พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๒๖-๑๒๙
วินัยวรรคที่ ๓
วินัยธร ๗ ประการ
(๑) [๗๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๗ ประการ เป็น วินัยธรได้ ธรรม ๗ ประการเป็นไฉน คือ
๑ รู้จักอาบัติ
๒ รู้จักอนาบัติ
๓ รู้จักอาบัติเบา
๔ รู้จักอาบัติหนัก
๕ เป็นผู้มีศีลสำรวมระวังในพระปาติโมกข์ ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร มีปรกติ เห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย
๖ มีปรกติได้ตามความปรารถนา ได้โดยไม่ยาก ไม่ลำบาก ซึ่งฌาน ๔ อันมีในจิตยิ่ง เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน
๗ ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๗ ประการนี้แล เป็นวินัยธรได้
(๒) [๗๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๗ ประการ เป็นวินัยธรได้ ธรรม ๗ ประการเป็นไฉน คือ
๑ รู้จักอาบัติ
๒ รู้จักอนาบัติ
๓ รู้จักอาบัติเบา
๔ รู้จักอาบัติหนัก
๕ จำปาติโมกข์ทั้งสองได้แม่นยำโดยพิสดารจำแนกดีแล้ว ขยายดีแล้ว วินิจฉัยดีแล้ว ทั้งโดยสูตรและโดยอนุพยัญชนะ
๖ มีปรกติได้ตามความปรารถนาได้โดยไม่ยาก ไม่ลำบาก ซึ่งฌาน ๔ อันมีในจิตยิ่ง เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน
๗ ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ ฯลฯ เข้าถึงอยู่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๗ ประการนี้แล เป็นวินัยธรได้
(๓) [๗๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๗ ประการ เป็นวินัยธรได้ ธรรม ๗ ประการเป็นไฉน คือ
๑ รู้จักอาบัติ
๒ รู้จักอนาบัติ
๓ รู้จักอาบัติเบา
๔ รู้จักอาบัติหนัก
๕ หนักอยู่ในพระวินัยไม่ง่อนแง่น
๖ มีปรกติได้ตามความปรารถนา ได้โดยไม่ยาก ไม่ลำบาก ซึ่งฌาน ๔ อันมีในจิตยิ่ง เป็นครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน
๗ ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ ฯลฯ เข้าถึงอยู่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๗ ประการนี้แล เป็นวินัยธรได้
(๔) [๗๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๗ ประการ เป็นวินัยธรได้ ธรรม ๗ ประการเป็นไฉน คือ
๑ รู้จักอาบัติ
๒ รู้จักอนาบัติ
๓ รู้จักอาบัติเบา
๔ รู้จักอาบัติหนัก
๕ ย่อมระลึกถึงชาติก่อนๆ ได้เป็นอันมาก คือระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง ฯลฯ ย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมากพร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้
๖ ย่อมเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติกำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุ อันบริสุทธิ์ล่วงจักษุมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตาม กรรม ฯลฯ
๗ ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ ฯลฯ เข้าถึงอยู่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๗ ประการนี้แล เป็นวินัยธรได้
(๕) [๗๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๗ ประการ เป็นพระวินัยธรงาม ธรรม ๗ ประการเป็นไฉน คือ
๑ รู้จักอาบัติ
๒ รู้จักอนาบัติ
๓ รู้จักอาบัติเบา
๔ รู้จักอาบัติหนัก
๕ เป็นผู้มีศีล ฯลฯ สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย
๖ มีปรกติได้ตามความปรารถนา ฯลฯ เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน
๗ ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ ฯลฯ เข้าถึงอยู่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๗ ประการนี้แล เป็นวินัยธรงาม
(๖) [๗๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๗ ประการ เป็นวินัยธรงาม ธรรม ๗ ประการเป็นไฉน คือ
๑ รู้จักอาบัติ
๒ รู้จักอนาบัติ
๓ รู้จักอาบัติเบา
๔ รู้จักอาบัติหนัก
๕ จำปาติโมกข์ทั้งสองได้แม่นยำโดยพิสดารจำแนกดีแล้ว ขยายดีแล้ว วินิจฉัยดีแล้ว ทั้งโดยสูตรและโดยอนุพยัญชนะ
๖ มีปรกติได้ตามความปรารถนา ฯลฯ เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน
๗ ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ ฯลฯ เข้าถึงอยู่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๗ ประการนี้แล เป็นพระวินัยธรงาม
(๗) [๗๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๗ ประการ เป็นพระวินัยธรงาม ธรรม ๗ ประการเป็นไฉน คือ
๑ รู้จักอาบัติ
๒ รู้จักอนาบัติ
๓ รู้จักอาบัติเบา
๔ รู้จักอาบัติหนัก
๕ หนักอยู่ในพระวินัย ไม่ง่อนแง่น
๖ มีปรกติได้ตามความปรารถนา ฯลฯ เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน
๗ ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ ฯลฯ เข้าถึงอยู่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๗ ประการนี้แล เป็นพระวินัยธรงาม
(๘) [๗๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๗ ประการ เป็นพระวินัยธรงาม ธรรม ๗ ประการเป็นไฉน คือ
๑ รู้จักอาบัติ
๒ รู้จักอนาบัติ
๓ รู้จักอาบัติเบา
๔ รู้จักอาบัติหนัก
๕ ย่อมระลึกถึงชาติก่อนๆ ได้เป็นอันมาก คือระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง ฯลฯ ย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมากพร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้
๖ ย่อมเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติกำลังอุปบัติ ฯลฯ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีตมีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยประการฉะนี้
๘ ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ ฯลฯ เข้าถึงอยู่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๗ ประการนี้แล เป็นพระวินัยธรงาม
[๘๐] ครั้งนั้นแล ท่านพระอุบาลีเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับถวาย บังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส ขอพระผู้มีพระภาค โปรดแสดงธรรมโดยย่อแก่ข้าพระองค์ ที่ข้าพระองค์ได้สดับแล้ว จะพึงเป็นผู้หลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่เถิด
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอุบาลี เธอพึงรู้ธรรมเหล่าใดแลว่า ธรรมเหล่านี้ ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพาน โดยส่วนเดียว เธอพึงทรงธรรมเหล่านั้นไว้โดย ส่วนหนึ่งว่า นี้ไม่ใช่ธรรม นี้ไม่ใช่วินัย นี้ไม่เป็นคำสั่งสอนของศาสดา
อนึ่ง เธอพึงรู้ธรรมเหล่าใดแลว่า ธรรมเหล่านี้เป็นไป เพื่อความเบื่อหน่ายเพื่อ คลาย กำหนัด เพื่อความดับ เพื่อสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพาน โดย ส่วนเดียว เธอพึงทรงจำธรรมเหล่านี้ไว้ โดยส่วนหนึ่งว่า นี้เป็นธรรมนี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสั่งสอนของศาสดา
[๘๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมสำหรับระงับอธิกรณ์ ๗ ประการนี้ เพื่อสงบ ระงับอธิกรณ์ที่เกิดแล้วๆ ธรรม ๗ ประการเป็นไฉน คือ
๑ สงฆ์พึงให้สัมมุขาวินัย (สำหรับระงับต่อหน้า)
๒ พึงให้สติวินัย (สำหรับพระอรหันต์ผู้มีสติไพบูลย์)
๓ พึงให้อมูฬหวินัย (สำหรับภิกษุบ้า)
๔ ปฏิญญาตกรณะ (ให้ทำการปรับโทษตามคำปฏิญาณ)
๕ เยภุยยสิกา (ปรับโทษถือข้างมากเป็นประมาณ)
๖ ตัสสปาปิยสิกา (ปรับโทษสมกับความผิดแก่ภิกษุจำเลยนั้น)
๗ ติณวัตถารกะ (ตัดสินทำนองกลบหญ้า คือ ทำการประนีประนอม)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมสำหรับระงับอธิกรณ์ ๗ ประการนี้แล เพื่อสงบระงับ อธิกรณ์ที่เกิดแล้วๆ
|