เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
 
ค้นหาคำที่ต้องการ          

 
 เทวทูตสูตร (คัดย่อบางส่วน)เทวทูตทั้ง5 โทษในนรกอันเกิดจากการกระทำของเราเอง 620
 
 



(โดยย่อ)
การสอบสวน ด้วยคำถามชุดที่ 1-การเกิด(เทวทูตที่๑)
1. ท่านไม่ได้เห็น เทวทูตที่ ๑ ปรากฏในหมู่ มนุษย์หรือ
     สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าไม่เห็นเลยเจ้าข้า
2. ท่านไม่ได้เห็นเด็กแดงๆยังอ่อนนอนแบ เปื้อนมูตรคูถของตนหรือ
     สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า เห็นเจ้าข้า
3. ท่านนั้นรู้ความมีสติ มีความดำริดังนี้บ้างไหมว่า แม้ตัวเราแลก็มีความเกิดเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้น ความเกิดไปได้ ควรที่เราจะทำความดีทางกาย ทางวาจา และทางใจ
     สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าไม่อาจ เจ้าข้า มัวประมาทเสียเจ้าข้า
4. ดูกรพ่อมหาจำเริญ ท่านไม่ได้ทำความดีทางกาย ทางวาจา ทางใจไว้ เพราะมัวประมาทเสีย ดังนั้น จักลงโทษโดยอาการ ที่ท่านประมาทแล้ว... ท่านเท่านั้นจักเสวยวิบากของบาปกรรมนี้

ส่วนการสอบสวนที่เหลือก็ทำนองเดียวกันกับชุดที่ 1
คำถามชุดที่ 2 ถามว่า เห็นเทวทูตที่ ๒ (ความแก่) หรือไม่
คำถามชุดที่ 3 ถามว่า เห็นเทวทูตที่ ๓ (ความเจ็บไข้) หรือไม่
คำถามชุดที่ 4 ถามว่า เห็นเทวทูตที่ ๔ (การถูกลงโทษ) หรือไม่
คำถามชุดที่ 5 ถามว่า เห็นเทวทูตที่ ๕ (ความตาย) หรือไม่

จากนั้นเข้าสู่ขบวนการลงทัณฑ์ (โทษเบา) ด้วยวิธีการต่างๆ
1. โบยด้วยแส้บ้าง
2. โบยด้วยหวายบ้าง
3. ตีด้วยตะบองสั้นบ้าง
4. ตัดมือบ้าง
5. ตัดเท้าบ้าง
6. ตัดทั้งมือทั้งเท้าบ้าง
7. ตัดหูบ้าง
8. ตัดจมูกบ้าง
9. ตัดทั้งหูทั้งจมูกบ้าง
10. ลงกรรมกรณ์วิธี หม้อเคี่ยวน้ำส้ม บ้าง
ฯลฯ ...

ตามด้วยการถูกลงลงโทษหนัก (มหานรก)
1. นายนิรยบาล ตรึงตะปูเหล็กแดง
2. นิรยบาลจะจับสัตว์นั้นขึงพืดแล้วเอาผึ่งถาก
3. เหล่านายนิรยบาลจะโยนสัตว์นั้นเข้าไปในมหานรก กำแพงเหล็กที่มีไฟลุกรอบด้าน
ฯลฯ...

พระสูตรเดียวกัน P412   (พระสูตรชุดเต็ม)

เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 
 


พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๔ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๕๕ - ๒๖๔

เทวทูตสูตร (คัดย่อบางส่วน)


สัตว์ผู้กำลังเป็นอยู่เหล่านี้ประกอบด้วย
กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ไม่ติเตียน พระอริยะ เป็นสัมมาทิฐิ
เชื่อมั่นกรรม ด้วยอำนาจสัมมาทิฐิ
เมื่อตายไปแล้ว เข้าถึงสุคติ โลกสวรรค์ก็มี บังเกิด ในหมู่มนุษย์ก็มี

สัตว์ผู้กำลังเป็นอยู่เหล่านี้ ประกอบด้วย
กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยะ เป็นมิจฉาทิฐิ
เชื่อมั่นกรรม ด้วยอำนาจมิจฉาทิฐิ
เมื่อตายไปแล้ว
เข้าถึงปิตติวิสัยก็มี เข้าถึงกำเนิดสัตว์เดียรัจฉานก็มี

สัตว์ผู้กำลังเป็นอยู่เหล่านี้ ประกอบด้วย
กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยะ เป็นมิจฉาทิฐิ
เชื่อมั่นกรรม ด้วยอำนาจมิจฉาทิฐิ
เมื่อตายไปแล้ว
เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรกก็มี

หล่านายนิรยบาลจะจับสัตว์นั้นที่ส่วนต่างๆของแขน ไปแสดงแก่พระยายมว่า ข้าแต่พระองค์ บุรุษนี้
...ไม่ปฏิบัติชอบในมารดา
...ไม่ปฏิบัติชอบในสมณะ
...ไม่ปฏิบัติชอบในพราหมณ์
...ไม่อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในสกุล


ขอพระองค์จงลง อาชญา แก่บุรุษนี้เถิด ฯ

(การสอบสวน ด้วยคำถามชุดที่ 1- การเกิด)

พระยายมปลอบโยน เอาอกเอาใจ ไต่ถามถึงเทวทูต ที่ ๑ กะสัตว์นั้นว่า

1. ท่านไม่ได้เห็น เทวทูตที่ ๑ ปรากฏในหมู่ มนุษย์หรือ ฯ
สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าไม่เห็นเลยเจ้าข้า ฯ

2. ท่านไม่ได้เห็นเด็กแดงๆยังอ่อนนอนแบ เปื้อนมูตรคูถของตนอยู่ในหมู่มนุษย์หรือ ฯ
สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า เห็นเจ้าข้า ฯ

3. ท่านนั้นรู้ความมีสติ เป็นผู้ใหญ่แล้ว ได้มีความดำริดังนี้บ้างไหมว่า แม้ตัวเราแล ก็มีความเกิดเป็นธรรมดาไม่ล่วงพ้น ความเกิดไปได้ ควรที่เราจะทำความดีทางกาย ทางวาจา และทางใจ ฯ
สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าไม่อาจ เจ้าข้า มัวประมาทเสียเจ้าข้า ฯ

ดูกรพ่อมหาจำเริญ ท่านไม่ได้ทำความดีทางกาย ทางวาจา และ ทางใจไว้ เพราะมัวประมาทเสีย ดังนั้น เหล่านายนิรยบาลจักลงโทษโดยอาการที่ท่าน ประมาทแล้ว ก็บาปกรรมนี้นั่นแล ไม่ใช่มารดา ไม่ใช่บิดา ไม่ใช่พี่น้องชาย ไม่ใช่พี่น้องหญิง ไม่ใช่มิตรอำมาตย์ ไม่ใช่ญาติสาโลหิต ไม่ใช่สมณะและพราหมณ์ ไม่ใช่เทวดา ทำให้ท่าน

ตัวท่านเองทำเข้าไว้ ท่านเท่านั้นจักเสวยวิบากของบาปกรรมนี้


(ภาพประกอบจาก อินเตอร์เน็ต)
.....................................................................................................................

(การสอบสวน ด้วยคำถามชุดที่ 2- ความแก่)

พระยายมปลอบโยน เอาอกเอาใจกะสัตว์นั้นแล้ว จึงไต่ถามเทวทูตที่ ๒ ว่า

1. ท่านไม่ได้เห็น เทวทูตที่ ๒ ปรากฏในหมู่มนุษย์ หรือ ฯ
สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าไม่เห็นเลย เจ้าข้า ฯ

2. ท่านไม่ได้เห็นหญิงหรือชาย มีอายุ ๘๐ ปี ๙๐ ปี หรือ ๑๐๐ ปี นับแต่เกิดมา ผู้แก่ ซี่โครงคด หลังงอ ถือไม้เท้า งกเงิ่น เดินไป กระสับกระส่าย ล่วงวัยหนุ่มสาว ฟันหักผมหงอก หนังย่น ศีรษะล้าน เหี่ยว ตัวตกกระในหมู่มนุษย์หรือ ฯ
สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า เห็น เจ้าข้า ฯ

3. ท่านนั้นรู้ความ มีสติ เป็นผู้ใหญ่แล้ว ได้มีความดำริดังนี้บ้างไหมว่า แม้ตัวเราแล ก็มีความแก่เป็นธรรมดาไม่ล่วงพ้น ความแก่ไปได้ ควรที่เราจะทำความดีทางกาย ทางวาจา และทางใจ ฯ
สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าไม่อาจ เจ้าข้า มัวประมาทเสีย เจ้าข้า ฯ

ดูกรพ่อมหาจำเริญ ท่านไม่ได้ทำดีทางกายทางวาจา และทางใจไว้ เพราะมัวประมาท เสียดังนั้น เหล่านายนิรยบาลจักลงโทษ โดยอาการที่ท่านประมาทแล้ว
ก็บาปกรรมนี้นั่นแล..... ไม่ใช่ผู้อื่นทำให้ท่าน

ตัวท่านเองทำเข้าไว้ ท่านเท่านั้นจักเสวยวิบากของบาปกรรมนี้


(ภาพประกอบจาก อินเตอร์เน็ต)
.....................................................................................................................

(การสอบสวน ด้วยคำถามชุดที่ 3-ความเจ็บไข้)

พระยายมปลอบโยน เอาอกเอาใจไต่ถามถึง เทวทูตที่ ๒ กะสัตว์นั้นแล้ว จึง ไต่ถามถึงเทวทูตที่ ๓ ว่า

1. ท่านไม่ได้เห็น เทวทูตที่ ๓ ปรากฏในหมู่ มนุษย์หรือ ฯ
สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าไม่เห็นเลย เจ้าข้า ฯ

2. ท่านไม่ได้เห็นหญิงหรือชาย ผู้ป่วย ทนทุกข์เป็นไข้หนัก นอนเปื้อนมูตรคูถของตน มีคนอื่นคอยพยุงลุกพยุงเดิน ในหมู่มนุษย์หรือ ฯ
สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า เห็น เจ้าข้า ฯ

3. ท่านนั้นรู้ความมีสติ เป็นผู้ใหญ่แล้ว ได้มีความดำริดังนี้บ้างไหมว่า แม้ตัวเราแล ก็มีความเจ็บป่วยเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บป่วยไปได้ ควรที่เราจะทำความดี ทางกาย ทางวาจา และทางใจ ฯ
สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าไม่อาจ เจ้าข้า มัวประมาทเสีย เจ้าข้า ฯ

ดูกรพ่อมหาจำเริญ ท่านไม่ได้ทำความดีทางกาย ทางวาจา และทางใจไว้ เพราะมัว ประมาทเสีย ดังนั้น เหล่านายนิรยบาล จักลงโทษ โดยอาการที่ท่าน ประมาทแล้ว
ก็บาปกรรมนี้นั่นแล..... ไม่ใช่ผู้อื่นทำให้ท่าน

ตัวท่านเองทำเข้าไว้ ท่านเท่านั้นจักเสวยวิบากของบาปกรรมนี้


(ภาพประกอบจาก อินเตอร์เน็ต)
.....................................................................................................................

(การสอบสวน ด้วยคำถามชุดที่ 4-การถูกลงโทษ)

พระยายมครั้นปลอบโยน เอาอกเอาใจไต่ถามถึง เทวทูตที่ ๓ กะสัตว์นั้นแล้ว จึงปลอบโยน เอาอกเอาใจ ไต่ถามถึงเทวทูตที่ ๔ ว่า

1. ท่านไม่ได้เห็น เทวทูตที่ ๔ ปรากฏในหมู่ มนุษย์หรือ ฯ
สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าไม่เห็นเลย เจ้าข้า ฯ

2. ท่านไม่ได้เห็นราชาทั้งหลาย ในหมู่มนุษย์จับโจรผู้ประพฤติผิดมาแล้ว สั่งลงกรรมกรณ์ต่างชนิดบ้างหรือ คือ ฯ
(๑) โบยด้วยแส้บ้าง
(๒) โบยด้วยหวายบ้าง
(๓) ตีด้วยตะบองสั้นบ้าง
(๔) ตัดมือบ้าง
(๕) ตัดเท้าบ้าง
(๖) ตัดทั้งมือทั้งเท้าบ้าง
(๗) ตัดหูบ้าง
(๘) ตัดจมูกบ้าง
(๙) ตัดทั้งหูทั้งจมูกบ้าง
(๑๐) ลงกรรมกรณ์วิธี หม้อเคี่ยวน้ำส้ม บ้าง
(๑๑) ลงกรรมกรณ์วิธี ขอดสังข์ บ้าง
(๑๒) ลงกรรมกรณ์วิธี ปากราหู บ้าง
(๑๓) ลงกรรมกรณ์วิธี มาลัยไฟ บ้าง
(๑๔) ลงกรรมกรณ์วิธี คบมือ บ้าง
(๑๕) ลงกรรมกรณ์วิธี ริ้วส่าย บ้าง
(๑๖) ลงกรรมกรณ์วิธี นุ่งเปลือกไม้ บ้าง
(๑๗) ลงกรรมกรณ์วิธี ยืนกวาง บ้าง
(๑๘) ลงกรรมกรณ์วิธี เกี่ยวเหยื่อเบ็ด บ้าง
(๑๙) ลงกรรมกรณ์วิธี เหรียญกษาปณ์ บ้าง
(๒๐) ลงกรรมกรณ์วิธี แปรงแสบ บ้าง
(๒๑) ลงกรรมกรณ์วิธี กางเวียน บ้าง
(๒๒) ลงกรรมกรณ์วิธี ตั่งฟาง บ้าง
(๒๓) ราดด้วยน้ำมันเดือดๆ บ้าง
(๒๔) ให้สุนัขทึ้งบ้าง
(๒๕) ให้นอนหงายบนหลาวทั้งเป็นๆ บ้าง
(๒๖) ตัดศีรษะด้วยดาบบ้าง ฯ

สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า เห็น เจ้าข้า ฯ

3. ท่านนั้นรู้ความมีสติ เป็นผู้ใหญ่แล้ว ได้มีความดำริดังนี้บ้างไหมว่า จำเริญละ เป็นอันว่า สัตว์ที่ทำกรรมลามกไว้นั้นๆ ย่อมถูกลงกรรมกรณ์ต่างชนิดเห็นปานนี้ ใน ปัจจุบัน จะป่วยกล่าวไปไยถึงชาติหน้า ควรที่เราจะทำความดีทางกาย ทางวาจา และทางใจ ฯ
สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าไม่อาจ เจ้าข้า มัวประมาทเสีย เจ้าข้า ฯ

ดูกรพ่อมหาจำเริญ ท่านไม่ได้ทำความดีทางกาย ทางวาจา และทางใจไว้เพราะ มัวประมาทเสีย ดังนั้นเหล่านายนิรยบาลจักลงโทษโดยอาการที่ท่านประมาทแล้ว
ก็บาปกรรมนี้นั่นแล..... ไม่ใช่ผู้อื่นทำให้ท่าน

ตัวท่านเองทำเข้าไว้ ท่านเท่านั้นจักเสวยวิบากของบาปกรรมนี้


(ภาพประกอบจาก อินเตอร์เน็ต)
.....................................................................................................................

(การสอบสวน ด้วยคำถามชุดที่ 5 -ความตาย)

พระยายมปลอบโยน เอาอกเอาใจไต่ถามถึงเทวทูตที่ ๔ กะสัตว์นั้นแล้ว จึง ไต่ถามถึงเทวทูตที่ ๕ ว่า

1. ดูกรพ่อมหาจำเริญท่านไม่ได้เห็นเทวทูตที่ ๕ ปรากฏในหมู่ มนุษย์หรือ ฯ
สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าไม่เห็นเลย เจ้าข้า ฯ

2. ดูกรพ่อมหาจำเริญ ท่านไม่ได้เห็นหญิงหรือชาย ที่ตายแล้ววันหนึ่งหรือสองวัน หรือสามวัน ขึ้นพอง เขียวช้ำ มีน้ำเหลืองเยิ้มในหมู่มนุษย์หรือ ฯ
สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า เห็น เจ้าข้า ฯ

3. ดูกรพ่อมหาจำเริญ ท่านนั้นรู้ความมีสติ เป็นผู้ใหญ่แล้ว ได้มีความดำริดังนี้ บ้างไหมว่า แม้ตัวเราแล ก็มีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ ควรที่ เราจะทำความดีทางกาย ทางวาจา และทางใจ ฯ
สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าไม่อาจ เจ้าข้า มัวประมาทเสีย เจ้าข้า ฯ

ดูกรพ่อมหาจำเริญ ท่านไม่ได้ทำความดีทางกาย ทางวาจา และทางใจไว้เพราะ มัวประมาทเสีย ดังนั้น เหล่านายนิรยบาลจักลงโทษโดยอาการที่ท่าน ประมาทแล้ว
ก็บาปกรรมนี้นั่นแล..... ไม่ใช่ผู้อื่นทำให้ท่าน

ตัวท่านเองทำเข้าไว้ ท่านเท่านั้นจักเสวยวิบากของบาปกรรมนี้


(ภาพประกอบจาก อินเตอร์เน็ต)

.....................................................................................................................

(จบ 5 คำถาม จากนั้นเข้าสู่ขบวนการลงทัณฑ์)

พระยายมปลอบโยน เอาอกเอาใจ ไต่ถามถึงเทวทูตที่ ๕ กะสัตว์นั้นแล้ว ก็ทรง ดุษณีอยู่ ฯ

1.
เหล่านิรยบาลจะให้สัตว์นั้น กระทำเหตุชื่อการจำ ๕ ประการคือ ตรึงตะปูเหล็กแดง ที่มือข้างที่ ๑ ข้างที่ ๒ ที่เท้าข้างที่ ๑ ข้างที่ ๒ และที่ทรวงอก ตรงกลางสัตว์นั้น จะ เสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบอยู่ในนรกนั้น และยังไม่ตาย ตราบเท่าบาป กรรมยังไม่สิ้นสุด ฯ

2. นิรยบาลจะจับสัตว์นั้นขึงพืดแล้วเอาผึ่งถาก
... จะจับสัตว์นั้นเอาเท้าขึ้นข้างบน เอาหัวลงข้างล่าง แล้วถากด้วยพร้า
... จะเอาสัตว์นั้นเทียมรถ แล้วให้วิ่งกลับไปกลับมา บนแผ่นดินที่มีไฟติดลุกโพลง
... จะให้สัตว์นั้นปีนขึ้นปีนลง ซึ่งภูเขาถ่านเพลิงลูกใหญ่ ที่มีไฟติดทั่วลุกโพลง
... จะจับสัตว์นั้น เอาเท้าขึ้นข้างบน เอาหัวลงข้างล่าง แล้วพุ่งลงไปในหม้อทองแดง ที่มีไฟติดทั่วลุกโพลงโชติช่วง สัตว์นั้นจะเดือดพล่านเป็นฟองอยู่ในหม้อทองแดงนั้น สัตว์นั้นจะเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบอยู่ในหม้อทองแดงนั้น และยังไม่ตาย ตราบเท่าบาปกรรมยังไม่สิ้นสุด ฯ

3. เหล่านายนิรยบาลจะโยนสัตว์นั้นเข้าไปในมหานรก ก็มหานรกนั้นแล มีสี่มุม สี่ประตู แบ่งไว้โดยส่วนเท่ากัน มีกำแพงเหล็กล้อมรอบครอบไว้ด้วยแผ่นเหล็ก พื้น ของนรกใหญ่นั้น ล้วนแล้วด้วยเหล็ก ลุกโพลง แผ่ไปตลอดร้อยโยชน์รอบด้าน ประดิษฐานอยู่ทุกเมื่อ ฯ มหานรกนั้น มีเปลวไฟพลุ่งจากฝาด้านหน้า จดฝาด้านหลัง พลุ่งจากฝาด้านหลัง จดฝาด้านหน้า พลุ่งจากฝาด้านเหนือจดฝาด้านใต้ พลุ่งจากฝา ด้านใต้ จดฝาด้านเหนือ พลุ่งขึ้นจากข้างล่างจดข้างบน พลุ่งจากข้างบนจดข้างล่าง
สัตว์นั้นจะเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อยู่ในมหานรกนั้น และยังไม่ตาย ตราบเท่าบาปกรรมยังไม่สิ้นสุด ฯ

4. สมัยที่ในบางครั้งบางคราว โดยล่วงระยะกาลนาน ประตูด้านหน้าของมหานรกเปิด สัตว์นั้นจะรีบวิ่งไปยังประตูนั้น โดยเร็ว ย่อมถูกไฟไหม้ผิวไหม้หนัง ไหม้เนื้อ ไหม้เอ็น แม้กระดูกทั้งหลาย ก็เป็นควันตลบ แต่อวัยวะ ที่สัตว์นั้นยกขึ้นแล้ว จะกลับคงรูปเดิม ทันที และในขณะ ที่สัตว์นั้นใกล้จะถึงประตู ประตูนั้นจะปิด สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนา อันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบอยู่ในมหานรกนั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมนั้น ยังไม่สิ้นสุด ฯ

5. สมัยที่ในบางครั้งบางคราว โดยล่วงระยะกาลนาน ประตูด้านหลังของมหานรกนั้น เปิด ฯลฯ ประตูด้านเหนือเปิด ฯลฯ ประตูด้านใต้เปิด สัตว์นั้นจะรีบวิ่งไปยังประตู นั้นโดยเร็ว ย่อมถูกไฟไหม้ผิว ไหม้ หนัง ไหม้เนื้อ ไหม้เอ็น แม้กระดูกทั้งหลาย ก็เป็นควัน ตลบ แต่อวัยวะ ที่สัตว์นั้น ยกขึ้น แล้วจะกลับ คงรูปเดิมทันที และในขณะที่สัตว์นั้น ใกล้จะถึงประตู ประตูนั้นจะปิด สัตว์นั่นย่อม เสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อยู่ในมหานรกนั้นและยังไม่ตาย ตราบเท่า บาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด ฯ

6. สมัยที่ในบางครั้งบางคราว โดยล่วงระยะกาลนาน ประตูด้านหน้าของ มหานรก นั้นเปิด สัตว์นั้นจะรีบวิ่งไปยังประตูนั้นโดยเร็ว ย่อมถูกไฟไหม้ผิวไหม้หนัง ไหม้เนื้อ ไหม้เอ็น แม้กระดูก ทั้งหลายก็เป็นควันตลบ แต่อวัยวะที่สัตว์นั้นยกขึ้นแล้ว จะกลับคงรูปเดิมทันที สัตว์นั้นจะออกทางประตูนั้นได้ แต่ว่ามหานรกนั้นแล มีนรกเต็มด้วยคูถใหญ่ ประกอบอยู่รอบด้าน สัตว์นั้นจะตกลง ในนรกคูถนั้น และในนรกคูถนั้นแล มีหมู่สัตว์ปากดังเข็มคอยเฉือดเฉือนผิว แล้ว เฉือดเฉือนหนัง แล้วเฉือดเฉือนเนื้อ แล้วเฉือดเฉือนเอ็นแล้ว เฉือดเฉือนกระดูก แล้วกินเยื่อ ในกระดูก สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบอยู่ในนรกคูถ นั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาป กรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด ฯ

7. นรกคูถนั้น มีนรกเต็มด้วยเถ้ารึง (ขี้เถ้อร้อนระอุ)ใหญ่ ประกอบ อยู่รอบด้าน สัตว์นั้นจะตกลงไปในนรกเถ้ารึงนั้น สัตว์นั้นย่อมเสวย เวทนาอันเป็น ทุกข์กล้า เจ็บแสบอยู่ในนรกเถ้ารึงนั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมนั้น ยังไม่สิ้นสุด ฯ

8. นรกเถ้ารึงนั้นมีป่างิ้วใหญ่ ประกอบอยู่รอบด้านต้น สูงชลูดขึ้นไปโยชน์หนึ่ง มีหนามยาว ๑๖ องคุลี มีไฟติดทั่วลุกโพลง โชติช่วง เหล่านายนิรยบาลจะบังคับ ให้สัตว์นั้นขึ้นๆ ลงๆ ที่ต้นงิ้วนั้น สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนา อันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อยู่ที่ต้นงิ้วนั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมนั้น ยังไม่สิ้นสุด ฯ

9. ป่างิ้วนั้น มีป่าต้นไม้ใบเป็นดาบใหญ่ ประกอบอยู่รอบด้านสัตว์นั้นจะเข้าไป ในป่า นั้น จะถูกใบไม้ที่ลมพัด ตัดมือบ้างตัดเท้าบ้าง ตัดทั้งมือและเท้าบ้าง และ ตัดใบหูบ้าง ตัดจมูกบ้าง ตัดทั้งใบหูและจมูกบ้าง สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็น ทุกข์กล้า เจ็บแสบอยู่ที่ป่าต้นไม้ มีใบเป็นดาบนั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมนั้น ยังไม่สิ้นสุด ฯ

10. ป่าต้นไม้มีใบเป็นดาบนั้น มีแม่น้ำใหญ่ น้ำเป็นด่าง ประกอบอยู่รอบด้าน สัตว์นั้น จะตกลงไปในแม่น้ำนั้น จะลอยอยู่ในแม่น้ำนั้น ตามกระแสบ้าง ทวนกระแสบ้าง ทั้งตาม และทวนกระแสบ้าง สัตว์นั้นย่อม เสวยเวทนา อันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อยู่ในแม่น้ำนั้น และยังไม่ตาย ตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด ฯ

11. เหล่านายนิรยบาลพากันเอาเบ็ดเกี่ยวสัตว์นั้น ขึ้นวาง บน บก แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า ดูกรพ่อมหาจำเริญ เจ้าต้องการอะไร สัตว์นั้นบอก อย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าหิว เจ้าข้า เหล่านายนิรยบาล จึงเอาขอเหล็กร้อนมีไฟติดทั่ว ลุกโพลงโชติช่วง เปิดปากออกแล้ว
ใส่ก้อนโลหะร้อน มีไฟติดทับ ลุกโพลง โชติช่วง เข้าในปาก ก้อนโลหะนั้น จะไหม้ริม ฝีปากบ้าง ปากบ้างคอบ้าง ท้องบ้าง ของสัตว์นั้น พาเอาไส้ใหญ่บ้าง ไส้น้อยบ้าง ออกมาทางส่วนเบื้องล่าง สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนา อัน เป็นทุกข์กล้าเจ็บแสบอยู่ ณ ที่นั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด

12. เหล่านายนิรยบาล กล่าวกะสัตว์นั้นอย่างนี้ว่า ดูกรพ่อมหาจำเริญ เจ้าต้องการ อะไร สัตว์นั้นบอกอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าระหายเจ้าข้า เหล่านายนิรยบาล จึงเอาขอเหล็ก ร้อนมีไฟติดทั่ว ลุกโพลง โชติช่วง เปิดปากออก แล้วเอาน้ำทองแดงร้อน มีไฟติดทั่ว ลุกโพลง โชติช่วง กรอกเข้าไปในปาก น้ำทองแดง นั้นจะไหม้ริมฝีปากบ้าง ปากบ้าง คอบ้างท้องบ้าง ของสัตว์นั้นพาเอาไส้ใหญ่บ้าง ไส้น้อยบ้าง ออกมาทางส่วนเบื้องล่าง สัตว์นั้นย่อมเสวย เวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อยู่ ณ ที่นั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรม นั้นยังไม่สิ้นสุด

.....................................................................................................................

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหล่านายนิรยบาลจะโยนสัตว์นั้นเข้าไปในมหานรกอีก ฯ

เรื่องเคยมีมาแล้ว พระยายมได้มีความดำริอย่างนี้ว่า พ่อเจ้าประคุณเอ๋ย เป็นอันว่า เหล่าสัตว์ที่ทำกรรมลามกไว้ในโลก ย่อมถูกนายนิรยบาลลงกรรมกรณ์ ต่างชนิดเห็น ปานนี้ โอหนอ ขอเราพึงได้ความเป็นมนุษย์ ขอพระตถาคต อรหันตสัมมาสัมพุทธ พึงเสด็จอุบัติในโลก ขอเราพึงได้นั่งใกล้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ขอพระผู้มี พระภาคพระองค์นั้น พึงทรงแสดงธรรมแก่เรา และขอเราพึงรู้ทั่วถึงธรรม ของพระผู้มี พระภาคพระองค์นั้นเถิด ฯ

(ถึงตอนนี้นายนิรบาลรู้สึกสำนึกบาป ปรารถนาที่จะเกิดมามนุษย์ เพื่อขอพึ่งพระพุทธเจ้า จะได้ ไม่กลับมารับโทษในนรกอีกต่อไป.. แต่หลังจากได้ไปเกิดใหม่ ก็ลืมหมดทุกสิ่ง และทำบาป กันต่อไปตามอำนาจ ของกิเลสตัณหา สัตว์จึงต้องวนเวียนในนรก หรือคติ 5 อย่างไม่จบสิ้น)

ก็เรื่องนั้น เรามิได้ฟังต่อสมณะหรือพราหมณ์อื่นๆ แล้วจึงบอกก็แล เราบอกเรื่อง ที่รู้เอง เห็นเอง ปรากฏเอง ทั้งนั้น ฯ

ครั้นแล้วพระสุคตผู้ศาสดา ก็ได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกดังนี้ว่า

     นรชนเหล่าใด ยังเป็นมาณพ อันเทวทูตตักเตือนแล้วประมาทอยู่ นรชนเหล่านั้น จะเข้าถึงหมู่สัตว์เลว เศร้าโศกสิ้นกาลนาน

     นรชนเหล่าใด เป็นสัตว์บุรุษ ผู้สงบระงับในโลกนี้ อันเทวทูตตักเตือนแล้ว ย่อม ไม่ประมาทในธรรมของพระอริยะ ในกาลไหนๆ เห็นภัยในความถือมั่น อันเป็นเหตุ แห่งชาติและมรณะแล้ว ไม่ถือมั่น หลุดพ้นในธรรม เป็นที่สิ้นชาติและมรณะได้

     นรชนเหล่านั้น
เป็นผู้ถึงความเกษม มีสุข ดับสนิทในปัจจุบัน ล่วงเวรและภัย ทั้งปวง และเข้าไปล่วงทุกข์ทั้งปวงได้ ฯ

พระสูตรเดียวกัน P412

 
 
พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์