พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๐-๑๑
สาริปุตตสูตร
พระสารีบุตรตอบปัญหาพระอานนท์
[๗] ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ ได้เข้าไปหาท่านพระสารีบุตรถึงที่อยู่ ได้ปราศรัย กับท่านพระสารีบุตร ครั้นผ่านการ ปราศรัย พอให้ระลึกถึงกันไปแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ถามท่านพระสารีบุตรว่า
ดูกรท่านสารีบุตรผู้มีอายุ ตนไม่พึงมีความสำคัญในปฐวีธาตุ ว่าเป็นปฐวีธาตุ เป็นอารมณ์ ไม่พึงมีความสำคัญในอาโปธาตุ ว่าเป็นอาโปธาตุเป็นอารมณ์ ... ไม่พึงมี ความสำคัญในโลกหน้า ว่าเป็นโลกหน้าเป็นอารมณ์ ก็แต่ว่าพึงเป็นผู้มีสัญญา การได้ สมาธิ เห็นปานนั้น พึงมีแก่ภิกษุหรือหนอ
ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า ดูกรท่านอานนท์ ตนไม่พึงมีความสำคัญในปฐวีธาตุ ว่าเป็นปฐวีธาตุ เป็นอารมณ์ ฯลฯ ไม่พึงมีความสำคัญ ในโลกหน้า ว่าเป็นโลกหน้า เป็นอารมณ์ ก็แต่ว่าพึงเป็นผู้มีสัญญา การได้สมาธิเห็นปานนั้น พึงมีแก่ภิกษุ
อา. ดูกรท่านสารีบุตร ตนไม่พึงมีความสำคัญในปฐวีธาตุ ว่าเป็นปฐวีธาตุเป็น อารมณ์ ฯลฯ ไม่พึงมีความสำคัญในโลกหน้า ว่าเป็นโลกหน้าเป็นอารมณ์ ก็แต่ว่าพึง เป็นผู้มีสัญญา ก็การได้สมาธิเห็นปานนั้น พึงมีแก่ภิกษุได้อย่างไร
สา. ดูกรท่านอานนท์ สมัยหนึ่ง ผมอยู่ ณ ป่าอันธวัน ใกล้พระนครสาวัตถีนี้แหละ ณ ที่นั้น ผมเข้าสมาธิ โดยประการที่ผม
มิได้มีความสำคัญ ในปฐวีธาตุว่าเป็นปฐวีธาตุ เป็นอารมณ์เลย
มิได้มีความสำคัญ ในอาโปธาตุว่าเป็นอาโปธาตุเป็น อารมณ์
มิได้มี ความสำคัญในเตโชธาตุว่าเป็นเตโชธาตุเป็นอารมณ์
มิได้มีความสำคัญ ในวาโยธาตุว่าเป็นวาโยธาตุ เป็นอารมณ์
มิได้มีความสำคัญ ในอากาสานัญจายตนฌาน ว่าเป็นอากาสานัญจายตนฌาน เป็นอารมณ์
มิได้มีความสำคัญ ในวิญญาณัญจายตนฌาน ว่าเป็นวิญญาณัญจายตนฌาน เป็นอารมณ์
มิได้มีความสำคัญ ในอากิญจัญญายตนฌาน ว่าเป็น อากิญจัญญายตนฌาน เป็นอารมณ์
มิได้มีความสำคัญ ในเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ว่าเป็นเนวสัญญา นาสัญญายตนฌาน เป็นอารมณ์
มิได้มีความ สำคัญในโลกนี้ ว่าเป็นโลกนี้ เป็นอารมณ์
มิได้มีความสำคัญในโลกหน้า ว่าเป็นโลกหน้า เป็นอารมณ์
ก็แต่ว่าผมเป็น ผู้มีสัญญา
อา. ก็ในสมัยนั้น ท่านพระสารีบุตรเป็นผู้มีสัญญาอย่างไร
สา. ดูกรท่านผู้มีอายุ
สัญญาอย่างหนึ่ง ย่อมเกิดขึ้น แก่ผมว่า การดับภพ เป็นนิพพาน การดับภพเป็นนิพพาน ดังนี้แล
สัญญาอย่างหนึ่งย่อมดับไป
ดูกรท่านผู้มีอายุ เมื่อไฟมีเชื้อกำลังไหม้อยู่ เปลวอย่างหนึ่งย่อมเกิดขึ้น เปลวอย่างหนึ่งย่อมดับไป แม้ฉันใด
ดูกรท่านผู้มีอายุ
- สัญญาอย่างหนึ่งย่อมเกิดขึ้น แก่ผมว่า การดับภพเป็นนิพพาน การดับภพเป็นนิพพาน ดังนี้
-
สัญญาอย่างหนึ่งย่อมดับไป ฉันนั้นเหมือนกันแล
ดูกรท่านผู้มีอายุ ก็แลในสมัยนั้น ผมได้มีสัญญาว่า การดับภพเป็นนิพพาน ดังนี้
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๑-๑๒
สัทธาสูตร
ภิกษุผู้บริบูรณ์ด้วยองค์นั้น (ธรรม ๙ ประการ)
[๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้มีศรัทธา แต่ไม่มีศีลอย่างนี้เธอ ชื่อว่าเป็นผู้ ไม่บริบูรณ์ด้วยองค์นั้น เธอนั้นพึงบำเพ็ญองค์นั้น ให้บริบูรณ์ด้วยคิดว่า ไฉนหนอ เราพึงเป็นผู้มีศรัทธา และศีล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดแลภิกษุเป็นผู้ มีศรัทธา และศีล เมื่อนั้น เธอชื่อว่า เป็นผู้บริบูรณ์ ด้วยองค์นั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุเป็นผู้มีศรัทธา มีศีล แต่ไม่เป็นพหูสูต ฯลฯ
เป็นพหูสูต แต่ไม่เป็นพระธรรมกถึก ฯลฯ
เป็นพระธรรมกถึก แต่ไม่เข้าสู่บริษัท ฯลฯ
เข้าสู่บริษัท แต่ไม่แกล้วกล้าแสดงธรรมแก่บริษัท ฯลฯ
แกล้วกล้าแสดงธรรมแก่บริษัท แต่ไม่ทรงวินัย ฯลฯ
ทรงวินัย แต่ไม่อยู่ป่าเป็นวัตร อยู่ในเสนาสนะอันสงัด ฯลฯ
อยู่ป่าเป็นวัตร อยู่ในเสนาสนะอันสงัด แต่ไม่ได้ตามความปรารถนา ไม่ได้โดย ไม่ยาก ไม่ได้โดยไม่ลำบาก ซึ่งฌาน ๔ อันมีในจิตยิ่งเป็นเครื่องอยู่เป็นสุข ในปัจจุบัน ฯลฯ
ได้ตามความปรารถนา ได้โดยไม่ยากได้โดยไม่ลำบาก ซึ่งฌาน ๔ อันมีในจิตยิ่ง เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน แต่ไม่ได้ ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหา อาสวะ มิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ อย่างนี้ เธอชื่อว่าเป็นผู้ไม่บริบูรณ์ ด้วยองค์นั้น
เธอพึงบำเพ็ญองค์นั้น ให้บริบูรณ์ด้วยคิดว่า ไฉนหนอเราพึงเป็นผู้มี ศรัทธา มีศีล เป็นพหูสูต เป็นธรรมกถึก เข้าสู่บริษัท ได้แกล้วกล้าแสดงธรรมแก่บริษัท ทรงวินัย อยู่ป่า เป็นวัตร อยู่ในเสนาสนะอันสงัด ได้ตามความปรารถนา ได้โดยไม่ยาก ได้โดยไม่ลำบาก ซึ่งฌาน ๔ อันมีในจิตยิ่งเป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน กระทำให้แจ้ง ซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไปด้วยปัญญา อันยิ่งเองใน ปัจจุบัน เข้าถึงอยู่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดแล ภิกษุเป็นผู้มีศรัทธา มีศีล ... กระทำให้แจ้ง ซึ่ง เจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญา อันยิ่งเอง ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ เมื่อนั้น เธอชื่อว่าเป็นผู้บริบูรณ์ด้วยองค์นั้นๆ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการนี้แล ย่อมเป็นผู้ก่อ ให้เกิดความเลื่อมใสโดยรอบ และเป็นผู้บริบูรณ์ ด้วยอาการทั้งปวง
(ธรรม ๑๐ ประการ : ๑ มีศรัทธา ๒ มีศีล ๓ เป็นพหูสูต ๔ เป็นธรรมกถึก ๕ เข้าไปสู่บริษัท ๖ แกล้วกล้า แสดงธรรม ๗ ทรงวินัย ๘ อยู่ป่าเป็นวัตร ๙ ได้ฌาน๔โดยไม่ยาก ๑๐ ทำให้แจ้งเจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติ ) |