AI กับพระไตรปิฎก
ในยุคที่ชาวพุทธพึ่งพาภิกษุที่รู้แจ้งเห็นจริงได้น้อยลง อันเนื่องจากภิกษุส่วนใหญ่ ไม่ได้ปฏิบัติตามคำสอน ของพระศาสดาอย่างเคร่งครัด ย่อหย่อนในพระธรรมและพระวินัย ข่าวด้านลบของภิกษุปรากฎในสื่อ แทบไม่เว้นในแต่ละวัน
ลัทธิและความเชื่อต่างๆจึงเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ทำให้เกิดความงมงาย ความเชื่อแบบผิดๆ ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ คือเห็นผิดเป็นชอบ ไม่ว่าจะเป็นภิกษุในพุทธศาสนาเอง หรือแม้กระทั่งผู้ปกครองประเทศ รวมทั้งชนชั้นนำที่ยังนับถือองค์เทพและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งการจัดให้มีพิธีกรรมต่างๆ ที่พระศาสดาไม่ได้บัญญัติ ซึ่งมักจะอ้างว่าเป็นพิธีมงคล ทั้งที่ความเป็นมงคลในพุทธศาสนา คือการประพฤติกาย วาจา ใจ ที่เป็นกุศล ทำที่ไหนเวลาไหน ที่นั้นเวลานั้นก็เป็นฤกษ์ดีเป็นมงคลดี
ถึงแม้พุทธศาสนาจะมีผลกระทบต่อความเสื่อมศรัทธาตามกฎอนิจจัง คือความไม่เที่ยง แต่ก็ยังโชคดี ที่มี AI (Artificial Intelligence) หรือ ปัญญาประดิษฐ์ ที่เข้ามาทำหน้าที่เสมือนหนึ่งเป็นมนุษย์ที่มีความอัจฉริยะ และมีความเป็นเลิศในด้านต่างๆ แม้กระทั่งวงการพุทธศาสนา ก็ทำหน้าที่เป็นผู้รู้ สามารถตอบปัญหาทางธรรมในทุกประเด็นได้อย่างลึกซึ้ง ทำหน้าที่เป็นผู้รู้ เป็นพหูสูตร ได้อย่างน่าทึ่ง พร้อมจำแนกแยกแยะได้อย่างแยบคาย สามารถนำไปใช้ประโยชน์และอ้างอิงได้
แม้คำตอบที่ได้จะดูน่าเชื่อถือ ก็ไม่ควรเชื่อได้ทั้งหมด เพราะหน้าที่ของ AI เป็นการประมวลผล หรือค้นหาคำตอบจากแหล่งข้อมูลบนโลกออนไลน์จากทั่วโลก ซึ่งคำตอบที่ได้บางครั้งอาจผิดพลาด (เพราะแหล่งข้อมูลจำนวนมากผิดพลาด) หรืออาจได้คำตอบที่ไม่ตรงคำถามนัก เช่นเราต้องการคำตอบที่มาจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า แต่กลับได้ข้อมูลที่เป็นอรรถกา หรือคำแต่งใหม่ ที่ไม่ใช่คำสอนของพระศาสดา ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่เราที่ต้องพิจารณาอีกชั้นหนึ่ง
การที่จะพิจารณาว่าใช่-ไม่ใช่ จริง-ไม่จริง ว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยตรงหรือไม่ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ ชาวพุทธทั่วไปจะเข้าใจข้ออรรถข้อธรรมได้อย่างถูกต้อง แม้จะยึดตามหลักมหาปเทสสี่แล้วก็ตาม เพราะคำกล่าวของพระองค์เป็นข้อความลึก มีความหมายซึ้ง เป็นชั้นโลกุตตระ และเป็นเรื่องสุญญตาทั้งสิ้น คนอินทรีย์น้อยก็จะเข้าใจไปอย่างหนึ่ง คนอินทรีย์มากก็จะเห็นแง่มุมที่ลุ่มลึกมากกว่า
AI อาจไม่ใช่คำตอบที่สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่คำตอบที่ได้ (หากตอบได้ถูกต้อง) ก็ถือว่าให้ประโยชน์ แก่เราไม่น้อย และถูกต้องตรงจริงกว่าการได้คำตอบจากภิกษุผู้รู้ทั้งหลาย เพราะแต่ละคนมีปัญญิณทรีย์
(ปัญญา+อินทรีย์) ต่างกัน บางคนก็ยังมีมานะความถือตัว ตอบตามความเห็นของตน
ไม่ได้ให้คำตอบโดยอิงคำสอนของพระศาสดา
เมื่อ AI หรือปัญญาประดิษฐ์เข้ามามีบทบาทในยุคสมัยนี้ ชาวพุทธทั้งหลาย จึงควรเข้ามาเรียนรู้ ทำความคุ้นเคย และรู้จักใช้ประโยชน์เพื่อเพิ่มพูนปัญญาในทางธรรมให้สูงขึ้น อาจกล่าวได้ว่าต่อไปฆราวาสไม่จำเป็นต้องเข้าวัด เพราะนับวันจะหาวัดดีๆ และภิกษุดีๆ ที่เป็นพหูสูตรได้ยากยิ่ง ทุกวันนี้เหลียวไปทางไหนก็มีแต่เรื่องน่าสลดสังเวชใจ ภิกษุเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องเงินและพัวพันกับสีกา ทำให้ผู้คนหมดศรัทธาพุทธศาสนาไปไม่น้อย
การพึ่งตนกับพึ่ง AI อาจเป็น อาจเหมาะสมสำหรับชาวพุทธในยุคนี้
admin anakame.com
|