พระไตรปิฎก ฉบับหลวง  เล่มที่ ๗ หน้าที่ ๒๔๘ 
                         
                        (1) 
                          พระอานนท์สำเร็จพระอรหัต 
                          
                                  [๖๑๗] ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์คิดว่า พรุ่งนี้เป็นวันประชุม ข้อที่เรายัง เป็นเสกขบุคคลอยู่จะพึงไปสู่ที่ประชุมนั้น ไม่ควรแก่เรา จึงยังราตรีเป็นส่วนมากให้ ล่วงไปด้วย กายคตาสติ ในเวลาใกล้รุ่งแห่งราตรีจึงเอนกายด้วยตั้งใจว่า จักนอน แต่ศีรษะยังไม่ทันถึงหมอน และเท้ายังไม่ทันพ้นจากพื้น ในระหว่างนั้น จิตได้หลุดพ้นจากอาสวะ เพราะไม่ถือมั่น  
                        ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์เป็นพระอรหันต์ได้ไปสู่ที่ประชุมฯ 
                        —-------------------------------------------------------------------------------------------------------- 
                          พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๕ หน้าที่ ๒๒๘ 
                           
                        อานันทสูตรที่ ๔ 
                           
                                  [๗๓๕] สมัยหนึ่ง ท่านพระอานนท์อยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของท่าน อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี  
                                  ครั้งนั้นแล ในเวลาเช้า ท่านพระอานนท์นุ่งห่มแล้ว ถือบาตรและจีวร  เข้าไป เที่ยวบิณฑบาต ในพระนครสาวัตถี มีท่านพระวังคีสะเป็นปัจฉาสมณะ ก็โดยสมัยนั้น แล ความกระสันได้เกิดขึ้น ความกำหนัดย่อมรบกวนจิตของท่านพระวังคีสะ  
                                  [๗๓๖] ครั้งนั้นแล ท่านพระวังคีสะ ได้กล่าวกะท่านพระอานนท์ด้วยคาถา ว่า ข้าพเจ้าเร่าร้อนเพราะกามราคะ จิตของข้าพเจ้ารุ่มร้อน ขอท่านจงบอกวิธี เป็นเครื่อง ดับราคะ เพื่ออนุเคราะห์แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด ท่านผู้โคดม ฯ ท่านพระอานนท์ จึงกล่าวว่า 
                                  [๗๓๗] จิตของท่านรุ่มร้อน เพราะสัญญาอันวิปลาส ท่านจงละเว้นนิมิต อันสวยงาม อันเป็นที่ตั้งแห่งราคะเสีย ท่านจงเห็นสังขารทั้งหลาย โดย
                          ความเป็น ของแปรปรวน โดยเป็นทุกข์ และอย่าเห็นโดยความเป็นตน
                          ท่านจงดับราคะ อันแรงกล้า  
                                  ท่านจงอย่าถูกราคะ เผาผลาญบ่อยๆ ท่านจงเจริญจิตใน อสุภกัมมัฏฐาน ให้เป็นจิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว ตั้งมั่นด้วยดีเถิด ท่านจงมี กายคตาสติ ท่านจงเป็น ผู้มากด้วยความหน่าย  ท่านจงเจริญความไม่มีนิมิต  และจงถอนมานานุสัยเสีย เพราะการรู้เท่าถึงมานะ ท่านจักเป็นผู้สงบระงับเที่ยวไป ดังนี้  
                           
                          —-------------------------------------------------------------------------------------------------------- 
                          พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๓๑ หน้าที่ ๑๙ 
                        ธรรมอย่างหนึ่ง ควรเจริญ คือ กายคตาสติ 
                          (พระสูตรนี้ เป็นอรรถกถา) 
                                  [๖๗] ปัญญาเครื่องทรงจำธรรม ที่ได้สดับมาแล้ว คือ เครื่องรู้ชัดธรรมที่ได้ สดับมาแล้วนั้นว่า ธรรมเหล่านี้ควรเจริญ ชื่อว่าสุตมยญาณอย่างไร	 
                          ธรรมอย่างหนึ่ง ควรเจริญ คือ กายคตาสติ อันสหรคตด้วยความสำราญ  
                          ธรรม ๒ ควรเจริญ คือ สมถะ ๑ วิปัสนา ๑  
                          ธรรม ๓ ควรเจริญ คือ สมาธิ ๓ (๑.ขณิกสมาธิ  ๒. อุปจารสมาธิ ๓. อัปปนาสมาธิ-  อรรถกถา) 
                          ธรรม ๔ ควรเจริญ คือ สติปัฏฐาน ๔  
                          ธรรม ๕ ควรเจริญ คือ สัมมาสมาธิมีองค์ ๕ (อ่านต่อ) 
                          ธรรม ๖ ควรเจริญ คือ อนุสสติ ๖ (อ่านต่อ) 
                          ธรรม ๗ ควรเจริญ คือ โพชฌงค์ ๗ (อ่านต่อ) 
                          ธรรม ๘ ควรเจริญ คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ (อ่านต่อ) 
                          ธรรม ๙ ควรเจริญ คือ องค์อันเป็นประธาน แห่งความบริสุทธิ์ [ปาริสุทธิ] ๙  
                          ธรรม ๑๐ ควรเจริญ คือ กสิณ ๑๐  (อ่านต่อ) 
                            |