คำตอบจากAI
การรักษาศีล 5 อย่างเคร่งครัดเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยป้องกันไม่ให้ไปเกิด ในภพภูมิที่ ต่ำกว่า มนุษย์ ได้แก่ นรก กำเนิดเดรัจฉาน และเปรตวิสัย แต่ไม่ได้รับประกันว่า จะรอดพ้น จากอบายภูมิ ได้อย่างเด็ดขาด เพราะยังคงมีความเสี่ยงอยู่ หากจิต เศร้าหมอง ในวาระสุดท้ายของชีวิต
ความสัมพันธ์ระหว่างศีล 5 กับการเกิดใหม่
ตามหลักพระพุทธศาสนา การที่บุคคลจะไปเกิดในภพภูมิใดขึ้นอยู่กับกรรมที่ได้ทำไว้ และสภาพ จิตใจในขณะใกล้จะเสียชีวิต
กุศลกรรม: การกระทำความดี รวมถึงการรักษาศีล 5 อย่างเคร่งครัด จะเป็นเหตุให้ได้ไป สู่สุคติภูมิ (ภพภูมิที่ดี) เช่น มนุษย์และสวรรค์
อกุศลกรรม: การผิดศีล 5 เป็นอกุศลกรรมบถซึ่งเป็นเหตุให้ไปเกิดในอบายภูมิ (ภพภูมิที่ชั่ว)
ทำไมศีล 5 ไม่ได้ประกันการพ้นอบายภูมิแบบเบ็ดเสร็จ
ถึงแม้จะรักษาศีล 5 มาอย่างดีตลอดชีวิต แต่การไปเกิดในภพภูมิที่สูงขึ้นยังต้อง อาศัยปัจจัยอื่น ประกอบด้วย โดยเฉพาะสภาพจิตในขณะใกล้ตาย หากจิตเศร้าหมอง ด้วยอกุศลกรรมอื่น ที่เคยทำไว้ ก็อาจเป็นเหตุให้ตกอบายภูมิได้
ตัวอย่าง: บุคคลที่รักษาศีล 5 มาตลอดชีวิต แต่ช่วงใกล้ตายจิตถูกอกุศลเข้าครอบงำ เช่น โกรธแค้น ผูกพยาบาท หรือหลงมัวเมา ก็อาจไปเกิดในอบายภูมิได้
การแก้ไข: หากในขณะใกล้ตายสามารถระลึกถึงคุณความดีจากการรักษาศีล ทำให้จิต ผ่องใส และเป็นกุศล อานิสงส์ของศีลจะส่งผลให้ไปสู่สุคติ
ผู้ที่รอดพ้น อบายภูมิได้ อย่างแท้จริง ผู้ที่จะรอดพ้นจากอบายภูมิได้อย่างเด็ดขาด คือ พระอริยบุคคลระดับ พระโสดาบัน ขึ้นไป ซึ่งเป็นผู้บรรลุธรรมขั้นแรกในพระพุทธศาสนา
คุณสมบัติ: พระโสดาบันละสังโยชน์เบื้องต่ำได้ ทำให้เป็นผู้มีกระแสพระนิพพาน เป็นที่ไป ไม่ต้องกลับมาเกิดในอบายภูมิอีกต่อไป
ข้อแตกต่าง: สำหรับปุถุชนทั่วไป การรักษาศีล 5 เป็นการสร้างพื้นฐานของการเกิด เป็นมนุษย์ และเป็นบันไดที่นำไปสู่สวรรค์ แต่ยังไม่สามารถปิดประตูอบายภูมิได้ อย่างถาวร
สรุป
การรักษาศีล 5 อย่างเคร่งครัด เป็นการสร้างกุศลกรรมและป้องกันการทำ อกุศลกรรม อย่างดีเยี่ยม ซึ่งช่วยเกื้อหนุนให้มีโอกาสไปสู่สุคติภูมิสูงมาก และช่วยป้องกันการตก อบายภูมิได้เป็นอย่างดี ในเบื้องต้น แต่การจะรอดพ้นจากอบายภูมิได้อย่างถาวรนั้น จะต้องบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคล เท่านั้น
-----------------------------------------------------------------------------------
ความเห็น
เคร่งครัดในศีล5 ถือว่ายังไม่ปลอดภัย หลังกายแตกดับก็ยังมีโอกาสไปอบายภูมิได้ ตัวอย่าง ก็มีในสมัยพุทธกาล ส่วนผู้ที่พ้นแล้วจากนรกกำเนิดเดรัจฉานและเปรตวิสัย คือผู้ที่ได้ คุณสมบัติของอริยบุคคล หรือตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป ส่วนปุถุชนที่ต่ำกว่าโสดาบัน ยังมีอินทรีย์อ่อน ไม่อาจพ้นอบายภูมิได้
เกณฑ์วัดความเป็นโสดาบันของพระพุทธเจ้า หลักสำคัญคือ ต้องรู้อริยสัจสี่ คือรู้ทุกข์ รู้เหตุเกิด รู้เหตุดับ และข้อปฏิบัติฯ เช่นตนเองกำลังโมโห ต้องรู้ว่าอารมณ์โมโหนั้นคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร ดับไปได้อย่างไร และข้อปฏิบัติให้ถึงความดับไม่เหลือคืออะไร เรียกว่า ต้องรู้ครบทั้ง 4 อย่างตามอริยสัจสี่ เหมือนกับว่าวิเคราะห์ปัญหา (ทุกข์) ของตนเองได้
กรณีอื่นๆก็เช่นกัน เช่นเห็นภาพอาหารแล้วอยากทาน ได้ฟังเพลงที่ชื่นชอบแล้วมีความสุข ก็ต้องตอบให้ได้ในแง่มุมอริยสัจสี่ว่า ความอยากทานอาหาร และความสุขที่ได้ฟังเพลง นั้นเกิดจากอะไร และดับไปอย่างไร ฯลฯ หากเราวิเคราะห์ไม่ออก เท่ากับไม่เห็นปัญหา คือ ไม่เห็นทุกข์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันได้ เมื่อไม่รู้เท่ากับเราเสพทุกข์โดยที่เราไม่รู้จักมัน การดับทุกข์ก็จะไม่เกิดขึ้น เหมือนหาทุกข์ไม่เจอ ...
ทุกข์ทั้งมวล พระองต์ตรัสว่าเกิดจาก ผัสสะ เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย การมีสติเฝ้า สังเกตุอารมณ์ หรืออาการทางจิต (ทั้งกุศลและอกุศล) เป็นสิ่งที่พระศาสดาให้เรากระทำอยู่ เป็นนิจและให้ดับโดยเร็ว หากเร็วดุจกระพริบตา ทรงตรัสชมว่ามีอินทรีย์ภาวนาชั้นเลิศ (ความหมายนี้เช่นเดียวกับ คำว่ารู้สึกตัวทั่วพร้อม หรือมีสติสัมปชัญญะ) |