสดงธรรมตามที่ได้ฟังมา ตามที่เล่าเรียนมา
๓ ไม่บอกธรรมตามที่ได้ฟังมา ตามที่ได้เล่าเรียนมา
๔ ไม่ทำการสาธยายธรรมตามที่ได้ฟังมา
๕ ไม่ตรึกตรองไม่เพ่งดูด้วยใจซึ่งธรรม
สูตร ๓
๑ เล่าเรียนพระสูตรที่ทรงจำไว้ไม่ดี ด้วยบท และ พยัญชนะที่ตั้งไว้ไม่ดี
๒ เป็นผู้ว่ายาก
๓ ภิกษุที่เป็นพหูสูต ไม่บอกพระสูตรแก่ผู้อื่น
๔ ภิกษุเป็นผู้มักมาก ประพฤติย่อหย่อน ล่วงละเมิด ทอดธุระในทางวิเวก
๕ สงฆ์เป็นผู้แตกกัน
....................................................................................
10
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๕๑
เหตุเสื่อมของพระสัทธรรม
(กิมพิลสูตร)
อะไรหนอแลเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ พระสัทธรรมดำรงอยู่ไม่นาน ในเมื่อ พระตถาคตปรินิพพานแล้ว
ดูกรกิมพิละ เมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว พวกภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในธรรมวินัยนี้ ไม่เคารพยำเกรง ในศาสดา ในธรรม ในสงฆ์ ในสิกขา และ ไม่มีความยำเกรงกันและกัน
....................................................................................
11
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๘๗
การแสดงธรรมแก่ผู้อื่น
(อุทายิสูตร)
ดูกรอานนท์ การแสดงธรรมแก่ผู้อื่นไม่ใช่ทำได้ง่าย ภิกษุเมื่อจะแสดงธรรม พึงตั้งธรรม ๕ ประการไว้ภายใน แล้วจึงแสดงธรรม คือ ภิกษุพึงตั้งใจว่า
๑ เราจักแสดงธรรมไปโดยลำดับ
๒ เราจักแสดงอ้างเหตุผล
๓ เราจักแสดงธรรมอาศัยความเอ็นดู
๔ เราจักเป็นผู้ไม่เพ่งอามิสแสดงธรรม
๕ เราจักไม่แสดงให้กระทบตนและผู้อื่น
แล้วจึงแสดงธรรมแก่ผู้อื่น
.................................................................................
12
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๐๙
อุบาสกจัณฑาล (ทำตัวเลวทราม)
(จัณฑาลสูตร)
อุบาสกจัณฑาล
๑ อุบาสกเป็นผู้ไม่มีศรัทธา (พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์)
๒ เป็นผู้ทุศีล
๓ เป็นผู้ถือมงคลตื่นข่าว เชื่อมงคลไม่เชื่อกรรม
๔ แสวงหาเขตบุญภายนอกศาสนา
๕ ทำการสนับสนุนในที่นอกศาสนานั้น
อุบาสกแก้ว อุบาสกปทุม อุบาสกบุณฑริก
๑ อุบาสกย่อมเป็นผู้มีศรัทธา
๒ เป็นผู้มีศีล
๓ เป็นผู้ไม่ถือมงคลตื่นข่าว เชื่อกรรมไม่เชื่อมงคล
๔ ไม่แสวงหาเขตบุญภายนอกศาสนา
๕ ทำการสนับสนุนในศาสนา
...............................................................................
13
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๐๘-๒๑๐
เจริญอานาปานสติ ได้อานิสงส์มากกว่าการตักบาตรถวายทาน
(ปีติสูตร)
[๑๗๖] ครั้งนั้น ท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดี แวดล้อมด้วยอุบาสกประมาณ ๕๐๐ คน เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
ดูกรคฤหบดี ท่านทั้งหลายได้บำรุงภิกษุสงฆ์ด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และ คิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ท่านทั้งหลายไม่ควรทำความยินดี ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ว่า เราได้บำรุงภิกษุสงฆ์ด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลาน ปัจจัย เภสัชบริขาร เพราะเหตุนั้นแหละ ท่านทั้งหลายควรสำเหนียกอย่างนี้ว่า พวกเรา พึงเข้าถึงปีติที่เกิด แต่วิเวกอยู่ตามกาลอันสมควร ด้วยอุบายเช่นไร ท่านทั้งหลายพึงสำเหนียกอย่างนี้แล
(ไม่ควรยินดีเพียงว่าได้บำรุงสงฆ์ ได้ตักบาตรถวายทาน แต่ควรเจริญอานาปานสติ เข้าถึง ความวิเวก ความปิติแห่งจิต ในปฐมฌาน ย่อมได้อานิสงส์มากกว่าการ ตักบาตร ถวายทาน หลายเท่านัก)
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระสารีบุตรได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ไม่เคยมีมาแล้ว ตามที่พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระดำรัสนี้ว่า
ดูกรคฤหบดี ท่านทั้งหลายได้บำรุง ภิกษุสงฆ์ด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร เพราะเหตุนั้นแหละ ท่านทั้งหลายควรสำเหนียกอย่างนี้ว่า พวกเราพึงเข้าถึงปีติที่เกิดแต่วิเวกอยู่ ตามกาลอันสมควร ด้วยอุบายเช่นไร ท่านทั้งหลาย พึงสำเหนียกอย่างนี้แล
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สมัยใด อริยสาวกย่อมเข้าถึงปีติที่เกิดแต่วิเวกอยู่ สมัยนั้น ฐานะ ๕ ประการ ย่อมไม่มีแก่อริยสาวกนั้น
คือ สมัยนั้น
๑ ทุกข์ โทมนัส อันประกอบ ด้วยกาม
๒ สุข โสมนัส อันประกอบ ด้วยกาม
๓ ทุกข์ โทมนัสอันประกอบ ด้วยอกุศล
๔ สุข โสมนัสอันประกอบ ด้วยอกุศล
๕ ทุกข์ โทมนัสอันประกอบด้วยกุศล ย่อมไม่มีแก่อริยสาวกนั้น
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สมัยใด อริยสาวกย่อมเข้าถึงปีติที่เกิดแต่วิเวกอยู่ สมัยนั้น ฐานะ ๕ ประการนี้ ย่อมไม่มีแก่อริยสาวกนั้น
พ. ดีละๆ สารีบุตร สมัยใด อริยสาวกย่อมเข้าถึงปีติที่เกิดแต่วิเวกอยู่ ...
ดูกรสารีบุตร สมัยใด อริยสาวกย่อมเข้าถึงปีติที่เกิดแต่วิเวกอยู่ สมัยนั้นฐานะ ๕ ประการนี้ ย่อมไม่มีแก่อริยสาวกนั้น
...............................................................................
14
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๒๗-๒๒๘
ธรรม ๕ ประการของพราหมณ์เปรียบเทียบกับสุนัข
(โสณสูตร )
ธรรมพราหมณ์ เมื่อก่อน-กับบัดนี้
๑ เมื่อก่อนจะสมสู่กับพราหมณีด้วยกัน หญิงอื่นไม่ ..บัดนี้ ไม่เลือก
๒ เมื่อก่อนจะสมสู่กะพราหมณีที่มีระดูเท่านั้น...บัดนี้สมสู่ทั้งมีและไม่มีระดู
๓ เมื่อก่อนไม่ซื้อไม่ขายพราหมณี ...บัดนี้ ซื้อบ้าง ขายบ้าง
๔ เมื่อก่อนไม่สะสม ทรัพย์ ข้าวเปลือก เงินบ้างทอง.. บัดนี้ สะสม
๕ เมื่อก่อนแสวงหาอาหารเย็นเพื่อกินในเวลาเย็น.. บัดนี้บริโภคจนอิ่ม
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมของพราหมณ์ที่เก่าแก่ ๕ ประการนี้แล บัดนี้ย่อม ปรากฏใน พวกสุนัข ไม่ปรากฏในพวกพราหมณ์ (เสื่อมลง กลายเป็นปฏิบัติเหมือนสุนัข)
...............................................................................
15
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๔๗
เหตุให้ตระกูลประสพบุญ
(กุลสูตร )
เมื่อใดบรรพชิตผู้มีศีล เข้าไปหาสกุล
๑ เมื่อสมณะเข้าบ้าน จิตย่อมเลื่อมใส... เป็นไปพร้อมเพื่อสวรรค์
๒ ต้อนรับกราบไหว้ ให้อาสนะ ...เป็นไปพร้อมเพื่อ เกิดในสกุลสูง
๓ กำจัดมลทิน คือความตระหนี่ ..เป็นไปพร้อมเพื่อ เป็นผู้มีศักดิ์ใหญ่ (เกียรติยศสูง)
๔ จัดของถวาย ...เป็นไปพร้อมเพื่อ เป็นผู้มีโภคทรัพย์มาก
๕ ไต่ถาม ฟังธรรม...เป็นไปพร้อมเพื่อ เป็นผู้มีปัญญามาก
...............................................................................
16
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ หน้าที่ ๒๓๕-๒๔๐
อะไรหนอเป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้มนต์ที่สาธยายไว้ไม่แจ่มแจ้ง
(สังคารวสูตร)
สมัยใด
๑ สมัยใด บุคคลมีใจอัน กามราคะ กลุ้มรุมครอบงำอยู่ และไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง
๒ สมัยใด บุคคลมีใจอัน พยาบาท กลุ้มรุมครอบงำอยู่ และไม่รู้ชัดตามเป็นจริง
๓ สมัยใด บุคคลมีใจอัน ถีนมิทธะ กลุ้มรุมครอบงำอยู่ และไม่รู้ชัดตามเป็นจริง
๔ สมัยใด บุคคลมีใจอัน อุทธัจจกุกกุจจะ กลุ้มรุมครอบงำอยู่ และไม่รู้ชัดตามเป็นจริง
๕ สมัยใด บุคคลมีใจอัน วิจิกิจฉา กลุ้มรุมครอบงำอยู่ และไม่รู้ชัดตามเป็นจริง
สมัยนั้น
มนต์แม้ที่ทำการสาธยาย ตลอดกาลนาน ก็ไม่แจ่มแจ้ง
ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ ที่ไม่ทำการสาธยาย
ดูกรพราหมณ์ นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัย (นิวรณ์ ๕)
...............................................................................
17
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๑๐-๓๑๑
เหตุเป็นปัจจัยที่บางครั้งพระธรรมเทศนาแจ่มแจ้ง บางครั้งไม่แจ่มแจ้ง
(ปุณณิยสูตร)
ดูกรปุณณิยะ
ภิกษุเป็นผู้มีศรัทธา.. แต่ไม่เข้าไปหา
เข้าไปหา.. แต่ไม่เข้าไปนั่งใกล้
เข้าไปนั่งใกล้.. แต่ไม่สอบถาม
สอบถาม.. แต่ไม่เงี่ยโสตลงสดับธรรม
เงี่ยโสตลงสดับธรรม.. แต่ฟังธรรมแล้วไม่ทรงจำไว้
ทรงจำไว้... แต่ไม่พิจารณาเนื้อความแห่งธรรม
พิจารณาเนื้อความแห่งธรรมที่ทรงจำ...แต่ไม่รู้อรรถรู้ธรรม (ไม่แยบคาย)
รู้อรรถรู้ธรรมแล้ว...แต่ไม่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
.............................................................................
18
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๔๗-๒๕๐
(P2233)
ว่าด้วยธาตุทั้ง ๕ ที่ต้องสลัดออก
(นิสสารณียสูตร)
๑ เมื่อภิกษุมนสิการถึง กามทั้งหลาย จิตย่อมไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไปใน กามทั้งหลาย แต่เมื่อมนสิการ ถึงเนกขัมมะ จิตของเธอย่อมน้อมไปใน เนกขัมมะ จิตของเธอนั้น ชื่อว่าเป็นจิต ดำเนินไปแล้ว อบรมดีแล้ว
๒ เมื่อภิกษุมนสิการถึง พยาบาท (ความโกรธ ไม่พอใจ)
จิตย่อมไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไป ในพยาบาทแต่เมื่อเธอมนสิการถึงความ ไม่พยาบาท จิตของเธอย่อมน้อมไปในความไม่พยายาท จิตของเธอนั้น ชื่อว่าเป็นจิต ดำเนินไปแล้ว อบรมดีแล้ว
๓ เมื่อภิกษุมนสิการถึง วิหิงสา (ทำร้ายเบียดเบียน)
จิตย่อมไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไป ในวิหิงสาแต่เมื่อเธอมนสิการถึง อวิหิงสา จิตของเธอย่อมน้อมไปในอวิหิงส จิตของเธอนั้น ชื่อว่าเป็นจิต ดำเนินไปแล้ว อบรมดีแล้ว
๔ เมื่อภิกษมนสิการถึง รูปทั้งหลาย จิตย่อมไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไปในรูปทั้งหลายแต่เมื่อเธอมนสิการถึง อรูป จิตของเธอย่อมน้อมไปใน อรูป
จิตของเธอนั้น ชื่อว่าเป็นจิต ดำเนินไปแล้ว อบรมดีแล้ว
๕ เมื่อภิกษ มนสิการถึง สักกายะ (เห็นว่ากายเป็นของตน) จิตย่อมไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไป ในสักกายะแต่เมื่อเธอมนสิการถึง ความดับแห่ง สักกายะ จิตของเธอย่อมน้อมไปในความดับแห่ง สักกาย จิตของเธอนั้น ชื่อว่าเป็นจิต ดำเนินไปแล้ว อบรมดีแล้ว
................................................................................
19
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๖๘-๒๖๙
มาตุคาม(สตรี)เปรียบเหมือนงูเห่า
(สัปปสูตรที่ ๒)
(พระศาสดาเตือนภิกษุไม่ควรเข้าใกล้สตรี เพราะเป็นเครื่องขัดขวางการประพฤติพรหมจรรย์)
โทษในงูเห่า ๕ ประการนี้ ๕ ประการเป็นไฉน
๑ เป็นสัตว์มักโกรธ
๒ มักผูกโกรธ
๓ มีพิษร้าย
๔ มีสองลิ้น
๕ มักประทุษร้ายมิตร
โทษในมาตุคาม ๕ ประการนี้ ฉันนั้นเหมือนกัน
๑ เป็นผู้มักโกรธ
๒ มักผูกโกรธ
๓ มีพิษร้าย
๔ มีสองลิ้น
๕ มักประทุษร้ายมิตร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในโทษ ๕ ประการนั้น ความที่มาตุคามเป็นผู้มีพิษร้าย คือ โดยมากมาตุคามมีราคะจัด ความที่มาตุคามเป็นผู้มีสองลิ้น คือ โดยมากมาตุคาม มีวาจาส่อเสียด ความที่มาตุคามเป็นผู้มักประทุษร้ายมิตร คือ โดยมากมาตุคาม มักประพฤตินอกใจ
ดูกรภิกษุทั้งหลายโทษในมาตุคาม ๕ ประการนี้แล
..............................................................................
20
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ หน้าที่ ๓๑๕-๓๑๘
การเจริญมรณัสสติ
(มรณัสสติสูตรที่๑)
ภิกษย่อมเจริญมรณัสสติ อย่างนี้ว่า
โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้ ตลอดคืนหนึ่งวันหนึ่ง
โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้ตลอดวันหนึ่ง
โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้ชั่วขณะที่ฉัน บิณฑบาตมื้อหนึ่ง
โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้ชั่วขณะ ที่เคี้ยวข้าวสี่คำกลืนกิน
โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้ชั่วขณะ ที่เคี้ยวข้าวคำหนึ่งกลืนกิน
โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้ชั่วขณะ ที่หายใจเข้าแล้วหายใจออก หรือหายใจออก แล้วหายใจเข้า
เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เราจักเป็นผู้ไม่ประมาท จักเจริญมรณัสสติ เพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะ
...............................................................................
21
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ หน้าที่ ๓๗๒-๓๗๓
การพยากรณ์อรหัตผล ของพระเขมะ และพระสุมนะ
(เขมสุมนสูตร)
ท่านพระเขมะ และพระสุมนะ กราบทูลฯ ว่า ภิกษุผู้เป็นพระอรหันตขีณาสพ หลุดพ้นแล้ว ย่อมไม่มีความคิดอย่างนี้ว่า คนที่ดีกว่าเรามีอยู่ คนที่เสมอเรามีอยู่ หรือ คนที่เลวกว่าเรามีอยู่
...พระศาสดาทรงพอพระทัย ครั้นเมื่อท่านเขมะและท่านพระสุมนะ หลีกไปแล้วไม่นาน ทรงตรัส กะภิกษุทั้งหลายว่า กุลบุตรทั้งหลายย่อมพยากรณ์ อรหัตผล อย่างนี้แล พระขีณาสพทั้งหลาย ไม่น้อมตนเข้าไปเปรียบบุคคลที่ดีกว่า ที่เลวกว่า หรือบุคคล ที่เสมอกัน เพราะหลุดพ้นจากสังโยชน์
...............................................................................
22
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ หน้าที่ ๓๘๖-๓๙๐
ความปริวิตกของพระโสนะจนเกือบจะลาสิกขา
(โสณสูตร)
ท่านพระโสณะหลีกออกเร้นอยู่ในที่ลับ เกิดปริวิตกเราเป็นผู้ปรารภความเพียร อยู่ แต่ว่าจิตของเรา ยังไม่หลุดพ้นจากอาสวะ เราพึงบอกคืนสิกขา สึกมาเป็นคฤหัสถ์ เถิด ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาค ทรงทราบปริวิตกแห่งใจของท่าน พระโสณะด้วยพระทัย (ญาณ) แล้วทรงหายจากภูเขาคิชฌกูฏ ไปปรากฏตรงหน้าท่าน พระโสณะ ที่ป่าสีตะวัน
เธอเมื่อก่อนยังอยู่ครองเรือน เป็นผู้ฉลาด ในการดีดพิณ มิใช่หรือ... ทรงอุปมา การปรารภความเพียร เช่นเดียวกับการตั้งสายพิณให้มีเสียงไพเราะ ด้วยการตั้งให้พอดี ไม่หย่อนเกินไป ไม่ตึงเกินไป
ดูกรโสณะ ฉันนั้นเหมือนกันแล ความเพียรที่ปรารภมากเกินไปย่อมเป็นไป เพื่อความฟุ้งซ่าน ความเพียรที่หย่อนเกินไป ย่อมเป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน
ดูกรโสณะ เพราะเหตุนั้นแหละ เธอจงตั้ง ความเพียรให้สม่ำเสมอจงตั้ง อินทรีย์ให้ สม่ำเสมอ และ จงถือนิมิตในความสม่ำเสมอนั้น
สมัยต่อมา พระโสณะได้ตั้งความเพียรให้สม่ำเสมอ ก็แลท่านพระโสณะ ได้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง
...............................................................................
23
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๔๓๖
ภิกษุไม่ละ ธรรม ๖ ประการ ย่อมุไม่ควรบรรลุปฐมฌาน
(ฌานสูตร)
ฌานสูตรที่ ๑
ภิกษุไม่ละ ธรรม ๖ ประการ ย่อมุไม่ควรบรรลุปฐมฌาน
๑. กามฉันทะ (ความพอใจ ติดใจ หลงใหล ในกามโลกีย์)
๒. พยาบาท (คิดร้าย ความไม่พอใจ ไม่สมปรารถนา)
๓. ถีนมิทธะ (ขี้เกียจ ท้อแท้ หมดอาลัย)
๔. อุทธัจจะกุกกุจจะ (ความฟุ้งซ่าน ความคิดซัดส่าย ไม่สงบนิ่ง)
๕. วิจิกิจฉา (ลังเล สงสัย ในคำสอนของพระพุทธเจ้า)
๖. ไม่เห็นโทษในกามทั้งหลาย
ฌานสูตรที่ ๒
ภิกษุ ไม่ละธรรม ๖ ประการ ย่อมเป็นผู้ไม่ควรเพื่อบรรลุปฐมฌาน
๑. กามวิตก (คิดเรื่องกาม)
๒. พยาบาทวิตก (คิดพยาบาท)
๓. วิหิงสาวิตก (คิดเบียดเบียน)
๔. กามสัญญา (จำได้หมายรู้ในรสอร่อยของกาม)
๕. พยาบาทสัญญา (จำได้หมายรู้ ติดใจ ในพยาบาท)
๖. วิหิงสาสัญญา (จำได้หมายรู้ ติดใจ ในการเบียดเบียน)
...............................................................................
24
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๔๕๐-๔๕๑
ฐานะที่ไม่ควรเป็นได้ ๖ ประการ ของบุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิ
(สยกตสูตร)
๑. ไม่เชื่อ ไม่ยึดถือสุขทุกข์ ที่ตนเองกระทำ
๒. ไม่เชื่อ ไม่ยึดถือสุขทุกข์ ที่ผู้อื่นกระทำ
๓. ไม่เชื่อ ไม่ยึดถือสุขทุกข์ ทั้งที่ตนเองกระทำ และที่ผู้อื่นกระทำ
๔. ไม่เชื่อ ไม่ยึดถือสุขทุกข์ ที่เกิดขึ้น ที่ตนเองไม่ได้กระทำ
๕. ไม่เชื่อ ไม่ยึดถือสุขทุกข์ ที่เกิดขึ้น ที่ผู้อื่นไม่ได้กระทำ
๖. ไม่เชื่อ ไม่ยึดถือสุขทุกข์ ที่เกิดขึ้น ที่ตนเองและผู้อื่นไม่ได้กระทำ
(บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิ มีหลายพระสูตร อยู่ในเรื่องคุณสมบัติของของโสดาบัน)
...............................................................................
25
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๔๕๗
ธรรม ๓ ประการอันภิกษุพึงให้เจริญ เพื่อละธรรม ๓ ประการ (สูตร๑)
๑. ราคสูตร
- เจริญ อสุภะ พึงให้เจริญ เพื่อละ ราคะ (ความใคร่ กำหนัด ยินดีในกาม)
- เจริญ เมตตา พึงให้เจริญ เพื่อละ โทสะ (ความโกรธ ไม่พอใจ หงุดหงิด ฉุนเฉียว)
- เจริญ ปัญญา พึงให้เจริญ เพื่อละ โมหะ (ความหลง งมงาย หลงเชื่อ หลงผิด)
๒. ทุจริตสูตร
- กายสุจริต พึงให้เจริญ เพื่อละ กายทุจริต
- วจีสุจริต พึงให้เจริญ เพื่อละ วจีทุจริต
- มโนสุจริต พึงให้เจริญ เพื่อละ มโนทุจริต
๓. วิตักกสูตร
- เนกขัมมวิตก พึงให้เจริญ เพื่อละ กามวิตก
- อัพยาบาทวิตก พึงให้เจริญ เพื่อละ พยาบาทวิตก
- อวิหิงสาวิตก พึงให้เจริญ เพื่อละ วิหิงสาวิตก
๔. สัญญาสูตร
- เนกขัมมสัญญา พึงให้เจริญ เพื่อละ กามสัญญา
- อัพยาบาทสัญญา พึงให้เจริญ เพื่อละ พยาบาทสัญญา
- อวิหิงสาสัญญา พึงให้เจริญ เพื่อละ วิหิงสาสัญญา
๕. ธาตุสูตร
- เนกขัมมธาตุ พึงให้เจริญ เพื่อละ กามธาตุ
- อัพยาบาทธาตุ พึงให้เจริญ เพื่อละ พยาบาทธาตุ
- อวิหิงสาธาตุ พึงให้เจริญเพื่อละ วิหิงสาธาตุ
(เนกขัมม หมายถึง การออกจากกาม ละความพอใจในกาม)
...............................................................................
26
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ หน้าที่ ๔๕๙
ธรรม ๓ ประการอันภิกษุพึงให้เจริญ เพื่อละธรรม ๓ ประการ (สูตร๑)
๖. อัสสาทสูตร
- อนิจจสัญญา พึงให้เจริญ เพื่อละอัสสาททิฐิ (ทิฐิในรสอร่อย)
- อนัตตสัญญา พึงให้เจริญ เพื่อละอัตตานุทิฐิ (ความยึดถือในความมีตัวตน)
- สัมมาทิฐิ พึงให้เจริญ เพื่อละมิจฉาทิฐิ (ความเห็นผิด)
๗. อรติสูตร
- มุทิตา พึงให้เจริญ เพื่อละอรติ (ความไม่ยินดี)
- อวิหิงสา พึงให้เจริญ เพื่อละวิหิงสา (เบียดเบียน)
- ธรรมจริยา พึงให้เจริญ เพื่อละอธรรมจริยา (ประพฤตินอกธรรม)
๘. ตุฏฐิสูตร
- ความเป็นผู้สันโดษ พึงให้เจริญ เพื่อละความเป็นผู้ไม่สันโดษ
- สัมปชัญญะ พึงให้เจริญ เพื่อละความไม่มีสัมปชัญญะ
- ความเป็นผู้มีความปรารถนาน้อย พึงให้เจริญ เพื่อละความเป็นผู้มีความปรารถนามาก
๙. อุทธัจจสูตรที่ ๑
-ความเป็นผู้ว่าง่าย พึงให้เจริญ เพื่อละความเป็นผู้ว่ายาก
-ความเป็นผู้มีมิตรดี พึงให้เจริญ เพื่อละความเป็นผู้มีมิตรชั่ว
-อานาปานสติ พึงให้เจริญ เพื่อละความฟุ้งซ่านแห่งจิต
๑๐. อุทธัจจสูตรที่ ๒
- สมถะ พึงให้เจริญ เพื่อละอุทธัจจะ
- สังวร พึงให้เจริญ เพื่อละอสังวร
- ความไม่ประมาท พึงให้เจริญ เพื่อละความประมาท
...............................................................................
27
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๒๑-๒๒๓
วิบากจากการกระทำ โทษหนัก - อย่างเบา (ถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์)
(สัพพลหุสสูตร)
๑ ปาณาติบาต โทษอย่างหนักไปเกิดในอบาย... โทษอย่างเบา อายุสั้น
๒ อทินนาทาน โทษอย่างหนักไปเกิดในอบาย...โทษอย่างเบา เสื่อมโภคะ
๓ กาเมสุมิจฉาจาร โทษอย่างหนักไปเกิดในอบาย...โทษอย่างเบา มีศัตรูมีเวร
๔ มุสาวาท โทษอย่างหนักไปเกิดในอบาย...โทษอย่างเบา ถูกกล่าวตู่ด้วยคำโกหก
๕ ปิสุณาวาจา โทษอย่างหนักไปเกิดในอบาย...โทษอย่างเบา แตกจากมิตร
๖ ผรุสวาจา โทษอย่างหนักไปเกิดในอบาย... โทษอย่างเบา ได้รับเสียงที่ไม่น่าพอใจ
๗ สัมผัปปลาปะ โทษอย่างหนักไปเกิดในอบาย... โทษอย่างเบา ไม่ใครเชื่อถือ คำพูด
๘ การดื่มน้ำเมา โทษอย่างหนักไปเกิดในอบาย... โทษอย่างเบา เป็นบ้า
มุสา-โกหก ปิสุณวาจา-ส่อเสียด (นินทา) ผรุสวาจา-หยาบคาย (คำด่า) สัมผัปปลาปะ-เพ้อเจ้อ
...............................................................................
28
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ หน้าที่ ๒๓๕-๒๓๘
อุโบสถ ๘ ประการ มีผลมาก มีอานิสงส์มาก (โพชฌาสูตร)
ตรัสกับ อุบาสิกาชื่อว่าโพชฌา
อุโบสถประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ มีผลมาก มีอานิสงส์มาก มีความรุ่งเรืองมาก เปรียบเหมือนการ เสวยราชสมบัติของพระราชานั้น ย่อมไม่ถึงเสี้ยวที่ ๑๖ แห่งอุโบสถ ที่ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ เพราะราชสมบัติมนุษย์เป็นเหมือน ของคนกำพร้า เมื่อเทียบสุขอันเป็นทิพย์
บุคคลไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายก็ตาม เข้าอยู่อุโบสถ ๘ ประการแล้ว เมื่อตายไป
พึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้น จาตุมมหาราช
พึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้น ดาวดึงส์
พึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้น ยามา
พึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้น ดุสิต
พึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้น นิมมานรดี
พึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้น ปรนิมมิตวสวัตตี
อุโบสถอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ เปรียบเหมือนรัศมี พระจันทร์ ข่มหมู่ ดวงดาวทั้งหมด
(อุโบสถ ๘ ประการ ๑ไม่ฆ่าสัตว์ ๒ไม่ลักทรัพย์ ๓ไม่เสพเมถุน ๔ ไม่พูดเท็จ ๕ไม่ดื่มน้ำเมา ๖ ไม่บริโภคในเวลาวิกาล ๗ไม่ทัดดอกไม้และของหอม ๘ พึงนอนบนเตียงบนแผ่นดิน หรือบนเครื่องลาด ด้วยหญ้า)
*(การรักษาอุโบสถ ๘ ประการ ยังไม่อาจเข้าถึงนิพพานได้ ได้แค่ไปเกิดเป็นเทวดาชั้นกามภพ เพราะยังไม่รู้อริยสัจสี่ เว้นแต่ว่ามีการสั่งสมสุตตะจากพระอรหันต์ผู้มีฤทธิ์ขึ้นไปแสดงธรรม หรือได้ สดับ ธรรมจากเทวดาด้วยกันที่เป็นเทวดาประเภทอริยะ)
.............................................................................
29
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ หน้าที่ ๒๔๐-๒๔๒
พราหมณ์ชื่อการณปาลเข้าเฝ้าฯแล้วเกิดความเลื่อมใสยิ่งนัก
(การณปาลีสูตร)
การณปาลีพราหมณ์ สอบถาม ปิงคิยานีพราหมณ์ หลังเข้าเฝ้าพระสมณะ โคดม ว่า ท่านปิงคิยานีเห็นอำนาจประโยชน์อะไร จึงเลื่อมใสยิ่งนักในพระสมณโคดม
ปิ. ท่านผู้เจริญ
๑ ฟังธรรมของพระโคดมแล้ว อิ่มในรสอันเลิศ ไม่ปรารถนารส ที่เลวเหล่าอื่น
๒ เปรียบเหมือนบุรุษผู้หิว และอ่อนเพลีย ได้รวงผึ้งมาลิ้มรส ย่อมได้รสดี อันไม่เจือ
๓ เหมือนบุรุษได้กลิ่นหอมของไม้จันทน์ ตั้งแต่ยอดถึงราก
๔ เหมือนบุรุษอาพาธ มีทุกข์ แล้วมีแพทย์มารักษาโดยเร็ว
๕ เหมือนสระน้ำ มีน้ำใส แล้วมีบุรุษเหน็ดเหนื่อย หิว ระหาย เดินทางถึงแล้วลงไป ในสระ
...............................................................................
30
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๓ หน้าที่ ๓๕๐-๓๕๓
บุคคลประพฤติพรหมจรรย์เพื่อประโยชน์อะไร
(โกฏฐิตสูตร)
พระมหาโกฏฐิตะ ถามพระสารีบุตร บุคคลประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเพื่อประโยชน์นี้ว่า กรรมใดที่ให้ผล ในปัจจุบัน ขอกรรมนั้นจงให้ผลในสัมปรายภพแก่เรา ได้หรือหนอ
(หวังผลในภพหน้า)
สารีบุตร. ดูกรอาวุโส ไม่ใช่อย่างนี้
พระมหาโกฏฐิตะ. เมื่อเป็นเช่นนั้นจะอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ฯ เพื่อประโยชน์อะไร
สารีบุตร . สิ่งใดแล ที่ยังไม่รู้ ไม่เห็น ไม่บรรลุ ไม่กระทำให้แจ้ง ไม่ตรัสรู้ ..บุคคลอยู่ ประพฤติ พรหมจรรย์ ก็เพื่อรู้เพื่อเห็น เพื่อบรรลุ เพื่อกระทำให้แจ้ง เพื่อตรัสรู้สิ่งนั้น เพราะบุคคลยังไม่รู้ว่านี้ นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัยนี้ นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (บุคลลนั้นไม่รู้อริยสัจสี่)
...............................................................................
31
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๓ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๗๐-๓๗๒
จิตที่อบรมแล้วเปรียบด้วยเสาหินยาว ๑๖ ศอก
(สิลายูปสูตรที่ ๒)
พระสารีบุตรแสดงธรรมแก่ท่านพระจันทิกาบุตร
ผู้มีจิตหลุดพ้นโดยชอบ ธรรมารมณ์ทั้งหลายก็ครอบงำจิตของเธอไม่ได้ จิตของเธอไม่เจือด้วยธรรมารมณ์นั้น เป็นจิตมั่น ถึงความไม่หวั่นไหว
เธอย่อม พิจารณาเห็นความเสื่อมไป แห่งธรรมารมณ์นั้น เปรียบเหมือนเสาหิน ยาว ๑๖ ศอก หยั่งลงไปในหลุม ๘ ศอก ข้างบน ๘ ศอก แม้ลมพายุ พัดมาทางทิศใดๆ เสาหินนั้น สะเทื้อนสะท้านหวั่นไหว
ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะหลุมลึก และเพราะ เสาหินฝังลึก ฉันใด ภิกษุย่อม ไม่หวั่นไหวในอารมณ์ที่กระทบกับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ ฉันนั้น
............................................................................
32
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๓ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๗๗-๓๗๘
อนุปุพพนิโรธสูตร : ธรรมเป็นเครื่องอยู่
(อนุปุพพนิโรธ ๙)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปุพพนิโรธ ๙ ประการนี้ ๙ ประการเป็นไฉน
(๑) อามิสสัญญาของ ผู้เข้าปฐมฌานย่อมดับไป
(๒) วิตกวิจารของ ผู้เข้าทุติยฌานย่อมดับไป
(๓) ปีติของ ผู้เข้าตติยฌานย่อมดับไป
(๔) ลมอัสสาสปัสสาสะของ ผู้เข้าจตุตถฌานย่อมดับไป
(๕) รูปสัญญาของ ผู้เข้าอากาสานัญจายตนฌานย่อมดับไป
(๖) อากาสานัญจายตนสัญญาของ ผู้เข้าวิญญาณัญจายตนฌานย่อมดับไป
(๗) วิญญาณัญจายตนสัญญาของ ผู้เข้าอากิญจัญญายตนฌานย่อมดับไป
(๘) อากิญจัญญายตนสัญญาของ ผู้เข้าเนวสัญญานาสัญญายตนฌานย่อมดับไป
(๙) สัญญาและเวทนาของ ผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธย่อมดับไป
...............................................................................
33
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๓ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๗๙-๓๘๓
วิหารสูตรที่ ๒ : ธรรมเป็นเครื่องอยู่
(อนุปุพพวิหารสมาบัติ ๙)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดง อนุปุพพวิหารสมาบัติ ๙ ประการนี้ เธอทั้งหลายจงฟัง
(๑) บรรลุปฐมฌาน มีวิตกวิจาร มีปีติและสุข... กามทั้งหลายย่อมดับในปฐมฌานนี้
(๒) บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิต .. วิตกวิจารย่อมดับ ในองค์ฌานนี้
(๓) บรรลุตติยฌาน เป็นผู้มีอุเบกขา..ปีติย่อมดับในองค์ฌานนี้
(๔) บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข .. อุเบกขาและสุขดับในองค์ฌาน นี้
(๕) บรรลุอากาสานัญจายตน .. รูปสัญญาย่อมดับในองค์ฌานนี้
(๖) บรรลุวิญญาณัญจายตน... อากาสานัญจายตนสัญญาดับในองค์ฌานนี้
(๗) บรรลุอากิญจัญญายตน ...วิญญาณัญจายตนสัญญาย่อมดับในองค์ฌานนี้
(๘) บรรลุเนวสัญญานาสัญญายตน... อากิญจัญญายตนสัญญาดับในองค์ฌานนี้
(๙) บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ... เนวสัญญานาสัญญายตนสัญญาดับ ในนิโรธนี้
...............................................................................
34
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๘-๔๑
กำลังของตถาคต ๑๐ ประการ
(สีหสูตร)
คำว่า สีหะ นี้แล เป็นชื่อแห่งพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
กำลังของตถาคตมี ๑๐ ประการ
๑ ตถาคตย่อมรู้ชัดซึ่งฐานะโดยเป็นฐานะ และ อฐานะ โดยเป็น อฐานะ ในโลกนี้
๒ ตถาคตย่อมรู้ชัดซึ่งวิบากแห่งการยึดถือ การกระทำ ทั้งที่เป็น อดีต อนาคต และปัจจุบัน
๓ ตถาคตย่อมรู้ชัด ซึ่งปฏิปทาเครื่องให้ถึงประโยชน์ ทั้งปวง
๔ ตถาคตย่อมรู้ชัด ซึ่งโลกอันมีธาตุเป็นอเนก
๕ ตถาคตย่อมรู้ชัดซึ่งความที่สัตว์ทั้งหลาย เป็นผู้มี อัธยาศัย ต่างๆ กัน
๖ ตถาคตย่อมรู้ชัดซึ่งความหย่อน และยิ่งแห่งอินทรีย์ ของสัตว์อื่น ของบุคคลอื่น
๗ ตถาคตย่อมรู้ชัดซึ่งความเศร้าหมอง ความผ่องแผ้ว การออกแห่งฌาน วิโมกข์ สมาธิ
๘ ตถาคตย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง
๙ ตถาคตย่อมเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี
๑๐ ตถาคตกระทำให้แจ้ง ซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะ มิได้
...............................................................................
35
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๔๒๔-๔๒๘
กำลังของตถาคต ๖ ประการ
(พลสูตร )
ตรัสกับภิกษุทั้งหลาย... เป็นเหตุให้บันลือสีหนาทในบริษัท พร้อมประกาศพรหมจักร
ตถาคตย่อมทราบชัดตามเป็นจริง
(๑) ทราบฐานะ โดยความเป็นฐานะ และเหตุที่มิใช่ฐานะ
(๒) ทราบชัด วิบากแห่งกรรม ที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน
(๓) ทราบชัดความเศร้าหมอง ความผ่องแผ้ว แห่งฌาน วิโมกข์ สมาธิ และสมาบัติ
(๔) ตถาคตระลึกถึงชาติก่อน ได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง
(๕) ตถาคตเห็นหมู่สัตว์ ที่กำลังจุติกำลังอุบัติ ด้วยทิพจักษุ รู้ว่าหมู่สัตว์เป็นไป ตามกรรม
(๖) ตถาคตทำให้แจ้ง ซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ ด้วยปัญญา อันยิ่งเอง
...............................................................................
36
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๔ หน้าที่ ๑๙๓-๑๙๕
โกกนุทปริพาชกถามพระอานนท์ โลกเที่ยง-โลกไม่เที่ยง
(โกกนุทสูตร)
โก. ท่านเห็นว่า โลกเที่ยง สิ่งนี้เท่านั้นจริงสิ่งอื่นเปล่า หรือหนอ
อา. เรามิได้มีความเห็นอย่างนั้น
โก. ท่านเห็นว่า โลกไม่เที่ยง สิ่งนี้เท่านั้นจริงสิ่งอื่น เปล่าหรือหนอ
อา. เรามิได้มีความเห็นอย่างนั้น
อา. ข้อนี้ว่า โลกเที่ยง สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า เป็นทิฐิอย่างหนึ่ง
ข้อนี้ว่า โลกไม่เที่ยง สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า เป็นทิฐิอย่างหนึ่ง
ดูกรอาวุโส
ทิฐิก็ดี เหตุที่ตั้งทิฐิก็ดี ที่ตั้งมั่นแห่งทิฐิก็ดี ที่ตั้งขึ้นโดยรอบแห่งทิฐิก็ดี
ความเพิกถอนทิฐิก็ดี มีประมาณเท่าใด เราย่อมรู้ ย่อมเห็นทิฐิเป็นต้นนั้น มีประมาณเท่านั้น
เรารู้ทิฐิ เป็นต้นนั้น จึงกล่าวว่า เรารู้อยู่ เราเห็นทิฐิเป็นต้นนั้น จึงกล่าวว่า เราเห็นอยู่ เราจะกล่าวว่าเราไม่รู้ ไม่เห็นอย่างไรได้
ดูกรอาวุโส เรารู้อยู่ เห็นอยู่
------------------------------------------------------------------------
(ประเด็นที่สนทนา)
โกกนุทปริพาชก ถามพระอานนท์ด้วยความรู้สึกที่เป็นอัตตา (เห็นสรรพสิ่งเป็นตัวเป็นตน)
แต่พระอานนท์ เห็นสรรพสิ่งว่าไม่มีตัวตน (เป็นของว่างเปล่า เป็นอนัตตา)
เรารู้อยู่ เห็นอยู่..หมายถึงการทิฐิของปุถุชนจะเห็นเป็นแบบนั้น (ไม่เห็นธรรมชาติตามที่่เป็นจริง)
ทิฐิก็ดี เหตุที่ตั้งทิฐิก็ดี ที่ตั้งมั่นแห่งทิฐิก็ดี.... เป็นการปรุงแต่งของจิต (เราถูกจิตนี้หลอกลวง)
โกกนุทปริพาชก.. ถือว่าเป็นผู้มีปัญญามาก จึงเข้าใจและเห็นตามที่พระอานนท์กล่าว โดยตลอด จึงได้กล่าวกะพระอานนท์ว่า .. ขอท่านพระอานนท์จงอดโทษ (ยกโทษ) แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด
...............................................................................
37
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๓๕-๒๓๗
พิธีลอยบาปแบบพราหมณ์ (ปัจโจโรหณีสูตรที่ ๑)
(ตรัสกับพราหมณ์ชื่อว่า ชาณุสโสณี)
ในวันอุโบสถสนานเกล้า นุ่งห่มผ้าไหมคู่ใหม่ ทาแผ่นดินด้วยโคมัย(ขี้วัว)สด ลาดด้วยหญ้าคา ที่เขียวสด นอนระหว่างกองทราย และเรือนไฟพราหมณ์ ลุกขึ้น ประนมอัญชลี นมัสการไฟสามครั้ง ด้วยการกล่าวว่า ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอปลงบาป กะท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลายขอปลงบาปกะท่าน ผู้เจริญ ดังนี้ และย่อมยังไฟ ให้อิ่มหนำด้วยเนยใส น้ำมันและเนยข้นอันเพียงพอ และโดย ล่วงราตรี นั้นไป ก็เลี้ยงพราหมณ์ทั้งหลาย ให้อิ่มหนำด้วยขาทนียโภชนียาหารอันประณีต
...............................................................................
38
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๓๗-๒๓๘
พิธีปลงบาปของพระศาสดา (ปัจโจโรหณีสูตรที่ ๒)
อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาว่า วิบากแห่งมิจฉาทิฐิ เป็นสิ่งที่ชั่วช้า ทั้งในปัจจุบัน ทั้งในสัมปรายภพ ครั้นพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว
๑ ย่อมละมิจฉาทิฐิ ย่อมปลงบาปจากมิจฉาทิฐิ ครั้นพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว
๒ ย่อมละมิจฉาสังกัปปะ ย่อมปลงบาป จากมิจฉาสังกัปปะ ...
๓ ย่อมละมิจฉาวาจา ย่อมปลงบาปจากมิจฉาวาจา...
๔ ย่อมละมิจฉากัมมันตะ ย่อมปลงบาปจาก มิจฉากัมมันตะ...
๕ ย่อมละมิจฉาอาชีวะ ย่อมปลงบาปจากมิจฉาอาชีวะ...
๖ ย่อมละมิจฉาวายามะ ย่อมปลงบาปจาก มิจฉาวายามะ...
๗ ย่อมละมิจฉาสติ ย่อมปลงบาปจากมิจฉาสติ ...
๘ ย่อมละมิจฉาสมาธิย่อมปลงบาปจากมิจฉาสมาธิ ...
๙ ย่อมละมิจฉาาณะ ย่อมปลงบาปจากมิจฉาญาณะ ...
๑๐ ย่อมละมิจฉาวิมุติ ย่อมปลงบาปจากมิจฉาวิมุติ ...
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็พิธีปลงบาป ของพราหมณ์ ทั้งหลาย ย่อมไม่ถึงเสี้ยว ที่ ๑๖ แห่งพิธี ปลงบาปในวินัยแห่งพระอริยะนี้ ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งยิ่งนัก
...............................................................................
39
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๔ หน้าที่ ๒๗๑-๒๗๗
ความสะอาดในแบบของพราหมณ์ กับแบบของพระพุทธเจ้า
(จุนทสูตร)
นายจุนทกัมมารบุตร กราบทูลว่า
ตนเองชอบการบัญญัติความสะอาดของ พราหมณ์ชาวปัจฉาภูมิ ผู้ถือเต้าน้ำ สวมพวงมาลัยสาหร่าย บำเรอไฟลงน้ำเป็นวัตรพร้อมกล่าวว่า มาเถิด บุรุษผู้เจริญ
ท่านลุกขึ้นจากที่นอนแต่เช้าตรู่
พึงจับต้องแผ่นดิน
ถ้าไม่จับต้องแผ่นดิน พึงจับต้องโคมัยสด
ถ้าไม่จับต้องโคมัยสด พึงจับต้องหญ้าเขียวสด
ถ้าไม่จับต้องหญ้าเขียวสด พึงบำเรอไฟ
ถ้าไม่บำเรอไฟ พึงประนมอัญชลีนอบน้อมพระอาทิตย์
ถ้าไม่ประนมอัญชลีนอบน้อมพระอาทิตย์ พึงลงน้ำ ๓ ครั้ง ทั้งเวลาเย็นเวลาเช้า ดังนี้
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรจุนทะ ความไม่สะอาดทางกายมี ๓ อย่าง ความไม่สะอาดทางวาจามี ๔ อย่าง ความไม่สะอาดทางใจมี ๓ อย่าง ดูกรจุนทะ อกุศลกรรมบถมี ๑๐ ประการนี้แล
ดูกรจุนทะ
บุคคลผู้ประกอบด้วย อกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการนี้ เมื่อลุกขึ้นจากที่นอนแต่เช้าตรู่
ถึงแม้จับต้องแผ่นดินหรือไม่จับต้อง... ก็เป็นผู้ไม่สะอาดอยู่นั่นเอง
ถึงแม้จับต้องโคมัยสด หรือไม่จับต้องโคมัยสด ...
ถึงแม้จับต้องหญ้าอันเขียวสด... ถึงแม้จะบำเรอไฟ... ถึงแม้ประนมอัญชลีนอบน้อมพระอาทิตย์ ...
ถึงแม้จะลงน้ำ ๓ ครั้ง ทั้งเวลาเย็น เวลาเช้า.. ก็ เป็นผู้ไม่สะอาดอยู่นั่นเอง
(กุศลกรรมบถ ๑๐)
ความสะอาดทางกายมี ๓ อย่าง (เว้นขาด ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม)
ความสะอาดทางวาจามี ๔ อย่าง (เว้นขาด พูดโกหก ส่อเสียด เพ้อเจ้อ หยายคาย)
ความสะอาดทางใจมี ๓ อย่าง (ไม่โลภ ไม่พยาบาท มีความเห็นชอบ)
...............................................................................
40
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๔ หน้าที่ ๓๓๕-๓๓๘
พึงมีหรือหนอ การที่ภิกษุได้สมาธิโดยไม่มีสัญญาเป็นอารมณ์
(สัญญาสูตร)
พระอานนท์ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค แล้วทูลถามว่า
พึงมีหรือหนอแล การที่ภิกษุได้สมาธิโดยประการที่ตน
ไม่พึงมีความสำคัญในปฐวีธาตุ ว่าเป็นปฐวีธาตุเป็นอารมณ์
ไม่พึงมีความสำคัญในอาโปธาตุ ว่าเป็นอาโปธาตุเป็นอารมณ์
ไม่พึงมีความสำคัญในเตโชธาตุ ว่าเป็นเตโชธาตุเป็นอารมณ์
ไม่พึงมีความสำคัญในเตโชธาตุ ว่าเป็นเตโชธาตุ เป็นอารมณ์
ไม่พึงมีความสำคัญในวาโยธาตุ ว่าเป็นวาโยธาตุเป็นอารมณ์
ไม่พึงมีความสำคัญในอากาสานัญจายตนะ ว่าเป็นอากาสานัญจายตนะเป็นอารมณ์
ไม่พึงมีความสำคัญในวิญญาณัญจายตนะ ว่าเป็นวิญญาณัญจายตนะเป็นอารมณ์
ไม่พึงมีความสำคัญในอากิญจัญญายตนะ ว่าเป็นอากิญจัญญายตนะเป็นอารมณ์
ไม่พึงมีความสำคัญในเนวสัญญา- ว่าเป็นเนวสัญญานาสัญญา- เป็นอารมณ์
ไม่พึงมีความสำคัญในโลกนี้ ว่าเป็นโลกนี้เป็นอารมณ์
ไม่พึงมีความสำคัญ ในโลกหน้า ว่าเป็นโลกหน้าเป็นอารมณ์
ไม่พึงมีความสำคัญใน รูปที่ได้เห็น เสียงที่ได้ยิน อารมณ์ที่ทราบ ธรรมที่รู้แจ้ง ที่ถึงแล้ว ที่แสวงหาแล้ว ที่ตรองตามแล้วด้วยใจ ก็แต่ว่าพึง เป็นผู้มีสัญญา
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า พึงมีได้อานนท์
จากนั้นพระอานนท์เข้าพบพระสารรีบุตร ถามเรื่องเดียวกัน พระสารีบุตร ก็ได้สาธยายธรรม เหมือนกับที่พระศาสดาแสดงทุกประการ จนพระอานนท์แปลกใจ
ดูกรท่านสารีบุตร ผู้มีอายุ
น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมาแล้ว การที่อรรถกับอรรถ พยัญชนะกับพยัญชนะ ของพระศาสดา และของพระสาวก เปรียบเทียบกันได้ เสมอกัน ไม่ผิดกัน ในบทที่เลิศนี้
...............................................................................
41
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๔ หน้าที่ ๓๖๑-๓๖๗
ธรรมอย่างเอกเป็นที่ถึงความหมดสิ้นไปแห่งอาสวะ
(ทสมสูตร)
ทสมคฤหบดีชาวเมืองอัฏฐกะ ถามพระอานนท์
ธรรมอย่างเอก อันเป็นที่หลุดพ้นแห่งจิตที่ยังไม่หลุดพ้น เป็นที่ถึงความหมดสิ้นไปแห่ง อาสวะทั้งหลาย ... มีอยู่หรือ
ดูกรคฤหบดี พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสไว้แล้วโดยชอบ.. มีอยู่
๑. ดูกรคฤหบดี ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน
๒. ภิกษุย่อมบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น
๓. ภิกษุเป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย ..บรรลุตติยฌาน
๔. ภิกษุบรรลุจตุตฌาน อันไม่มีทุกข์ไม่มีสุข
๕. ภิกษุมีจิตประกอบด้วยเมตตา แผ่ไปทุกทิศ
๖. ภิกษุผู้มีจิตประกอบด้วยกรุณา ...
๗. ภิกษุผู้มีจิตประกอบด้วยมุทิตา ...
๘. ภิกษุมีจิตประกอบด้วยอุเบกขา
๙. ภิกษุบรรลุอากาสานัญจายตนฌาน ด้วยการบริกรรม ว่าอากาศไม่มีที่สุด
๑๐. ภิกษุก้าวล่วงอากาสานัญจายตนฌาน ย่อมบรรลุ วิญญาณัญจายตน
๑๑. ภิกษุก้าวล่วงวิญญาณัญจายตนฌาน ย่อมบรรลุอากิญจัญญายตน
เปรียบเหมือนบุรุษแสวงหาขุมทรัพย์ขุมเดียว พึงพบแหล่งขุมทรัพย์ ๑๑ ขุม คราวเดียวกัน แม้ฉันใด เมื่อแสวงหาประตูอมตธรรมประตูเดียว ก็ได้สดับประตูอมตธรรม ๑๑ ประตู คราวเดียวกัน ฉันนั้น
...............................................................................
42
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ หน้าที่ ๖๒
ทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาทตลอด ๗ ราตรี (โพธิสูตร)
เป็นเหตุการณ์ ที่พระผู้มีพระภาคประทับนั่งเสวยวิมุติสุขด้วยบัลลังก์อันเดียว อยู่ใต้โคน ไม้โพธิ์ ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ที่ตำบลอุรุเวลา ตลอด ๗ วัน (๗ ราตรี) โดยไม่ลุกจากอาสนะ
ครั้งนั้นแล พอสัปดาห์นั้นล่วงไปพระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากสมาธินั้น ได้ทรงมนสิการ ปฏิจจสมุปบาท อันเป็นอนุโลม (พิจารณาเหตุเกิด) ด้วยดี ตลอดปฐมยามแห่งราตรี
ดังนี้ว่า (เป็นการนมัสสิการหลังออกจากสมาธิแล้ว)
เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ก็มี
เพราะสิ่งนี้เกิด สิ่งนี้จึงเกิด
(มนสิการ ปฏิจจสมุปบาทอันเป็นอนุโลม คือเหตุเกิดของทุกข์)
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงมีนามรูป
เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงมีสฬายตนะ
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัยจึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงมีเวทนา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงมีตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงมีอุปาทาน
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงมีภพ
เพราะภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาส
ความเกิดขึ้น แห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีได้ด้วยประการอย่างนี้
พระผู้มีพระภาค เสด็จออกจากสมาธินั้นแล้ว ทรง มนสิการ ปฏิจจสมุปบาท อันเป็นปฏิโลม (พิจารณาเหตุดับ) ด้วยดี ตลอดมัชฌิมยามแห่งราตรี
ดังนี้ว่า
เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี
เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้ก็ดับ
(มนสิการปฏิจจสมุปบาท อันเป็นปฏิโลม คือเหตุดับของทุกข์)
พระอวิชชาดับสังขารจึงดับ เพราะสังขารดับวิญญาณจึงดับ
เพราะวิญญาณดับนามรูปจึงดับ เพราะนามรูปดับสฬายตนะจึงดับ
เพราะสฬายตนะดับผัสสะจึงดับ เพราะผัสสะดับเวทนาจึงดับ
เพราะเวทนาดับตัณหาจึงดับ เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
เพราะอุปาทานดับภพจึงดับ เพราะภพดับชาติจึงดับ
เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสจึงดับ
ความดับ แห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้
...............................................................................
43
...............................................................................
44
...............................................................................
45
...............................................................................
46
...............................................................................
47
...............................................................................
48
...............................................................................
49
...............................................................................
50 |