พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๘๕-๑๘๘
คหปติวรรคที่ ๓
อุคคสูตรที่ ๑ (ว่าด้วยธรรมที่น่าอัศจรรย์ของ อุคคคหบดี ชาวเมืองเวสาลี)
[๑๑๑] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน ใกล้กรุงเวสาลี ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาค ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายทูลรับ พระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จงทรงจำ อุคคคฤหบดี ชาวเมืองเวสาลี ว่า เป็นผู้ประกอบด้วยธรรม ที่น่าอัศจรรย์ อันไม่เคยมีมา ๘ ประการ พระผู้มีพระภาคผู้สุคต ครั้นได้ตรัสพระดำรัส นี้แล้ว เสด็จลุกจากอาสนะเข้าไปสู่พระวิหาร
ครั้งนั้น เวลาเช้า ภิกษุรูปหนึ่ง นุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวร เข้าไปสู่นิเวศน์ ของ อุคคคฤหบดีชาวเมืองเวสาลี ครั้นแล้วจึงนั่งบนอาสนะที่เขาปูไว้ ลำดับนั้นอุคคคฤหบดี ชาวเมืองเวลาสาลีได้เข้าไปหาภิกษุนั้น ไหว้แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ภิกษุนั้นได้กล่าวกะอุคคคฤหบดี ชาวเมืองเวสาลีว่า ดูกรคฤหบดี พระผู้มีพระภาค ทรงพยากรณ์ท่านว่า เป็นผู้ประกอบด้วย ธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา ๘ ประการ ดูกรคฤหบดี ธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา ๘ ประการเป็นไฉน
อุคคคฤหบดีกล่าวว่าข้าแต่ท่านผู้เจริญ กระผมก็ไม่ทราบเลยว่า พระผู้มีพระภาค ทรงพยากรณ์กระผม ว่าเป็นผู้ประกอบด้วยธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา ๘ ประการ เป็นไฉน แต่ขอท่านได้โปรดฟังธรรม ที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา ๘ ประการ ของกระผม ที่มีอยู่ จงใส่ใจให้ดี กระผมจักเรียนถวาย ภิกษุนั้นรับคำอุคคคฤหบดีชาวเมืองเวสาลีแล้ว อุคคคฤหบดี ชาวเมืองเวสาลีได้กล่าวว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ในคราวที่กระผม ได้เห็น พระผู้มีพระภาคแต่ไกลเป็นครั้งแรก พร้อมกับการเห็นนั้นเอง จิตของกระผม เลื่อมใสใน พระผู้มีพระภาค นี้แลเป็นธรรม ที่น่าอัศจรรย์ อันไม่เคยมีมาประการที่ ๑ ของกระผมที่มีอยู่
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ กระผมมีจิตเลื่อมใสแล้ว ได้เข้าไปนั่งใกล้พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดง อนุปุพพิกถาโปรดกระผม คือ ทรงประกาศทานกถา สีลกถา สัคคกถา โทษของกามอันต่ำทรามเศร้าหมอง และอานิสงส์ในเนกขัมมะ ในคราวที่พระผู้มีพระภาค ได้ทรงทราบกระผมว่า มีจิตควร อ่อนปราศจากนิวรณ์ บันเทิง ผ่องใสแล้ว จึงทรงประกาศ สามุกังสิกาธรรมเทศนาแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เปรียบเหมือนผ้าที่บริสุทธิ์ไม่หมองดำ จะพึงรับน้ำย้อมได้ดี แม้ฉันใด ธรรมจักษุอันปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน เกิดขึ้นแล้วแก่กระผม ณ ที่นั่งนั้นแลว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวล ล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ กระผมได้เห็นธรรมแล้ว บรรลุธรรมแล้ว รู้แจ้งธรรมแล้ว หยั่งซึ้งถึงธรรมแล้ว ข้ามพ้นความสงสัยได้แล้ว ปราศจากความเคลือบแคลงแล้ว ถึงความแกล้วกล้าแล้ว ไม่ต้องเชื่อผู้อื่น ในคำสอนของพระศาสดา ได้ถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ว่าเป็นสรณะแล้ว และสมาทานสิกขาบท อันมีพรหมจรรย์เป็นที่ ๕ แล้ว ณ ที่นั่งนั้นแล นี้แลเป็นธรรม ที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาข้อที่ ๒ ของกระผมที่มีอยู่
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ กระผมมีปชาบดี รุ่นสาวอยู่ ๔ คน กระผมได้เข้าไปหา ปชาบดี เหล่านั้นแล้ว ได้กล่าวกะเธอเหล่านั้นว่า ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย ฉันสมาทาน สิกขาบท อันมีพรหมจรรย์เป็นที่ ๕ ผู้ใดปรารถนา ผู้นั้นจงใช้โภคะเหล่านี้และทำบุญได้ หรือจะกลับไปสู่ตระกูลญาติของตัวก็ได้ หรือประสงค์ชายอื่น ฉันก็จะมอบให้แก่เขา เมื่อกระผมกล่าวอย่างนี้แล้ว ปชาบดีคนแรก ได้พูดกะกระผมว่าขอท่านได้กรุณา มอบ ดิฉัน ให้แก่ชายชื่อนี้เจ้าค่ะ กระผมก็ให้เชิญชายผู้นั้นมา เอามือซ้ายจับปชาบดี มือขวา จับเต้าน้ำ หลั่งน้ำมอบให้ชายคนนั้น ก็เมื่อบริจาคปชาบดีสาวเป็นทาน กระผมไม่รู้สึกว่า จิตแปรปรวนเป็นอย่างอื่นเลย นี้แลเป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์ อันไม่เคยมีมาข้อที่ ๓ ของกระผมที่มีอยู่
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ในตระกูลของกระผม มีโภคทรัพย์อยู่มาก และโภคทรัพย์ เหล่านั้น กระผมแจกจ่ายทั่วไปถึงผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม นี้แลเป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์ อันไม่เคยมีมาข้อที่ ๔ ของกระผมที่มีอยู่
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ กระผมเข้าไปหาภิกษุรูปใด กระผมก็เข้าไปหาด้วยความ เคารพ ทีเดียว ไม่ใช่เข้าไปหาด้วยความไม่เคารพ นี้แลเป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์ อันไม่เคยมีมาข้อที่ ๕ ของกระผมที่มีอยู่
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ หากท่านผู้มีอายุนั้นแสดงธรรมแก่กระผม กระผมก็ฟังโดย ความเคารพแท้ๆ ไม่ใช่ฟังโดยความไม่เคารพ หากท่านผู้มีอายุนั้น ไม่แสดงธรรม แก่ กระผม กระผมก็แสดงธรรมแก่ท่านนั้น นี้แลเป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์ อันไม่เคยมีมาข้อที่ ๖ ของกระผมที่มีอยู่
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ไม่น่าอัศจรรย์ ที่เทวดาทั้งหลาย เข้าไปหากระผม แล้วบอก ว่า ดูกรคฤหบดี ธรรมอันพระผู้มีพระภาค ตรัสดีแล้ว เมื่อเทวดาทั้งหลาย กล่าวอย่างนี้ แล้ว กระผมจึงพูดเทวดาเหล่านั้น อย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายพึงบอกอย่างนี้ หรือไม่พึง บอกอย่างนี้ก็ตาม แท้ที่จริง ธรรมอันพระผู้มีพระภาค ตรัสดีแล้วแต่กระผมก็ไม่รู้สึกเลยว่า ความ๑-ฟูใจจะมีมาแต่เหตุนั้น ข้อที่เทวดาทั้งหลายมาหากระผม หรือกระผม ได้ปราศรัยกับเทวดาทั้งหลาย นี้แลเป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาข้อที่ ๗ ของกระผมที่มีอยู่
๑ ฟูในทางเสีย
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ กระผมไม่พิจารณาเห็นสังโยชน์ไรๆ ในโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ที่พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงแล้วนั้นว่า ยังละไม่ได้ในตน นี้แลเป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์ อันไม่เคยมีมาข้อที่ ๘ ของกระผมที่มีอยู่
ข้าแต่ท่านผู้เจริญธรรมที่น่าอัศจรรย์ อันไม่เคย มีมา ๘ ประการ ของกระผม ที่มีอยู่ นี้แล กระผมก็ไม่รู้ว่า พระผู้มีพระภาค ทรงพยากรณ์ กระผมว่า เป็นผู้ประกอบ ด้วยธรรม ที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา ๘ ประการเป็นไฉน
ลำดับนั้น ภิกษุนั้นรับบิณฑบาต ในนิเวศน์ของอุคคคฤหบดี ชาวเมืองเวสาลีแล้ว ลุกจากที่นั่งหลีกไป ภายหลังภัต กลับจากบิณฑบาตแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูล คำสนทนา ปราศรัยกับอุคคคฤหบดี ชาวเมืองเวสาลีทั้งหมด แด่พระผู้มีพระภาค
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ ถูกแล้วๆ อุคคคฤหบดี ชาวเมืองเวสาลี เมื่อจะพยากรณ์ พึงพยากรณ์ตามนั้นโดยชอบ ดูกรภิกษุ เราพยากรณ์อุคคคฤหบดีว่า เป็นผู้ประกอบด้วยธรรม ที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา ๘ ประการนี้แล และเธอทั้งหลาย จงทรงจำอุคคคฤหบดี ชาวเมืองเวสาลีว่า เป็นผู้ประกอบด้วยธรรม ที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา ๘ ประการนี้
จบสูตรที่ ๑
------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๘๘-๑๙๑
อุคคสูตรที่ ๒ (ว่าด้วยธรรมที่น่าอัศจรรย์ของ อุคคคหบดี ชาวบ้านหัตถีคาม)
[๑๑๒] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ บ้านหัตถีคาม ในแคว้นวัชชี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาค ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จงทรงจำ อุคคคฤหบดี ชาวบ้านหัตถีคาม ว่าเป็นผู้ประกอบด้วยธรรม ที่น่าอัศจรรย์ อันไม่เคยมีมา ๘ ประการ พระผู้มีพระภาคผู้สุคต ครั้นได้ตรัสพระดำรัสนี้แล้ว เสด็จลุกจาก อาสนะ เข้าไปสู่พระวิหาร
ครั้งนั้น เวลาเช้า ภิกษุรูปหนึ่ง นุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปยังนิเวศน์ของ อุคคคฤหบดี ชาวบ้านหัตถีคาม ครั้นแล้วจึงนั่งบนอาสนะที่เขาปูไว้ลำดับนั้น อุคคคฤหบดี ชาวบ้านหัตถีคาม ได้เข้าไปหาภิกษุนั้น ไหว้แล้วนั่งณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ภิกษุนั้นได้กล่าวกะ อุคคคฤหบดี ชาวบ้านหัตถีคามว่า ดูกรคฤหบดี พระผู้มีพระภาค ทรงพยากรณ์ท่านว่า เป็นผู้ประกอบด้วยธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา ๘ ประการ ดูกรคฤหบดี ธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา ๘ ประการเป็นไฉน
อุคคคฤหบดีกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ กระผมไม่ทราบเลยว่า พระผู้มีพระภาค ทรงพยากรณ์กระผมว่า เป็นผู้ประกอบด้วยธรรม ที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา ๘ ประการ เป็นไฉน แต่ขอท่านได้โปรดฟังธรรม ที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา๘ ประการนี้ ที่มีอยู่ จงใส่ใจให้ดี กระผมจักเรียนถวาย ภิกษุนั้นรับคำอุคคคฤหบดีชาวบ้านหัตถีคามแล้ว
อุคคคฤหบดี ชาวบ้านหัตถีคามได้กล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ในคราวที่กระผม เที่ยวอยู่ในสวนนาควัน ได้เห็นพระผู้มีพระภาค แต่ไกลเป็นครั้งแรก พร้อมกับการเห็น นั้นเอง จิตของกระผม ก็เลื่อมใสในพระผู้มีพระภาค เมาสุราอยู่ก็หายเมา นี้แลเป็นธรรม ที่น่าอัศจรรย์ อันไม่เคยมีมาข้อที่ ๑ ของกระผมที่มีอยู่
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ กระผมมีจิตเลื่อมใสแล้ว ได้เข้าไปนั่งใกล้พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ทรงแสดง อนุปุพพิกถาโปรดกระผม คือ ทรงประกาศทานกถา สีลกถา สัคคกถา โทษของกามอันต่ำทรามเศร้าหมอง และอานิสงส์ในเนกขัมมะ ในคราวที่ พระผู้มีพระภาค ได้ทรงทราบว่า กระผมมีจิตควร อ่อนปราศจากนิวรณ์ บันเทิง ผ่องใส แล้ว จึงทรงประกาศ สามุกังสิกาธรรมเทศนาแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เปรียบเหมือนผ้าที่บริสุทธิ์ ไม่หมองดำ จะพึงรับน้ำย้อมได้ดี แม้ฉันใด ธรรมจักษุอันปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน เกิดขึ้นแล้วแก่กระผม ณ ที่นั่งนั้นแลว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวล ล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ กระผมได้เห็นธรรมแล้ว บรรลุธรรมแล้ว รู้ธรรมแจ้งแล้ว หยั่งซึ้งถึงธรรมแล้ว ข้ามพ้นความสงสัยได้แล้ว ปราศจากความเคลือบแคลงแล้ว ถึงความแกล้วกล้าแล้ว ไม่ต้องเชื่อผู้อื่น ในสัตถุศาสน์ได้ถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ว่า เป็นสรณะ สมาทานสิกขาบทอันมีพรหมจรรย์เป็นที่ ๕ แล้ว ณ ที่นั่งนั้นนั่นแล นี้แลเป็นธรรม ที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาข้อที่ ๒ ของกระผมที่มีอยู่
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ กระผมได้มี ปชาบดีรุ่นสาวอยู่ ๔ คน ได้เข้าไปหาปชาบดี เหล่านั้น แล้วได้กล่าวกะเธอเหล่านั้นว่า ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย ฉันสมาทานสิกขาบท อันมีพรหมจรรย์เป็นที่ ๕ ผู้ใดปรารถนา ผู้นั้นจงใช้โภคะเหล่านี้และทำบุญได้ หรือ จะไปสู่ตระกูลญาติของตัวก็ได้ หรือประสงค์ชายอื่น ฉันก็จะมอบให้แก่เขา เมื่อกระผม กล่าวอย่างนี้แล้ว ปชาบดีคนแรกได้พูดกะกระผมว่าขอท่านได้กรุณามอบดิฉัน ให้แก่ ชายชื่อนี้เจ้าค่ะ กระผมให้เชิญชายผู้นั้นมาเอามือซ้ายจับปชาบดี มือขวาจับเต้าน้ำ หลั่งน้ำ มอบให้ชายคนนั้น ก็เมื่อบริจาคปชาบดีสาวเป็นทาน กระผมไม่รู้สึกว่าจิต แปรปรวนเป็นอย่างอื่นเลย นี้แลเป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาข้อที่ ๓ ของ กระผม ที่มีอยู่
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ในตระกูลของกระผม มีโภคทรัพย์อยู่มาก และโภคทรัพย์ เหล่านั้น กระผมได้แจกจ่ายทั่วไปกับท่านผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม นี้แลเป็นธรรมที่น่า อัศจรรย์ อันไม่เคยมีมาข้อที่ ๔ ของกระผมที่มีอยู่
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ กระผมเข้าไปหาภิกษุรูปใด กระผมก็เข้าไปด้วยความเคารพ ทีเดียว ไม่ใช่เข้าไปหาด้วยความไม่เคารพ หากท่านผู้มีอายุนั้นแสดงธรรมแก่กระผม กระผมก็ฟังโดยเคารพแท้ๆ ไม่ใช่ฟังโดยไม่เคารพ หากท่านผู้มีอายุนั้นไม่แสดงธรรม แก่กระผม กระผมก็แสดงธรรมแก่ท่านผู้มีอายุนั้น นี้แลเป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์ อันไม่เคย มีมาข้อที่ ๕ ของกระผมที่มีอยู่
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ไม่น่าอัศจรรย์ ที่เมื่อกระผมนิมนต์สงฆ์แล้ว เทวดาทั้งหลาย เข้ามาบอกว่า ดูกรคฤหบดี ภิกษุรูปโน้นเป็นอุภโตภาควิมุต รูปโน้นเป็นปัญญาวิมุต รูปโน้นเป็นกายสักขี รูปโน้นเป็นทิฏฐิปัตตะ รูปโน้นเป็นสัทธาวิมุต รูปโน้นเป็นธัมมานุสารี รูปโน้นเป็นสัทธานุสารี รูปโน้นเป็นผู้มีศีลมีกัลยาณธรรม รูปโน้นเป็นผู้ทุศีล มีบาปธรรม ข้าแต่ท่านผู้เจริญ กระผมอังคาสสงฆ์อยู่ก็ไม่รู้สึกว่า ยังจิตให้เกิดขึ้นอย่างนี้ว่า จะถวาย แก่ท่านรูปนี้น้อย หรือจะถวายแก่ท่านรูปนี้มาก แท้ที่จริง กระผมมีจิตเสมอกัน นี้แลเป็น ธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาข้อที่ ๖ ของกระผมที่มีอยู่
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ไม่น่าอัศจรรย์ที่เทวดาทั้งหลาย เข้ามาหากระผมแล้วบอกว่า ดูกรคฤหบดี ธรรมอันพระผู้มีพระภาค ตรัสดีแล้ว เมื่อเทวดาทั้งหลายกล่าวอย่างนี้แล้ว กระผมจึงพูดกะเทวดาเหล่านั้น อย่างนี้ว่า ท่านจะพึงบอกอย่างนี้หรือไม่พึงบอก อย่างนี้ ก็ตาม แท้ที่จริง ธรรมอันพระผู้มีพระภาค ตรัสดีแล้ว แต่กระผมก็ไม่รู้สึกเลยว่า ความฟูใจ จะมีมาแต่เหตุนั้น เทวดาทั้งหลาย เข้ามาหากระผมหรือ กระผมได้ปราศรัยกับเทวดา ทั้งหลาย นี้แลเป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์ อันไม่เคยมีมาข้อที่ ๗ ของกระผมที่มีอยู่
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็หากว่ากระผม จะพึงทำกาละก่อนพระผู้มีพระภาค ก็ไม่น่า อัศจรรย์ที่พระผู้มีพระภาค จะพึงทรงพยากรณ์อย่างนี้ว่า สังโยชน์อันเป็นเครื่องประกอบ ให้อุคคคฤหบดี ชาวบ้านหัตถีคามพึงกลับมาสู่โลกนี้อีกไม่มี นี้แลเป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์ อันไม่เคยมีมาข้อที่ ๘ ของกระผมที่มีอยู่
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา ๘ ประการนี้แลของกระผม ที่มีอยู่ แต่กระผมก็ไม่รู้ว่า พระผู้มีพระภาค ทรงพยากรณ์กระผมว่าเป็นผู้ประกอบด้วย ธรรม ที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา ๘ ประการเป็นไฉน
ลำดับนั้น ภิกษุนั้นรับบิณฑบาต ในนิเวศน์ของอุคคคฤหบดี ชาวบ้านหัตถีคาม แล้ว ลุกจากที่นั่งแล้วหลีกไป ภายหลังภัต กลับจากบิณฑบาตแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มี พระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้กราบทูลคำ สนทนาปราศรัยกับ อุคคคฤหบดี ชาวบ้านหัตถีคามนั้นทั้งหมดแด่พระผู้มีพระภาค
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ ถูกแล้วๆ อุคคคฤหบดี ชาวบ้านหัตถีคาม เมื่อจะพยากรณ์ พึงพยากรณ์ตามนั้นโดยชอบ ดูกรภิกษุ เราพยากรณ์อุคคคฤหบดี ชาวบ้านหัตถีคามว่า เป็นผู้ประกอบด้วยธรรม ที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา ๘ ประการนี้แล และเธอทั้งหลาย จงทรงจำอุคคคฤหบดี ชาวบ้านหัตถีคามว่าเป็นผู้ประกอบด้วยธรรม ที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา ๘ ประการนี้ |