พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๘ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๖๖
มิจฉาทิฏฐิสูตร
ว่าด้วยการละมิจฉาทิฏฐิ
[๒๕๔] ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับฯลฯ ครั้นแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บุคคลรู้อยู่อย่างไร เห็นอยู่อย่างไร จึงจะละมิจฉาทิฐิได้ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรภิกษุ บุคคล
รู้เห็นจักษุ แล โดยความเป็นของไม่เที่ยง จึงจะละมิจฉาทิฐิได้
รู้เห็นรูป โดยความเป็นของไม่เที่ยง จึงจะละมิจฉาทิฐิได้
รู้เห็นจักษุวิญญาณ โดยความ เป็นของไม่เที่ยง จึงจะละมิจฉาทิฐิได้
รู้เห็นจักษุสัมผัส โดยความเป็นของไม่เที่ยง จึงจะละมิจฉาทิฐิได้
รู้เห็นแม้สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนาที่เกิดขึ้น เพราะจักษุสัมผัส เป็นปัจจัย โดยความเป็นของไม่เที่ยง จึงจะละมิจฉาทิฐิได้
บุคคลรู้เห็นหู... รู้เห็นจมูก... รู้เห็นลิ้น... รู้เห็นกาย... รู้เห็นใจ โดยความเป็นของไม่เที่ยง จึงจะละมิจฉาทิฐิได้
รู้เห็นธรรมารมณ์ โดยความเป็นของไม่เที่ยง จึงจะละมิจฉาทิฐิได้
รู้เห็นมโนวิญญาณ โดยความเป็นของไม่เที่ยง จึงจะละมิจฉาทิฐิได้
รู้เห็นมโนสัมผัส โดยความเป็น ของไม่เที่ยง จึงจะละมิจฉาทิฐิได้
รู้เห็นสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้น เพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย โดยความเป็นของไม่เที่ยง จึงจะละมิจฉาทิฐิได้
ดูกรภิกษุ เมื่อบุคคลรู้อยู่อย่างนี้เห็นอยู่อย่างนี้แล จึงจะละมิจฉาทิฐิได้
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๘ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๖๖-๑๖๗
สักกายทิฏฐิสูตร
ว่าด้วยการละสักกายทิฏฐิ
[๒๕๕] ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับฯลฯ ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บุคคลรู้อยู่อย่างไร เห็นอยู่อย่างไร จึงจะละสักกายทิฐิได้ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรภิกษุ บุคคลรู้เห็นจักษุแลโดยความเป็นทุกข์ จึงจะละสักกายทิฐิได้รู้เห็นรูป โดยความเป็นทุกข์ จึงจะละสักกายทิฐิได้
รู้เห็นจักษุวิญญาณโดยความเป็นทุกข์ จึงจะละสักกายทิฐิได้
รู้เห็นจักษุสัมผัส โดยความเป็นทุกข์ จึงจะละสักกายทิฐิได้
รู้เห็นแม้สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนาที่เกิดขึ้น เพราะจักษุสัมผัสเป็น ปัจจัยโดยความเป็นทุกข์ จึงจะละสักกายทิฐิได้
บุคคลรู้เห็นหู ... รู้เห็นจมูก... รู้เห็นลิ้น... รู้เห็นกาย... รู้เห็นใจโดยความเป็นทุกข์ จึงจะละสักกายทิฐิได้
รู้เห็นธรรมารมณ์ โดยความเป็นทุกข์ จึงจะละสักกายทิฐิได้
รู้เห็นมโนวิญญาณ โดยความเป็นทุกข์ จึงจะละสักกายทิฐิได้
รู้เห็นมโนสัมผัส โดยความเป็นทุกข์ จึงจะละสักกายทิฐิได้
รู้เห็นแม้สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนาที่เกิดขึ้น
เพราะมโนสัมผัส เป็นปัจจัย โดยความเป็นทุกข์ จึงจะละสักกายทิฐิได้
ดูกรภิกษุเมื่อบุคคลรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้แล จึงจะละสักกายทิฐิได้
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๘ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๖๗-๑๖๘
อัตตานุทิฏฐิสูตร
ว่าด้วยการละอัตตานุทิฏฐิ
[๒๕๖] ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับฯลฯ ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บุคคลรู้อยู่อย่างไร เห็นอยู่อย่างไร จึงจะละอัตตานุทิฐิได้ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรภิกษุ บุคคล
รู้เห็นจักษุ แล โดยความเป็นอนัตตา จึงจะละอัตตานุทิฐิได้
รู้เห็นรูป โดยความเป็นอนัตตา จึงจะละอัตตานุทิฐิได้
รู้เห็นจักษุวิญญาณ โดยความ เป็น อนัตตา จึงจะละอัตตานุทิฐิได้
รู้เห็นจักษุสัมผัส โดยความเป็นอนัตตา จึงจะละอัตตานุทิฐิ
ได้รู้เห็นแม้สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนาที่เกิดขึ้น เพราะจักษุสัมผัสเป็น ปัจจัย โดยความเป็นอนัตตา จึงจะละอัตตานุทิฐิได้
บุคคลรู้เห็นหู... รู้เห็นจมูก... รู้เห็นลิ้น... รู้เห็นกาย... รู้เห็นใจโดยความเป็นอนัตตา จึงจะละอัตตานุทิฐิได้
รู้เห็นธรรมารมณ์ โดยความเป็นอนัตตา จึงจะละอัตตานุทิฐิได้
รู้เห็นมโนวิญญาณ โดยความเป็นอนัตตา จึงจะละอัตตานุทิฐิได้
รู้เห็นมโนสัมผัส โดยความเป็น อนัตตา จึงจะละอัตตานุทิฐิได้
รู้เห็นแม้สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้น เพราะมโนสัมผัส เป็นปัจจัย โดยความเป็นอนัตตา จึงจะละอัตตานุทิฐิได้
ดูกรภิกษุ เมื่อบุคคลรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้แล จึงจะละอัตตานุทิฐิได้
|