พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๗-๙
อานันทสูตร
ว่าด้วยธรรมมีเหตุให้ถูกขจัด (สูตรที่ ๓)
แสดงธรรมโดยพระอานนท์
[๕] ณ ที่นั้นแล ท่านพระอานนท์ เรียกภิกษุทั้งหลายมากล่าวว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ ทั้งหลาย อวิปปฏิสาร มีเหตุอันบุคคล ผู้ทุศีล ผู้มีศีลวิบัติขจัดเสียแล้ว
- เมื่ออวิปปฏิสารไม่มี ปราโมทย์ชื่อว่า มีเหตุอันบุคคล ผู้มีอวิปปฏิสารวิบัติ ขจัดเสียแล้ว
- เมื่อปราโมทย์ไม่มี ปีติ ชื่อว่า มีเหตุอันบุคคลผู้มีปราโมทย์วิบัติขจัดเสียแล้ว - เมื่อปีติไม่มี ปัสสัทธิ ชื่อว่ามีเหตุ อันบุคคลผู้มี ปีติวิบัติ ขจัดเสียแล้ว
- เมื่อปัสสัทธิไม่มี สุข ชื่อว่ามีเหตุอันบุคคลผู้มีปัสสัทธิวิบัติ ขจัดเสียแล้ว
- เมื่อสุขไม่มี สัมมาสมาธิ ชื่อว่า มีเหตุอันบุคคล ผู้มีสุขวิบัติขจัดเสียแล้ว
- เมื่อสัมมาสมาธิไม่มี ยถาภูตญาณทัสสนะ ชื่อว่ามีเหตุอันบุคคล ผู้มีสัมมาสมาธิ วิบัติขจัดเสียแล้ว
-
เมื่อยถาภูตญาณทัสสนะไม่มี นิพพิทาวิราคะ ชื่อว่า มีเหตุอันบุคคล ผู้มียถาภูตญาณทัสสนะวิบัติขจัดเสียแล้ว
- เมื่อนิพพิทาวิราคะไม่มี วิมุตติญาณทัสสนะ ชื่อว่ามีเหตุ อันบุคคลผู้มีนิพพิทา วิราคะวิบัติ ขจัดเสียแล้ว
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย เปรียบเหมือนต้นไม้มีกิ่ง และใบวิบัติ แล้ว แม้กะเทาะ ของต้นไม้นั้น ย่อมไม่ถึงความบริบูรณ์ แม้เปลือกแม้กระพี้ แม้แก่น ของต้นไม้นั้น ก็ย่อม ไม่ถึงความบริบูรณ์ แม้ฉันใด
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย อวิปปฏิสาร มีเหตุอันบุคคลผู้ทุศีลผู้ มีศีลวิบัติ ขจัด เสียแล้ว เมื่ออวิปปฏิสารไม่มี ปราโมทย์ ชื่อว่ามีเหตุ อันบุคคลผู้มีอวิปปฏิสารวิบัติ ขจัดเสียแล้ว ฯลฯ เมื่อนิพพิทาวิราคะไม่มี วิมุตติญาณทัสสนะ ชื่อว่ามีเหตุ อันบุคคลผู้มี นิพพิทาวิราคะวิบัติขจัดเสียแล้ว ฉันนั้นเหมือนกันแล
ดูกรภิกษุผู้มีอายุทั้งหลาย อวิปปฏิสารมีเหตุสมบูรณ์ ย่อมมีแก่บุคคลผู้มีศีล ผู้สมบูรณ์ด้วยศีล เมื่ออวิปปฏิสารมีอยู่ ปราโมทย์ชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์ ย่อมมีแก่บุคคล ผู้สมบูรณ์ ด้วยอวิปปฏิสาร
เมื่อปราโมทย์มีอยู่ ปีติชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์ ย่อมมีแก่บุคคลผู้สมบูรณ์ ด้วย ปราโมทย์ เมื่อปีติมีอยู่ ปัสสัทธิชื่อว่ามี เหตุสมบูรณ์ ย่อมมีแก่บุคคล ผู้สมบูรณ์ด้วยปีติ เมื่อปัสสัทธิมีอยู่ สุขชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์ ย่อมมีแก่บุคคล ผู้สมบูรณ์ด้วย ปัสสัทธิ เมื่อสุข มีอยู่ สัมมาสมาธิชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์ ย่อมมีแก่บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยสุข
เมื่อสัมมาสมาธิมีอยู่ ยถาภูตญาณทัสสนะ ชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์ ย่อมมีแก่บุคคล ผู้สมบูรณ์ ด้วยสัมมาสมาธิ เมื่อยถาภูตญาณ ทัสสนะมีอยู่ นิพพิทาวิราคะ ชื่อว่ามีเหตุ สมบูรณ์ ย่อมมีแก่บุคคลผู้สมบูรณ์ ด้วยยถาภูตญาณทัสสนะ เมื่อนิพพิทาวิราคะ มีอยู่ วิมุตติญาณทัสสนะ ชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์ ย่อมมีแก่บุคคลผู้สมบูรณ์ ด้วยนิพพิทาวิราคะ
ดูกรท่านผู้มีอายุเปรียบเหมือนต้นไม้มีกิ่งและใบสมบูรณ์แล้ว แม้กะเทาะของ ต้นไม้ ย่อมถึงความบริบูรณ์ แม้เปลือก แม้กระพี้ แม้แก่น ของต้นไม้นั้น ก็ย่อมถึงความ บริบูรณ์แม้ฉันใด
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย อวิปปฏิสารมีเหตุ อันสมบูรณ์ ย่อมมีแก่บุคคลผู้มีศีล ผู้สมบูรณ์ด้วยศีล เมื่ออวิปปฏิสารมีอยู่ ปราโมทย์ชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์ ย่อมมีแก่บุคคล ผู้สมบูรณ์ด้วยอวิปปฏิสาร ฯลฯ
เมื่อนิพพิทาวิราคะมีอยู่ วิมุตติญาณทัสสนะ ชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์ ย่อมมีแก่บุคคล ผู้สมบูรณ์ ด้วยนิพพิทาวิราคะ ฉันนั้น เหมือนกันแล
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๙-๑๐
สมาธิสูตร
ว่าด้วยการได้สมาธิของภิกษุ
[๖] ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ตนไม่พึงมีความสำคัญใน ปฐวีธาตุ ว่าเป็นปฐวีธาตุเป็นอารมณ์
ไม่พึงมีความสำคัญใน อาโปธาตุ ว่าเป็นอาโปธาตุเป็นอารมณ์
ไม่พึงมีความสำคัญ ใน เตโชธาตุ ว่าเป็นเตโชธาตุ เป็นอารมณ์
ไม่พึงมีความสำคัญใน วาโยธาตุ ว่าเป็นวาโยธาตุ เป็นอารมณ์
ไม่พึงมีความสำคัญใน อากาสานัญจายตนฌาน ว่าเป็นอากาสานัญจายตนฌาน เป็นอารมณ์
ไม่พึงมีความสำคัญใน วิญญาณัญจายตนฌาน ว่าเป็นวิญญาณัญจายตน ฌาน เป็นอารมณ์
ไม่พึงมีความสำคัญใน อากิญจัญญายตนฌาน ว่าเป็นอากิญจัญญายตนฌาน เป็นอารมณ์
ไม่พึงมีความสำคัญใน เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ว่า เป็นเนวสัญญา นาสัญญายตนฌาน เป็นอารมณ์
ไม่พึงมีความสำคัญในโลกนี้ ว่าเป็นโลกนี้ เป็นอารมณ์
ไม่พึงมีความสำคัญใน โลกหน้า ว่าเป็นโลกหน้า เป็นอารมณ์
ก็แต่ว่าพึงเป็นผู้มีสัญญา การได้สมาธิเห็นปานนั้น พึงมีแก่ภิกษุหรือหนอแล
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ ตนไม่พึงมีความสำคัญในปฐวีธาตุ ว่าเป็น ปฐวีธาตุเป็นอารมณ์ ไม่พึงมีความสำคัญ ในอาโปธาตุ ว่าเป็นอาโปธาตุเป็นอารมณ์ ... ไม่พึงมีความสำคัญในโลกหน้า ว่าเป็นโลกหน้าเป็นอารมณ์ ก็แต่ว่าพึงเป็นผู้มี สัญญา การได้สมาธิเห็นปานนั้น พึงมีแก่ภิกษุ
อา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ตนไม่พึงมีความสำคัญในปฐวีธาตุ ว่าเป็นปฐวีธาตุ เป็นอารมณ์ ไม่พึงมีความสำคัญใน อาโปธาตุ ว่าเป็นอาโปธาตุเป็นอารมณ์... ไม่พึงมี ความสำคัญในโลกหน้า ว่าเป็นโลกหน้าเป็นอารมณ์ ก็แต่ว่าพึงเป็นผู้มีสัญญา ก็การได้ สมาธิเห็นปานนั้น พึงมีแก่ภิกษุได้อย่างไร
พ. ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีความสำคัญอย่างนี้ ว่านั่นสงบ นั่น ประณีต คือ ความระงับสังขารทั้งปวง ความสละ คืน อุปธิกิเลสทั้งปวง ความสิ้นแห่ง ตัณหา ความปราศจากความกำหนัด ความดับ นิพพานดังนี้
ดูกรอานนท์ ตนไม่พึงมีความสำคัญในปฐวีธาตุ ว่าเป็นปฐวีธาตุเป็นอารมณ์ ไม่พึง มีความสำคัญในอาโปธาตุ ว่าเป็นอาโปธาตุเป็นอารมณ์ ... ไม่พึงมีความสำคัญใน โลกหน้า ว่าเป็นโลกหน้าเป็นอารมณ์ ก็แต่ว่าพึงเป็นผู้มีสัญญา การได้สมาธิเห็นปานนั้น พึงมีแก่ภิกษุได้อย่างนี้แล |