พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎก ๒๐๐-๒๐๔
อักขณสูตร
(ว่าด้วยขณะที่ไม่สมควรอยู่ประพฤติพรหมจรรย์)
[๑๑๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ย่อมกล่าวว่า โลกได้ขณะ จึงทำกิจๆ แต่เขาไม่รู้ขณะหรือมิใช่ขณะ ดูกรภิกษุทั้งหลาย กาลมิใช่ขณะมิใช่สมัย ในการอยู่ ประพฤติพรหมจรรย์ ๘ ประการนี้ ๘ ประการเป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
๑. ตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เอง โดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษ ที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม และธรรมอันพระผู้มีพระภาค ย่อมทรงแสดง นำความสงบมาให้ เป็นไป เพื่อปรินิพพาน ให้ถึงการตรัสรู้ อันพระสุคตเจ้าประกาศแล้ว แต่บุคคลผู้นี้ เข้าถึง นรกเสีย ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ข้อที่ ๑
๒.อีกประการหนึ่ง ตถาคตอุบัติขึ้นในโลก ฯลฯ เป็นผู้จำแนกธรรม และธรรม อันพระผู้มีพระภาคย่อมทรงแสดง ... แต่บุคคลผู้นี้เข้าถึงกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานเสีย ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่ ๒
๓.อีกประการหนึ่ง ฯลฯ แต่บุคคลนี้เข้าถึงปิตติวิสัยเสีย ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่ ๓
๔.อีกประการหนึ่ง ฯลฯ แต่บุคคลนี้เข้าถึงเทพนิกาย ผู้มีอายุยืน ชั้นใด ชั้นหนึ่ง เสีย ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัย ในการอยู่ประพฤติ พรหมจรรย์ ข้อที่ ๔
๕.อีกประการหนึ่ง ฯลฯ แต่บุคคลนี้กลับมาเกิดในปัจจันตชนบท และอยู่ใน พวก มิลักขะ ไม่รู้ดีรู้ชอบ อันเป็นสถานที่ ไม่มีภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาไปมา ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่ ๕
๖.อีกประการหนึ่ง ฯลฯ แต่บุคคลนี้กลับมาเกิดในมัชฌิมชนบท แต่เขาเป็น มิจฉาทิฐิ มีความเห็นวิปริตว่า ทานที่ให้แล้วไม่มีผล ยัญที่บูชาแล้วไม่มีผล การบวงสรวง ไม่มีผล ผลวิบากแห่งกรรมดีกรรมชั่วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี มารดา ไม่มี บิดาไม่มี สัตว์ทั้งหลายที่ผุดเกิดขึ้นไม่มี สมณพราหมณ์ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ กระทำให้แจ้ง ซึ่งโลกนี้ และโลกหน้าด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วสั่งสอนประชุมชน ให้รู้ตามไม่มีในโลก ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติ พรหมจรรย์ ข้อที่ ๖
๗.อีกประการหนึ่ง ฯลฯ แต่บุคคลนี้ กลับมาเกิดในมัชฌิมชนบท แต่เขามี ปัญญาทราม บ้าใบ้ ไม่สามารถรู้อรรถ แห่งสุภาษิต และทุพภาษิต ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้ มิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่ ๗
๘.อีกประการหนึ่ง ตถาคตอุบัติแล้วในโลก เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลายเป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้ จำแนกธรรม ธรรมอันนำความสงบมาให้ เป็นไปเพื่อปรินิพพาน ให้ถึงการตรัสรู้ อันพระ สุคตเจ้า ทรงประกาศแล้ว แต่พระตถาคตมิได้แสดง ถึงบุคคลผู้นี้ จะเกิดในมัชฌิม ชนบท และมีปัญญา ไม่บ้าใบ้ ทั้งสามารถจะรู้อรรถแห่งสุภาษิตและทุพภาษิต ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย นี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่ ๘
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กาลอันมิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ๘ ประการนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนขณะและสมัย ในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ มีประการ เดียว ประการเดียวเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้ เป็น พระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้ง โลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งไปกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรมและธรรม อันตถาคตทรงแสดง เป็นธรรม นำความสงบมาให้ เป็นไปเพื่อปรินิพพานให้ถึงการตรัสรู้ พระสุคตเจ้าทรงประกาศแล้ว และบุคคลนี้ เกิดในมัชฌิมชนบททั้งมีปัญญาไม่บ้าใบ้ สามารถเพื่อจะรู้อรรถแห่ง สุภาษิต และทุพภาษิตได้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นขณะและสมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ประการเดียว
ชนเหล่าใด เกิดในมนุษยโลกแล้ว เมื่อพระตถาคตทรงประกาศสัทธรรม ไม่เข้าถึงขณะ ชนเหล่านั้นชื่อว่าล่วงขณะชนเป็นอันมาก กล่าวเวลาที่เสียไปว่า กระทำอันตรายแก่ตน
พระตถาคตเจ้า เสด็จอุบัติขึ้นในโลกในกาลบางครั้งบางคราว การที่พระตถาคตเจ้า เสด็จอุบัติขึ้นในโลก ๑
การได้กำเนิดเป็นมนุษย์ ๑
การแสดงสัทธรรม ๑
ที่จะพร้อมกันเข้าได้ (ทั้ง ๓ ประการ) หาได้ยากในโลก
ชนผู้ใคร่ต่อประโยชน์ จึงควรพยายามในกาลดังกล่าวมานั้น ที่ตนพอจะรู้จะเข้าใจ สัทธรรมได้ขณะ
อย่าล่วงเลยท่านทั้งหลายไปเสีย เพราะบุคคลที่ปล่อยเวลาให้
ล่วงไป พากันยัดเยียดในนรก ย่อมเศร้าโศกอยู่
หากเขาจะไม่สำเร็จอริยมรรค อันเป็นธรรมตรงต่อสัทธรรมในโลกนี้ได้ เขาผู้มีประโยชน์ อันล่วงเสียแล้ว จักเดือดร้อนสิ้นกาลนาน เหมือนพ่อค้าผู้ปล่อยให้ ประโยชน์ล่วงไป เดือดร้อน
อยู่ ฉะนั้น
คนผู้ถูกอวิชชาหุ้มห่อไว้ พรากจากสัทธรรม
จักเสวยแต่ สงสาร คือ ชาติและมรณะ สิ้นกาลนาน ส่วนชนเหล่าใดได้อัตภาพเป็นมนุษย์แล้ว เมื่อพระตถาคตประกาศ
สัทธรรม ได้กระทำแล้ว จักกระทำ หรือกระทำอยู่ ตาม
พระดำรัสของพระศาสดา ชนเหล่านั้น ชื่อว่า ได้ประสบขณะ
คือการประพฤติพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยมในโลก
ชนเหล่า
ใดดำเนินไปตามมรรคา ที่พระตถาคตเจ้าทรงประกาศแล้ว
สำรวมในศีลสังวร ที่พระตถาคตเจ้าผู้มีจักษุเป็นเผ่าพันธุ์แห่ง
พระอาทิตย์ ทรงแสดงแล้ว คุ้มครองอินทรีย์ มีสติทุกเมื่อ ไม่ชุ่มด้วยกิเลส ตัดอนุสัยทั้งปวงอันแล่นไปตาม
กระแสบ่วงมาร ชนเหล่านั้น แล บรรลุความสิ้นอาสวะ
ถึงฝั่ง คือ นิพพานในโลกแล้ว
|