พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๐ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑ - หน้าที่ ๔๙
๑. มหาปทานสูตร (๑๔)
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
1
(เสด็จอุทยานครั้งที่ 1 เห็นคนชรา)
[๓๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล โดยกาลล่วงไปหลายปี หลายร้อยปี หลายพันปี * พระวิปัสสีราชกุมาร ได้ตรัสเรียกนายสารถีมาสั่งว่า นายสารถี ผู้สหาย เธอจงเทียมยานที่ดีๆ เราจะไปสวนเพื่อชมพื้นที่อันสวยสด ภิกษุทั้งหลาย นายสารถี รับ รับสั่งของพระวิปัสสีราชกุมารแล้วเทียมยานที่ดีๆ เสร็จแล้ว จึงกราบทูลแด่ พระวิปัสสีราชกุมารว่า ขอเดชะข้าพระพุทธเจ้าได้เทียมยานที่ดีๆ เสร็จแล้ว บัดนี้ พระองค์ทรงกำหนดเวลาอันสมควรเถิด
*(พระวิปัสสีราชกุมาร เสด็จอุบัติขึ้นมาในกัปที่ 91 สมัยที่มนุษย์มีอายุ 80,000 ปี)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีราชกุมารทรงยานอันดี เสด็จประพาส พระอุทยาน พร้อมกับยานที่ดีๆ ทั้งหลาย ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระวิปัสสีราชกุมาร ขณะเมื่อ เสด็จประพาสพระอุทยาน ได้ทอดพระเนตรชายชรา มีซี่โครงคด เหมือน กลอน หลังงอ ถือไม้เท้าเดินงกๆ เงิ่นๆ กระสับกระส่าย หมดความหนุ่มแน่น ครั้น ทอดพระเนตรแล้ว จึงรับสั่งถามนายสารถีว่า นายสารถีผู้สหาย ก็ชายผู้นี้ ถูกใคร ทำอะไรให้ แม้ผมของเขาก็ไม่เหมือนของคนอื่นๆ แม้ร่างกายของเขาก็ไม่เหมือน ของคนอื่นๆ
นายสารถีกราบทูลว่า ขอเดชะ นี้แลเรียกว่า คนชรา นายสารถีผู้สหาย นี้หรือ เรียกว่า คนชรา
ขอเดชะ นี้แลเรียกว่า คนชรา บัดนี้ เขาจักพึงมีชีวิตอยู่ได้ ไม่นาน
นายสารถี ถึงตัวเราก็จะต้องมีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ ไปได้หรือ
ขอเดชะ พระองค์และข้าพระพุทธเจ้า ล้วนแต่จะต้องมีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้น ความแก่ไปได้
นายสารถีผู้สหาย ถ้าเช่นนั้น วันนี้พอแล้วสำหรับภูมิภาค แห่งสวน เธอ จงนำเรากลับภายในบุรีจากสวนนี้เถิด
นายสารถีรับรับสั่งของ พระวิปัสสี ราชกุมารแล้ว ได้นำเสด็จกลับไปยัง ภายในบุรีจากพระอุทยานนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า ครั้งนั้นพระวิปัสสีราชกุมารเสด็จถึงภายในบุรีแล้ว
ทรงเป็นทุกข์เศร้าพระทัย ทรงพระดำริว่า ผู้เจริญทั้งหลาย ได้ยินว่าขึ้นชื่อว่า ความเกิดเป็นของน่ารังเกียจ เพราะธรรมดาว่า เมื่อความเกิดมีอยู่ ความแก่จัก ปรากฏแก่ผู้ที่เกิดมาแล้ว
1.1
(พระเจ้าพันธุมาเรียกนายสารถีมาตรัสถาม)
[๓๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระเจ้าพันธุมารับสั่งหานายสารถี มาตรัสถามว่า นายสารถีผู้สหาย ราชกุมารได้อภิรมย์ ในภูมิภาคแห่งสวนแลหรือ นายสารถีผู้สหายราชกุมารพอพระทัย ในภูมิภาคแห่งสวนแลหรือ นายสารถี กราบทูล ว่า ขอเดชะพระราชกุมารมิได้ทรงอภิรมย์ในภูมิภาคแห่งพระอุทยาน ขอเดชะ พระราชกุมาร มิได้ทรงพอพระทัยในภูมิภาคแห่งพระอุทยาน ดังนี้ ตรัสถามต่อไปว่า ดูกรนายสารถีผู้สหาย ก็ราชกุมารขณะเมื่อเสด็จประพาสสวนได้ ทอดพระเนตร อะไรเข้า
นายสารถีได้กราบทูลว่า ขอเดชะ พระราชกุมารขณะเมื่อเสด็จประพาส พระอุทยาน ได้ทอดพระเนตรชายชรามีซี่โครงคดเหมือนกลอน หลังงอ ถือไม้เท้า เดินงกๆ เงิ่นๆ กระสับกระส่าย หมดความหนุ่มแน่น ครั้นได้ทอดพระเนตร แล้ว ได้มีรับสั่งถามข้าพระพุทธเจ้าว่านายสารถีผู้สหาย ก็ชายผู้นี้ถูกใครทำอะ ให้ แม้ผม ของเขาก็ไม่เหมือนของคนอื่นๆ แม้ร่างกายของเขาก็ไม่เหมือนของ คนอื่นๆ เมื่อ ข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลว่า ขอเดชะ นี้แล เรียกว่าคนชรา พระองค์ ได้ตรัสถาม ย้ำว่า นายสารถีผู้สหาย นี้หรือเรียกว่า คนชรา
เมื่อข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลว่า ขอเดชะ นี้แลเรียกว่าคนชรา บัดนี้เขาจักพึง มีชีวิต อยู่ได้ไม่นาน พระราชกุมารได้ตรัสถามว่า นายสารถีผู้สหาย ถึงตัวเราก็จะต้อง มีความแก่เป็น ธรรมดาไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้หรือ เมื่อข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลว่า ขอเดชะ พระองค์และข้าพระพุทธเจ้าล้วนแต่จะต้องมีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้น ความแก่ไปได้ พระองค์ตรัสสั่งว่า นายสารถีผู้สหาย ถ้าเช่นนั้นวันนี้พอแล้วสำหรับ ภูมิภาคแห่งสวน เธอจงนำเรากลับไปภายในบุรีจากสวนนี้
ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า รับรับสั่งของพระวิปัสสีราชกุมาร แล้วได้นำเสด็จ กลับไปภายในบุรี จากพระอุทยานนั้น ขอเดชะ พระราชกุมารนั้นแล เสด็จถึงภายในบุรี แล้ว ทรงเป็นทุกข์เศร้าพระทัย ทรงพระดำริว่าผู้เจริญทั้งหลาย ได้ยินว่า ขึ้นชื่อว่า ความเกิดเป็นของน่ารังเกียจ เพราะธรรมดาว่า เมื่อความเกิดมีอยู่ ความแก่ จักปรากฏแก่ผู้ที่เกิด มาแล้ว
1.2
(พระเจ้าพันธุมาเกิดปริวิตก)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระเจ้าพันธุมา ทรงพระดำริว่า วิปัสสีราชกุมาร อย่าไม่เสวยราชย์เสียเลย วิปัสสีราชกุมารอย่าออกผนวชเป็นบรรพชิตเลย ถ้อยคำของ เนมิตตพราหมณ์อย่าพึงเป็นความจริงเลย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระเจ้าพันธุมารับสั่งให้บำรุงบำเรอพระวิปัสสี ราชกุมาร ด้วยกามคุณ ๕ ยิ่งกว่าแต่ก่อน โดยอาการที่จะให้พระวิปัสสี ราชกุมาร เสวยราชย์ โดยอาการที่จะไม่ให้พระวิปัสสีราชกุมารเสด็จออกผนวช เป็นบรรพชิต โดยอาการที่จะให้ถ้อยคำของเนมิตตพราหมณ์เป็นผิด ภิกษุทั้งหลายได้ยินว่า ครั้งนั้น พระวิปัสสีราชกุมารเพียบพร้อมพรั่งพร้อมด้วยกามคุณ ๕ ได้รับ การบำรุงบำเรออยู่
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
2
(เสด็จอุทยานครั้งที่ 2 เห็นคนเจ็บ)
[๓๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล โดยกาลล่วงไปหลายปี พระวิปัสสี ราชกุมาร ฯลฯ ภิกษุทั้งหลาย พระวิปัสสีราชกุมาร ขณะเมื่อเสด็จประพาสพระอุทยาน ได้ทอดพระเนตรคนเจ็บ ถึงความลำบาก เป็นไข้หนัก นอนจมอยู่ ในมูตร และ กรีส ของตน คนอื่นๆ ต้องช่วยพยุงให้ลุก ผู้อื่นต้องช่วยให้กิน ครั้นทอดพระเนตรแล้ว จึงรับสั่งถามนายสารถีว่า นายสารถีผู้สหาย ก็ชายนี้ถูกใคร ทำอะไรให้ แม้ตา ทั้งสอง ของเขาก็ไม่เหมือนของคนอื่นๆ แม้ศีรษะของเขาก็ไม่ เหมือนของคนอื่นๆ
นายสารถีกราบทูลว่า ขอเดชะ นี้แลเรียกว่า คนเจ็บ
นายสารถีผู้สหาย นี้หรือเรียกว่า คนเจ็บ
ขอเดชะ นี้แลเรียกว่า คนเจ็บ ไฉนเล่าเขาจะพึงหายจาก ความเจ็บ นั้นได้
นายสารถีผู้สหาย ถึงตัวเราก็จะต้องมีความเจ็บเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้น ความเจ็บไปได้หรือ
ขอเดชะ พระองค์และข้าพระพุทธเจ้า ล้วนจะต้องมี ความเจ็บเป็นธรรมดาไม่ล่วงพ้นความเจ็บไปได้
นายสารถีผู้สหาย ถ้าเช่นนั้น วันนี้พอแล้วสำหรับภูมิภาคแห่งสวน เธอจงนำเรากลับไปยังภายในบุรีจากสวนนี้เถิด ฯ
นายสารถีรับรับสั่งของพระวิปัสสีราชกุมารแล้วได้นำเสด็จกลับไปยัง ภายในบุรี จากพระอุทยานนั้น ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า ครั้งนั้น พระวิปัสสีราชกุมารเสด็จถึงภายในบุรี แล้วทรงเป็นทุกข์เศร้าพระทัย ทรงพระดำริว่า ผู้เจริญทั้งหลาย ได้ยินว่า ขึ้นชื่อว่า ความเกิดเป็นของน่ารังเกียจ เพราะธรรมดาว่า เมื่อความเกิดมีอยู่ ความแก่จักปรากฏ ความเจ็บจักปรากฏ แก่ผู้ที่เกิดมาแล้ว
2.1
(พระเจ้าพันธุมาเรียกนายสารถีมาตรัสถาม) (เป็นครั้งที่2)
[๓๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระเจ้าพันธุมารับสั่งหานายสารถี มาตรัสถามว่า นายสารถีผู้สหาย ราชกุมารได้อภิรมย์ในภูมิภาคแห่งสวนแลหรือ นายสารถีผู้สหายราชกุมารพอพระทัยในภูมิภาคแห่งสวนแลหรือ นายสารถี กราบทูลว่า ขอเดชะ พระราชกุมารมิได้ทรงอภิรมย์ในภูมิภาคแห่งพระอุทยานขอเดชะ พระราชกุมารมิได้ทรงพอพระทัยในภูมิภาคแห่งพระอุทยานดังนี้ ตรัสถาม ต่อไปว่า นายสารถีผู้สหาย ก็ราชกุมารขณะเมื่อเสด็จประพาสสวนได้ทอดพระเนตร อะไรเข้า
นายสารถีกราบทูลว่า ขอเดชะ พระราชกุมารขณะเมื่อเสด็จประพาส พระอุทยาน ได้ทอดพระเนตรคนเจ็บ ถึงความลำบาก เป็นไข้หนัก นอนจมอยู่ในมูตร และกรีส ของตน บุคคลอื่นๆ ต้องช่วยพยุงให้ลุก ผู้อื่นต้องช่วยให้กิน ครั้น ทอดพระเนตร แล้ว ได้รับสั่งถามข้าพระพุทธเจ้าว่า นายสารถีผู้สหาย ชาย คนนี้ ถูกใครทำอะไรให้ แม้ตาทั้งสองของเขาก็ไม่เหมือนของคนอื่นๆ แม้ศีรษะ ของเขา ก็ไม่เหมือนของคนอื่นๆ เมื่อข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลว่า
ขอเดชะ นี้แล เรียกว่า คนเจ็บ พระองค์ได้ตรัสถามย้ำว่า นายสารถีผู้สหาย นี้หรือเรียกว่า คนเจ็บ เมื่อข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลว่า ขอเดชะ นี้แลเรียกว่า คนเจ็บ ไฉน เล่าเขาจะพึงหายจากความเจ็บนั้นได้ พระราชกุมารได้ตรัสถามว่า นายสารถี ผู้สหาย แม้ถึงตัวเราก็จะต้องมีความเจ็บเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไปได้หรือ แต่พอ ข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลว่า
ขอเดชะ พระองค์และข้าพระพุทธเจ้าล้วนแต่จะต้องมี ความเจ็บป่วยเป็น ธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บป่วยไปได้พระองค์ตรัสสั่งว่า นายสารถีผู้สหาย ถ้าเช่นนั้น วันนี้พอแล้วสำหรับภูมิภาคแห่งสวน เธอจงนำเรา กลับไปยังภายในบุรีจากสวนนี้ ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้ารับรับสั่งของพระวิปัสสี ราชกุมารแล้ว ได้นำเสด็จกลับไป ภายในบุรีจากพระอุทยานนั้น
ขอเดชะ พระราชกุมารนั้นแล เสด็จถึงภายในบุรีแล้ว ทรงเป็นทุกข์ เศร้า พระทัย ทรงพระดำริว่า ผู้เจริญทั้งหลาย ได้ยินว่า ขึ้นชื่อว่า ความเกิดเป็นของ น่ารังเกียจ เพราะธรรมดาว่า เมื่อความเกิดมีอยู่ ความแก่จักปรากฏ ความเจ็บป่วยจัก ปรากฏแก่ผู้ที่เกิดมาแล้ว
2.2
(พระเจ้าพันธุมาเกิดปริวิตก)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระเจ้าพันธุมาทรงพระดำริว่า วิปัสสี ราชกุมาร อย่าไม่เสวยราชเสียเลย วิปัสสีราชกุมารอย่าออกผนวชเป็นบรรพชิตเลย ถ้อยคำของ เนมิตต พราหมณ์อย่าพึงเป็นความจริงเลย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระเจ้าพันธุมารับสั่งให้บำรุงบำเรอ พระวิปัสสี ราชกุมาร ด้วยกามคุณ ๕ ยิ่งกว่าแต่ก่อน โดยอาการที่จะให้พระวิปัสสีราชกุมาร เสวยราชย์ โดยอาการที่จะไม่ให้พระวิปัสสีราชกุมารเสด็จออกผนวช เป็นบรรพชิต โดยอาการที่จะให้ถ้อยคำของเนมิตตพราหมณ์เป็นผิด
ภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า ครั้งนั้น พระวิปัสสีราชกุมารเพียบพร้อมพรั่งพร้อม ด้วยกามคุณ ๕ ได้รับ การบำรุงบำเรออยู่ ฯลฯ
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
3
(เสด็จอุทยานครั้งที่ 3 ได้ทอดพระเนตรคนตาย)
[๓๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระวิปัสสีราชกุมารขณะเมื่อเสด็จประพาส พระอุทยาน ได้ทอดพระเนตรหมู่มหาชนประชุมกัน และวอ(รถลากศพ) ที่ทำด้วยผ้าสี ต่างๆ ครั้น ทอดพระเนตรแล้ว จึงรับสั่งถามนายสารถีว่า นายสารถีผู้สหาย หมู่มหาชน เขาประชุม กันทำไม และเขาทำวอด้วยผ้าสีต่างๆ กันทำไม นายสารถีได้กราบทูล ว่า ขอเดชะ นี้แลเรียกว่า คนตาย พระวิปัสสีราชกุมารได้ตรัสสั่งว่า นายสารถี ถ้าเช่นนั้น เธอจงขับรถไปทางคนตายนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นายสารถีรับรับสั่งของพระวิปัสสีราชกุมารแล้ว ได้ ขับรถไปทางคนตายนั้น ภิกษุทั้งหลาย พระวิปัสสีราชกุมารได้ทอดพระเนตร คนตายไปแล้ว ได้ตรัสเรียกนายสารถีมารับสั่งถามว่า นายสารถีผู้สหาย นี้หรือ เรียกว่าคนตาย
นายสารถีกราบทูลว่า ขอเดชะ นี้แลเรียกว่าคนตาย บัดนี้ มารดาบิดา หรือ ญาติสาโลหิตอื่นๆ จักไม่เห็นเขา แม้เขาก็จักไม่เห็นมารดาบิดาหรือญาติ สาโลหิตอื่นๆ
นายสารถีผู้สหาย ถึงตัวเราก็จะต้องมีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้น ความ ตายไปได้หรือ พระเจ้าแผ่นดิน พระเทวี หรือพระญาติสาโลหิตอื่นๆ จักไม่เห็นเรา หรือ แม้เราก็จักไม่เห็นพระเจ้าแผ่นดิน พระเทวี หรือพระญาติสาโลหิต อื่นๆ หรือ
ขอเดชะ พระองค์และข้าพระพุทธเจ้าล้วนแต่จะต้องมีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ พระเจ้าแผ่นดิน พระเทวี หรือพระญาติ สาโลหิตอื่นๆ จักไม่เห็นพระองค์ แม้พระองค์ก็จะไม่เห็น พระเจ้าแผ่นดิน พระเทวี หรือพระญาติ สาโลหิตอื่นๆ นายสารถีผู้สหาย ถ้าเช่นนั้น วันนี้พอแล้วสำหรับ ภูมิภาคแห่งสวน เธอจงนำเรากลับไปภายในบุรีจากสวนนี้เถิด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นายสารถีรับรับสั่งของพระวิปัสสีราชกุมารแล้ว ได้นำ เสด็จกลับไปภายในบุรี จากพระอุทยานนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า ครั้งนั้น พระวิปัสสีราชกุมารเสด็จถึงภายในบุรี แล้ว ทรงเป็นทุกข์เศร้าพระทัย ทรงพระดำริว่า ผู้เจริญทั้งหลาย ได้ยินว่า ขึ้นชื่อว่า ความเกิดเป็นของน่ารังเกียจ เพราะธรรมดาว่า เมื่อความเกิดมีอยู่ ความแก่จักปรากฏ ความเจ็บจักปรากฏ ความตายจักปรากฏ แก่ผู้ที่เกิดมาแล้ว
3.1
(พระเจ้าพันธุมาเรียกนายสารถีมาตรัสถาม)
[๓๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระเจ้าพันธุมารับสั่งหานายสารถี มาตรัสถามว่านายสารถีผู้สหาย ราชกุมารได้ทรงอภิรมย์ในภูมิภาคแห่งสวน แลหรือ นายสารถีผู้สหายราชกุมารพอพระทัยในภูมิภาคแห่งสวนแลหรือ นายสารถีกราบทูลว่า ขอเดชะ พระราชกุมารมิได้ทรงอภิรมย์ในภูมิภาคแห่ง พระอุทยาน ขอเดชะ พระราชกุมาร มิได้ทรงพอพระทัยในภูมิภาคแห่งพระอุทยาน ดังนี้ ตรัสถามต่อไปว่า นายสารถีผู้สหาย ก็ราชกุมารขณะเมื่อเสด็จประพาสสวนได้ทอดพระเนตรอะไรเข้า
นายสารถีกราบทูลว่า ขอเดชะ พระราชกุมารขณะเมื่อเสด็จประพาส พระอุทยาน ได้ทอดพระเนตรหมู่มหาชนประชุมกันและวอที่ทำด้วยผ้าสีต่างๆ แล้ว ได้ตรัสถามข้าพระพุทธเจ้าว่า นายสารถีผู้สหาย หมู่มหาชนประชุมกันทำไม เขา กระทำวอด้วยผ้าสีต่างๆ กันทำไม เมื่อข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลว่า นี้แลเรียกว่า คนตาย พระองค์ได้ตรัสสั่งว่า นายสารถีผู้สหาย ถ้าเช่นนั้น เธอจงขับรถไปทาง คนตายนั้น
ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้ารับรับสั่งของพระวิปัสสีราชกุมารแล้ว ได้ขับรถไปทาง คนตายนั้น ขอเดชะ พระราชกุมารได้ทอดพระเนตรคนตายเข้าแล้วได้ตรัส ถาม ข้าพระพุทธเจ้าว่า นายสารถีผู้สหาย นี้หรือเรียกว่าคนตาย เมื่อข้าพระพุทธเจ้า กราบทูลว่าขอเดชะ นี้แลเรียกว่าคนตาย บัดนี้ มารดาบิดาและญาติสาโลหิตอื่นๆ จักไม่เห็นเขา แม้เขาก็จักไม่เห็นมารดาบิดาหรือญาติสาโลหิตอื่นๆ ดังนี้ พระองค์ ได้ตรัสถามว่า นายสารถีผู้สหายถึงตัวเราก็จะต้องมีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้น ความตายไปได้หรือ พระเจ้าแผ่นดิน พระเทวีหรือพระญาติสาโลหิตอื่นๆ จักไม่เห็น เราหรือ แม้เราก็จักไม่เห็นพระเจ้าแผ่นดิน พระเทวีหรือพระญาติสาโลหิตอื่นๆ หรือ เมื่อข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลว่า
ขอเดชะ พระองค์และข้าพระพุทธเจ้าล้วนแต่จะต้อง มีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ พระเจ้าแผ่นดิน พระเทวี หรือพระญาติสาโลหิตอื่นๆ จักไม่เห็นพระองค์ แม้พระองค์ก็จักไม่เห็นพระเจ้าแผ่นดิน พระเทวีหรือพระญาติ สาโลหิต อื่นๆ ดังนี้ พระองค์ตรัสสั่งว่า นายสารถีผู้สหาย ถ้าเช่นนั้น วันนี้พอแล้ว สำหรับ ภูมิภาคแห่งสวน เธอจงนำเรากลับไปในบุรีจาก สวนนี้ ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้ารับ รับสั่งของพระวิปัสสีราชกุมารแล้ว ได้นำเสด็จกลับไปภายในบุรีจาก พระอุทยานนั้น
ขอเดชะ พระราชกุมารนั้น เสด็จถึงภายในบุรี แล้วทรงเป็นทุกข์เศร้าพระทัย ทรงพระดำริว่า ผู้เจริญทั้งหลาย ได้ยินว่า ขึ้นชื่อว่า ความเกิดเป็นของน่ารังเกียจ เพราะเมื่อความเกิดมีอยู่ ความแก่จักปรากฏ ความ เจ็บจักปรากฏ ความตายจักปรากฏ แก่ผู้ที่เกิดมาแล้ว
3.2
(พระเจ้าพันธุมาเกิดปริวิตก)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระเจ้าพันธุมาทรงพระดำริว่า วิปัสสี ราชกุมาร อย่าไม่พึงเสวยราชย์เลย วิปัสสีราชกุมารอย่าออกผนวชเป็นบรรพชิตเลย ถ้อยคำของ เนมิตตพราหมณ์ทั้งหลายอย่าเป็นความจริงเลย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระเจ้าพันธุมาได้รับสั่งให้บำรุงบำเรอ พระวิปัสสีราชกุมาร ด้วยกามคุณ ๕ ยิ่งกว่าแต่ก่อน โดยอาการที่จะให้พระวิปัสสี ราชกุมาร เสวยราชย์ โดยอาการที่จะไม่ให้พระวิปัสสีราชกุมาร เสด็จออกผนวช เป็นบรรพชิต โดยอาการที่จะให้ถ้อยคำของเนมิตตพราหมณ์เป็นผิด ภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า ครั้งนั้น พระวิปัสสีราชกุมารเพียบพร้อมพรั่งพร้อมด้วยกามคุณ ๕ ได้รับการบำรุงบำเรออยู่
4
(เสด็จอุทยานครั้งที่ 4 ได้ทอดพระเนตรบรรพชิตหัวโล้น)
[๓๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล โดยกาลล่วงไปหลายปี หลายร้อยปี หลายพันปี พระวิปัสสีราชกุมารได้ตรัสเรียกนายสารถีมาสั่งว่า นายสารถี ผู้สหาย เธอจงเทียมยานที่ดีๆเราจะไปในสวนเพื่อชมพื้นที่อันสวยสด ภิกษุทั้งหลาย นายสารถี รับรับสั่งของพระวิปัสสีราชกุมารแล้วเทียมยานที่ดีๆ เสร็จแล้ว ได้กราบทูล แด่พระวิปัสสีราชกุมาร ว่า ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าเทียมยาน ที่ดีๆ เสร็จแล้ว บัดนี้ พระองค์ทรงกำหนดเวลาอันสมควรเถิด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีราชกุมารทรงยานที่ดี เสด็จประพาส พระอุทยานพร้อมกับยานที่ดีๆ ทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลาย พระวิปัสสีราชกุมาร ขณะเมื่อ เสด็จประพาสพระอุทยาน ได้ทอดพระเนตรบุรุษ บรรพชิตศีรษะโล้น นุ่งห่มผ้า กาสาวพัสตร์ ครั้นทอดพระเนตรแล้ว จึงรับสั่งถามนายสารถีว่า นายสารถี ผู้สหาย บุรุษนี้ถูกใครทำอะไรให้ แม้ศีรษะของเขาก็ไม่เหมือนคนอื่นๆ แม้ผ้าทั้งหลายของเขา ก็ไม่เหมือนคนอื่นๆ
นายสารถีกราบทูลว่า ขอเดชะ นี้แลเรียกว่าบรรพชิต นายสารถีผู้สหาย นี้หรือเรียกว่า บรรพชิต ขอเดชะ นี้แลเรียกว่า บรรพชิต การประพฤติธรรมเป็นความดี การประพฤติสม่ำเสมอเป็นความดี การประพฤติกุศลเป็นความดี การกระทำบุญเป็น ความดี การไม่เบียดเบียนเป็นความดี การอนุเคราะห์แก่หมู่สัตว์เป็นความดี
นายสารถีผู้สหาย ดีละ ที่บุคคลนั้นได้นามว่า บรรพชิต การประพฤติ ธรรมเป็นความดี การประพฤติสม่ำเสมอเป็นความดี การประพฤติกุศลเป็นความดี การกระทำบุญเป็น ความดี การไม่เบียดเบียนเป็นความดี การอนุเคราะห์แก่หมู่สัตว์ เป็นความดี นายสารถี ผู้สหาย ถ้าเช่นนั้น เธอจงขับรถไปทางบรรพชิตนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นายสารถีรับรับสั่งของพระวิปัสสีราชกุมารแล้ว ขับรถไปทางบรรพชิต นั้น
4.1
(พระวิปัสสีราชกุมาร ตรัสถามบรรพชิต)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีราชกุมารได้ตรัสถามบรรพชิต นั้นว่า สหายท่านถูกใครทำอะไรให้ แม้ศีรษะของท่านก็ไม่เหมือนของคนอื่นๆ แม้ผ้าทั้งหลาย ของท่านก็ไม่เหมือนของคนอื่นๆ
บรรพชิตนั้นได้ทูลว่า ขอถวายพระพร อาตมภาพแลชื่อบรรพชิต
สหาย ก็ท่านหรือชื่อบรรพชิต
ขอถวายพระพร อาตมภาพชื่อบรรพชิต
๑) การประพฤติธรรม เป็นความดี
๒) การประพฤติสม่ำเสมอ เป็นความดี
๓) การประพฤติกุศล เป็นความดี
๔) การกระทำบุญ เป็นความดี
๕) การไม่เบียดเบียน เป็นความดี
๖) การอนุเคราะห์แก่หมู่สัตว์ เป็นความดี
ดีละสหาย ที่ท่านได้นามว่าบรรพชิต การประพฤติธรรมเป็นความดี การประพฤติ สม่ำเสมอ เป็นความดี การประพฤติกุศลเป็นความดี การกระทำบุญ เป็นความดี การไม่เบียดเบียนเป็นความดี การอนุเคราะห์แก่หมู่สัตว์เป็นความดี
4.2
(ทรงปลงผมและหนวดนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต โดยไม่ได้ เสด็จกลับที่ประทับ)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีราชกุมารได้ตรัสเรียกนาย สารถี มาสั่งว่านายสารถีผู้สหาย ถ้าเช่นนั้น เธอจงนำรถกลับไปภายในบุรี จากสวนนี้ ส่วนเราจักปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต ณ สวนนี้แหละ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นายสารถีรับรับสั่งของพระวิปัสสีราชกุมารแล้ว ได้พารถ กลับไปยัง ภายในบุรี จากสวนนั้น ส่วนพระวิปัสสีราชกุมารได้ทรงปลงพระเกศา และพระมัสสุ ทรงครองผ้ากาสาวพัสตร์ เสด็จออกทรงผนวชเป็นบรรพชิตแล้ว ณ พระอุทยาน นั้นเอง
4.3
(ชาวพันธุมดีจำนวน 84,000 คน ออกบวชตามพระวิปัสสีโพธิสัตว์)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย หมู่มหาชนในพระนครพันธุมดีราชธานีประมาณ ๘๔,๐๐๐ คน ได้สดับข่าวว่า พระวิปัสสีราชกุมารได้ทรงปลงพระเกศาและพระมัสสุ ทรงครองผ้า กาสาวพัสตร์เสด็จออกทรงผนวชเป็นบรรพชิตเสียแล้ว ดังนี้ ครั้นแล้ว มหาชนเหล่านั้น ได้ดำริดังนี้ว่า ก็พระวิปัสสีราชกุมารได้ทรงปลงพระเกศาและ พระมัสสุ ทรงครองผ้า กาสาวพัสตร์ เสด็จออกทรงผนวชเป็นบรรพชิตในพระธรรมวินัยใด พระธรรมวินัยนั้น คงไม่เลวทรามเป็นแน่ บรรพชานั้นคงไม่เลวทรามเป็นแน่ แต่พระวิปัสสีราชกุมาร ยังทรงปลง พระเกศาและพระมัสสุ ทรงครองผ้า กาสาวพัสตร์เสด็จออกทรงผนวช เป็นบรรพชิตได้ พวกเราทำไมจึงจักบวชไม่ได้เล่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล หมู่มหาชนประมาณ ๘๔,๐๐๐ คน ได้พากัน โกน ผม และหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกบวช เป็นบรรพชิต ตามเสด็จพระวิปัสสี โพธิสัตว์ แล้ว ได้ยินว่าพระวิปัสสีโพธิสัตว์อันบริษัทนั้นห้อมล้อม เสด็จเที่ยวจาริกไป ในบ้าน นิคม ชนบท และราชธานี
4.4
(พระวิปัสสีโพธิสัตว์เสด็จหลีกออกเร้นแต่ผู้เดียว)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีโพธิสัตว์เสด็จหลีกออกเร้น อยู่ในที่ลับ ได้ทรงพระปริวิตกเช่นนี้ว่า การที่เราเป็นผู้ปะปนอยู่เช่นนี้ ไม่สมควรเลย ไฉนหนอ เราพึง หลีกออกจากหมู่อยู่แต่ผู้เดียว ภิกษุทั้งหลาย ครั้นสมัยต่อมา พระวิปัสสีโพธิสัตว์ ได้เสด็จ หลีกออกจากหมู่อยู่แต่พระองค์เดียว บรรพชิต ๘๔,๐๐๐ รูป ได้พากันไป ทางหนึ่ง พระวิปัสสีโพธิสัตว์ได้เสด็จไปทางหนึ่ง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีโพธิสัตว์ผู้เสด็จหลีกออกเร้น อยู่ในที่ลับ ได้ทรงพระปริวิตกเช่นนี้ว่า โลกนี้ถึงความยาก ย่อมเกิด แก่ ตาย และ เวียนตาย เวียนเกิดเออก็แหละบุคคลไม่รู้ชัดถึงอุบายเครื่องพ้นทุกข์ คือ ชราและ มรณะนี้ การพ้นทุกข์ คือ ชราและมรณะนี้ จักปรากฏได้เมื่อไรเล่า
|