เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
ค้นหาคำที่ต้องการ            

รวมทุกพระสูตร ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี (5) 1705
  P1701 P1702 P1703 P1704 P1705 P1706 P1707
รวมพระสูตร
เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 
รวมพระสูตรบุคคลสำคัญ
พระโมคคัลลานะ
พระสารีบุตร
พระเทวทัต
นิครนถ์ปริพาชก
พระมหากัปปินะ
พระอนุรุทธะ
พระอุบาลี
(ดูทั้งหมด)
 
สารบาญพระไตรปิฎก
เล่มที่ ๘-๓๓ (๒๕ เล่ม) ทุกพระสูตร
1. ฉบับหลวง
2. ฉบับมหาจุฬาฯ
3. อรรถกถาไทย
4. ฉบับภาษาบาลี
5. อรรถกถา-บาลี
6. Pali Roman (Roman Script)
7. Atthakatha PaliRoman
 
  พระสูตรที่เกี่ยวข้อง (คัดเฉพาะพุทธวจน)
มหาปทานสูตร (๑๔)/ พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๐ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑ - ๔๙
เหตุให้พระศาสนาดำรงอยู่ไม่นาน และนาน / พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑ พระวินัยปิฎก หน้าที่ ๙ - ๑๐
  (ย่อ)

1. ทรงพระดำริว่า เมื่ออะไรมีอยู่หนอ สิ่งนั้นจึงมี ครั้งนั้นแลการตรัสรู้ด้วยปัญญาว่า
เมื่อชาติมีอยู่ ชราและมรณะจึงมี ชราและมรณะมี เพราะชาติเป็นปัจจัย ดังนี้
เมื่อภพมีอยู่ชาติจึงมี ชาติมีเพราะภพเป็นปัจจัย ดังนี้
เมื่ออุปาทานมีอยู่ภพจึงมี ภพมีเพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ดังนี้
เมื่อตัณหามีอยู่อุปาทานจึงมี อุปาทานมีเพราะตัณหาเป็นปัจจัย ดังนี้
เมื่อเวทนามีอยู่ ตัณหาจึงมี ตัณหามี เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ดังนี้
เมื่อผัสสะมีอยู่ เวทนาจึงมี เวทนามีเพราะผัสสะเป็นปัจจัย ดังนี้
เมื่อสฬายตนะมีอยู่ ผัสสะจึงมี ผัสสะมีเพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ดังนี้
เมื่อนามรูปมีอยู่ สฬายตนะจึงมี สฬายตนะมี เพราะนามรูป เป็นปัจจัย ดังนี้
เมื่อวิญญาณมีอยู่ นามรูปจึงมี นามรูปมีเพราะวิญญาณ เป็นปัจจัยดังนี้
เมื่อนามรูปมีอยู่ วิญญาณจึงมี วิญญาณมีเพราะนามรูปเป็นปัจจัย ดังนี้

2. ต่อมาพระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า
วิญญาณมี เพราะนามรูปเป็นปัจจัย
นามรูปมี เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย
สฬายตนะมี เพราะนามรูปเป็นปัจจัย
ผัสสะมี เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย
เวทนามี เพราะผัสสะเป็นปัจจัย
อุปาทานมี เพราะตัณหาเป็นปัจจัย
ภพมี เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย
ชาติมี เพราะภพเป็นปัจจัย
ชรามรณะโสกปริเทวทุกข โทมนัสและอุปายาส ย่อมมีพร้อม เพราะชาติเป็นปัจจัย
ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ ทั้งมวลนี้ย่อมมีได้ด้วยประการฉะนี้

3. นี้เป็นธรรมที่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ มิได้เคยสดับมาก่อนเลย

ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปรีชา ความรู้แจ้งชัด แสงสว่างว่า
สมุทัยๆ (เหตุเกิดขึ้นพร้อมๆ ) ได้เกิดขึ้นแล้วแก่ พระวิปัสสีโพธิสัตว์
ในธรรมทั้งหลาย ที่พระองค์มิได้สดับมาแล้วในกาลก่อนเลย

4. ครั้งนั้นแล การตรัสรู้ด้วยปัญญา เพราะทรงกระทำไว้ในพระทัย โดยอุบาย อันแยบคาย
เมื่อชาติไม่มี ชราและ มรณะ ย่อมไม่มี เพราะชาติดับ ชราและมรณะจึงดับ ดังนี้
เมื่อภพไม่มีชาติย่อมไม่มี เพราะภพดับ ชาติจึงดับ ดังนี้
เมื่ออุปาทานไม่มี ภพย่อมไม่มี เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ ดังนี้
เมื่อตัณหาไม่มี อุปาทานย่อมไม่มี เพราะตัณหาดับ อุปาทาน จึงดับ ดังนี้
เมื่อเวทนาไม่มี ตัณหาย่อมไม่มี เพราะเวทนาดับ ตัณหา จึงดับ ดังนี้
เมื่อผัสสะไม่มี เวทนาย่อมไม่มี เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ ดังนี้
เมื่อสฬายตนะไม่มี ผัสสะย่อมไม่มี เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ ดังนี้
เมื่อนามรูปไม่มี สฬายตนะย่อมไม่มี เพราะนามรูปดับ สฬายตนะ จึงดับดังนี้
เมื่อวิญญาณไม่มี นามรูปย่อมไม่มี เพราะวิญญาณดับ นาม รูป จึงดับ ดังนี้
เมื่อนามรูปไม่มี วิญญาณย่อมไม่มี เพราะนามรูปดับ วิญญาณ จึงดับ ดังนี้

5. หนทางเพื่อความตรัสรู้ นี้เราได้บรรลุแล้วแล คือ
เพราะนามรูปดับ วิญญาณจึงดับ เพราะวิญญาณ ดับ นามรูปจึงดับ
เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ
เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ เพราะเวทนาจึงดับ ตัณหาดับ
เพราะตัณหาดับ อุปาทาน จึงดับ เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
เพราะภพดับ ชาติจึงดับ เพราะชาติดับ ชรามรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัส และ อุปายาส จึงดับโดย ไม่เหลือ ความดับแห่งกองทุกข์ ทั้งมวลนี้ ย่อมมีได้ด้วยประการ ฉะนี้

6. พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพิจารณาเห็น ความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปใน อุปาทานขันธ์ ๕
นี้รูป นี้เหตุเกิดแห่งรูป นี้ความดับแห่งรูป
นี้เวทนา นี้เหตุเกิดแห่งเวทนา นี้ความดับแห่งเวทนา
นี้สัญญา นี้เหตุเกิดแห่งสัญญา นี้ความดับแห่งสัญญา
นี้สังขาร นี้เหตุเกิดแห่งสังขาร นี้ความดับแห่งสังขาร
นี้วิญญาณ นี้เหตุเกิดแห่งวิญญาณ นี้ความดับแห่งวิญญาณ
เมื่อพระองค์ ทรงพิจารณาเห็นความเกิดขึ้น และ ความเสื่อมไปในอุปาทานขันธ์ ๕ อยู่ไม่นานนัก
จิตก็หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ยึดมั่นแล


 

พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๐ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑ - หน้าที่ ๔๙
๑. มหาปทานสูตร (๑๔)
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

1
(ทรงพระดำริว่า เมื่ออะไร มีอยู่หนอ สิ่งนั้นจึงมี )

          [๓๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีโพธิสัตว์ได้ทรงพระดำริว่า เมื่ออะไร มีอยู่หนอ ชราและมรณะจึงมี
ชราและมรณะมี เพราะอะไรเป็นปัจจัย
ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแลการตรัสรู้ด้วยปัญญาว่า
เมื่อชาติมีอยู่ ชราและมรณะจึงมี ชราและมรณะมี เพราะชาติเป็นปัจจัย ดังนี้
ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์เพราะทรง กระทำไว้ใน พระทัย โดยอุบาย อันแยบคาย

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า
เมื่ออะไร มีอยู่หนอ ชาติจึงมี ชาติมี เพราะอะไรเป็นปัจจัย

ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล การตรัส รู้ด้วย ปัญญาว่า
เมื่อภพมีอยู่ชาติจึงมี ชาติมีเพราะภพเป็นปัจจัย ดังนี้
ได้มีแล้วแก่ พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำไว้ในพระทัยโดยอุบาย อันแยบคาย

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า
เมื่ออะไร มีอยู่หนอ ภพจึงมี ภพมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย

ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล การตรัสรู้ ด้วยปัญญาว่า
เมื่ออุปาทานมีอยู่ภพจึงมี ภพมีเพราะอุปาทานเป็นปัจจัย
ดังนี้
ได้มี แล้วแก่พระวิปัสสี โพธิสัตว์เพราะทรงกระทำไว้ในพระทัยโดยอุบายอันแยบคาย

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า
เมื่ออะไร มีอยู่หนอ อุปาทานจึงมี อุปาทานมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย
ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล การตรัสรู้ ด้วยปัญญาว่า
เมื่อตัณหามีอยู่อุปาทานจึงมี อุปาทานมีเพราะตัณหาเป็นปัจจัย ดังนี้
ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำไว้ในพระทัยโดยอุบาย อันแยบคาย

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า
เมื่ออะไรมีอยู่หนอ ตัณหาจึงมี ตัณหามีเพราะอะไรเป็นปัจจัย

ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล การตรัสรู้ด้วยปัญญาว่า
เมื่อเวทนามีอยู่ ตัณหาจึงมี ตัณหามี เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำไว้ในพระทัยโดยอุบาย อันแยบคาย

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า
เมื่ออะไร มีอยู่หนอ เวทนาจึงมี เวทนามีเพราะอะไรเป็นปัจจัย

ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล การตรัสรู้ ด้วยปัญญา ว่า
เมื่อผัสสะมีอยู่ เวทนาจึงมี เวทนามีเพราะผัสสะเป็นปัจจัย ดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำไว้ในพระทัยโดยอุบาย อันแยบคาย

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า
เมื่ออะไร มีอยู่หนอ ผัสสะจึงมี ผัสสะมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย

ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล การตรัสรู้ ด้วยปัญญาว่า
เมื่อสฬายตนะมีอยู่ ผัสสะจึงมี ผัสสะมีเพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำไว้ในพระทัย โดยอุบายอันแยบคาย

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า
เมื่ออะไร มีอยู่หนอ สฬายตนะจึงมี สฬายตนะมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย
ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล การตรัสรู้ ด้วยปัญญาว่า
เมื่อนามรูปมีอยู่ สฬายตนะจึงมี สฬายตนะมี เพราะนามรูป เป็นปัจจัย ดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำไว้ ในพระทัย โดยอุบายอันแยบคาย

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า เมื่ออะไร มีอยู่หนอ นามรูปจึงมี นามรูปมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล การตรัสรู้ ด้วยปัญญาว่าเมื่อวิญญาณมีอยู่ นามรูปจึงมี นามรูปมีเพราะวิญญาณ เป็นปัจจัยดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำไว้ในพระทัย โดยอุบายอันแยบคาย

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า
เมื่ออะไร มีอยู่หนอ วิญญาณจึงมี วิญญาณมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย
ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล การตรัสรู้ด้วย ปัญญาว่า
เมื่อนามรูปมีอยู่ วิญญาณจึงมี วิญญาณมีเพราะนามรูปเป็นปัจจัย ดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำไว้ในพระทัยโดยอุบาย อันแยบคาย
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

2
(ต่อมาพระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า
)

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า
วิญญาณ นี้ ย่อมกลับเวียนมาแต่นามรูป หาใช่อย่างอื่นไม่

โดยความเป็นไปเพียง เท่านี้ สัตว์โลกพึง เกิดบ้าง พึงแก่บ้างพึงตายบ้าง พึงจุติบ้าง พึงอุปบัติบ้าง ความเป็นไปนั้น คือ
วิญญาณมี เพราะนามรูปเป็นปัจจัย
นามรูปมี เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย
สฬายตนะมี เพราะนามรูปเป็นปัจจัย
ผัสสะมี เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย
เวทนามี เพราะผัสสะเป็นปัจจัย
อุปาทานมี เพราะตัณหาเป็นปัจจัย
ภพมี เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย
ชาติมี เพราะภพเป็นปัจจัย
ชรามรณะโสกปริเทวทุกข โทมนัสและอุปายาส ย่อมมีพร้อม เพราะชาติเป็นปัจจัย ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ ทั้งมวลนี้ย่อมมีได้ด้วยประการฉะนี้
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

3
(นี้เป็นธรรมที่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ มิได้เคยสดับมาก่อนเลย
)

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปรีชา ความรู้แจ้งชัด แสงสว่างว่า สมุทัยๆ (เหตุเกิดขึ้นพร้อมๆ) ดังนี้ ได้เกิดขึ้นแล้วแก่ พระวิปัสสีโพธิสัตว์ ในธรรมทั้งหลาย ที่พระองค์มิได้สดับมาแล้วในกาลก่อนเลย
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

4
(ทรงตรัสรู้ด้วยปัญญา เพราะทรงกระทำไว้ในพระทัย โดยอุบายอันแยบคาย)

          [๔๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีโพธิสัตว์ ได้ทรงพระดำริว่า เมื่ออะไร ไม่มีเล่าหนอ ชราและมรณะจึงไม่มี เพราะอะไรดับ ชราและมรณะ จึงดับ ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล การตรัสรู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อชาติไม่มี ชราและ มรณะ ย่อมไม่มี เพราะชาติดับ ชราและมรณะจึงดับ ดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำไว้ในพระทัยโดยอุบายอันแยบคาย

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า เมื่ออะไรไม่มี เล่าหนอ ชาติจึงไม่มี เพราะอะไรดับ ชาติจึงดับ ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล การตรัสรู้ ด้วยปัญญา ว่า เมื่อภพไม่มีชาติย่อมไม่มี เพราะภพดับ ชาติจึงดับ ดังนี้ ได้มี แล้ว แก่พระวิปัสสี โพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำไว้ในพระทัยโดยอุบายอันแยบคาย

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า เมื่ออะไรไม่มี เล่าหนอ ภพจึงไม่มี เพราะอะไรดับ ภพจึงดับ ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล การตรัสรู้ด้วย ปัญญาว่า เมื่ออุปาทานไม่มี ภพย่อมไม่มี เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ ดังนี้ ได้มีแล้ว แก่พระวิปัสสี โพธิสัตว์เพราะทรงกระทำไว้ในพระทัยโดยอุบาย อันแยบคาย

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า เมื่ออะไรไม่มี เล่าหนอ อุปาทานจึงไม่มี เพราะอะไรดับ อุปาทานจึงดับ ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล การตรัสรู้ ด้วยปัญญาว่า เมื่อตัณหาไม่มี อุปาทานย่อมไม่มี เพราะตัณหาดับ อุปาทาน จึงดับ ดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำไว้ในพระทัย โดยอุบาย อันแยบคาย

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า เมื่ออะไร ไม่มีเล่า หนอ ตัณหาจึงไม่มี เพราะอะไรดับ ตัณหาจึงดับ ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล การตรัสรู้ ด้วยปัญญาว่า เมื่อเวทนาไม่มี ตัณหาย่อมไม่มี เพราะเวทนาดับ ตัณหา จึงดับ ดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำไว้ในพระทัยโดยอุบาย อันแยบคาย

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า เมื่ออะไร ไม่มี เล่าหนอ เวทนาจึงไม่มี เพราะอะไรดับ เวทนาจึงดับ ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล การตรัสรู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อผัสสะไม่มี เวทนาย่อมไม่มี เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ ดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำไว้ในพระทัย โดยอุบาย อันแยบคาย

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า เมื่ออะไร ไม่มี เล่าหนอ ผัสสะจึงไม่มี เพราะอะไรดับ ผัสสะจึงดับ ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล การตรัสรู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อสฬายตนะไม่มี ผัสสะย่อมไม่มี เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ ดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำไว้ในพระทัย โดยอุบายอันแยบคาย

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า เมื่ออะไรไม่มี เล่าหนอ สฬายตนะจึงไม่มี เพราะอะไรดับ สฬายตนะจึงดับ ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล การตรัสรู้ ด้วยปัญญาว่า เมื่อนามรูปไม่มี สฬายตนะย่อมไม่มี เพราะนามรูปดับ สฬายตนะ จึงดับดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำ ไว้ในพระทัย โดยอุบาย อันแยบคาย

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า เมื่ออะไร ไม่มี เล่าหนอ นามรูปจึงไม่มี เพราะอะไรดับ นามรูปจึงดับ ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล การตรัสรู้ด้วยปัญญาว่าเมื่อวิญญาณไม่มี นามรูปย่อมไม่มี เพราะวิญญาณดับ นาม รูป จึงดับ ดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำไว้ในพระทัย โดยอุบาย อันแยบคาย

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า เมื่ออะไร ไม่เล่าหนอ วิญญาณจึงไม่มี เพราะอะไรดับ วิญญาณจึงดับ ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล การตรัสรู้ ด้วยปัญญาว่าเมื่อนามรูปไม่มี วิญญาณย่อมไม่มี เพราะนามรูปดับ วิญญาณ จึงดับ ดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำไว้ในพระทัยโดยอุบาย อัน แยบคาย
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

5
(หนทางเพื่อ ความตรัสรู้ นี้เราได้บรรลุแล้ว)

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า หนทางเพื่อ ความตรัสรู้ นี้เราได้บรรลุแล้วแล คือ
เพราะนามรูปดับ วิญญาณจึงดับ เพราะวิญญาณ ดับ นามรูปจึงดับ
เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ
เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ เพราะเวทนาจึงดับ ตัณหาดับ
เพราะตัณหาดับ อุปาทาน จึงดับ เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
เพราะภพดับ ชาติจึงดับ เพราะชาติดับ ชรามรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัส และ อุปายาส จึงดับโดย ไม่เหลือ ความดับแห่งกองทุกข์ ทั้งมวลนี้ ย่อมมีได้ด้วยประการ ฉะนี้

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปรีชา ความรู้แจ้งชัด แสงสว่างว่า นิโรธๆ (ความดับๆ) ดังนี้ ได้เกิดขึ้นแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ ในธรรมทั้งหลายที่พระองค์ มิได้สดับมาแล้ว ในกาลก่อนเลย
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

6
(พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพิจารณาเห็น ความเกิดขึ้น และความเสื่อมไปใน อุปาทานขันธ์ ๕)

          [๔๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้นสมัยอื่น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพิจารณาเห็น ความเกิดขึ้น และความเสื่อมไปในอุปาทานขันธ์ ๕ ว่า ดังนี้รูป ดังนี้เหตุ เกิดแห่งรูป ดังนี้ความดับแห่งรูป ดังนี้เวทนา ดังนี้เหตุเกิดแห่งเวทนา ดังนี้ ความดับแห่งเวทนา ดังนี้สัญญา ดังนี้เหตุเกิดแห่งสัญญา ดังนี้ความดับแห่ สัญญา ดังนี้สังขาร ดังนี้เหตุ เกิดแห่งสังขาร ดังนี้ความดับแห่งสังขาร ดังนี้ วิญญาณ ดังนี้เหตุเกิดแห่งวิญญาณ ดังนี้ความดับแห่งวิญญาณ เมื่อพระองค์ ทรงพิจารณาเห็นความเกิดขึ้น และ ความเสื่อมไปในอุปาทานขันธ์ ๕ อยู่ไม่นานนัก จิตก็หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ยึดมั่นแล

จบภาณวารที่สอง



 
 
พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์