พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๒๙-๑๓๓
พระสูตรที่ไม่สงเคราะห์เข้าในวรรค
[๘๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่าเป็นภิกษุ เพราะทำลายธรรม ๗ ประการ
ธรรม ๗ ประการเป็นไฉน คือ
๑ สักกายทิฏฐิ
๒ วิจิกิจฉา
๓
สีลัพพตปรามาส
๔
ราคะ
๕
โทสะ
๖
โมหะ
๗
มานะ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่าเป็นภิกษุเพราะทำลายธรรม ๗ ประการนี้แล
[๘๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ชื่อว่าเป็นสมณะ เพราะสงบธรรม ๗ ประการ
ชื่อว่า เป็นพราหมณ์ เพราะลอยธรรม ๗ ประการ
ชื่อว่าเป็นโสตถิกะ (สวัสดี)เพราะเป็นผู้ ไม่ร้อยรัด ธรรม ๗ ประการ
ชื่อว่าเป็นนหาตกะ เพราะอาบธรรม ๗ ประการ
ชื่อว่าเป็น เวทคู เพราะรู้ชัดธรรม ๗ ประการ
ชื่อว่าเป็นอรหันต์ เพราะเป็นผู้ไกลธรรม ๗ ประการ
ธรรม ๗ ประการเป็นไฉน คือ สักกายทิฏฐิ ๑วิจิกิจฉา ๑ สีลัพพตปรามาส ๑ ราคะ ๑ โทสะ ๑ โมหะ ๑ มานะ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่าเป็นอรหันต์ เพราะเป็นผู้ไกลธรรม ๗ ประการนี้แล
[๘๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อสัทธรรม ๗ ประการนี้ ๗ ประการเป็นไฉนคือ อสัตบุรุษเป็นผู้ไม่มีศรัทธา ๑ ไม่มีหิริ ๑ ไม่มีโอตตัปปะ ๑ มีสุตะน้อย ๑เป็นผู้เกียจคร้าน ๑ มีสติหลงลืม ๑ มีปัญญาทราม ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลายอสัทธรรม ๗ ประการนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัทธรรม ๗ ประการนี้ ๗ ประการเป็นไฉน คือ สัตบุรุษเป็นผู้มีศรัทธา ๑ มีหิริ ๑ มีโอตตัปปะ ๑ เป็นพหูสูต ๑ ปรารภความเพียร ๑ มีสติ ๑ มีปัญญา ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัทธรรม ๗ ประการนี้แล
[๘๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๗ จำพวกนี้ เป็นผู้ควรของคำนับ เป็นผู้ควร ของต้อนรับ เป็นผู้ควรของทำบุญ เป็นผู้ควรกระทำอัญชลี เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า
๗ จำพวกเป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย (๑) บุคคลบางคนในโลกนี้ พิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง มีความสำคัญ ว่าไม่เที่ยง ตระหนักชัดว่าไม่เที่ยงในจักษุ น้อมไป ด้วยใจ หยั่งลงด้วย ปัญญา ติดต่อสม่ำเสมอไม่ขาดสาย เธอกระทำให้แจ้ง ซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหา อาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ นี้บุคคลที่ ๑ เป็นผู้ควรของคำนับ ... เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า
(๒) อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ พิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง มีความ สำคัญ ว่าไม่เที่ยง ตระหนักชัดว่าไม่เที่ยงในจักษุ น้อมไปด้วยใจ หยั่งลงด้วย ปัญญา ติดต่อ สม่ำเสมอไม่ขาดสาย บุคคลนั้นมีการสิ้นอาสวะ และการสิ้นชีวิตไม่ก่อน ไม่หลังกัน นี้เป็นบุคคลที่ ๒ เป็นผู้ควรของคำนับ ...
(๓) อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ พิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง ...ติดต่อ สม่ำเสมอไม่ขาดสาย บุคคลนั้นเป็นอันตราปรินิพพายี เพราะสิ้นโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ นี้เป็นบุคคลที่ ๓ เป็นผู้ควรของคำนับ ...
(๔) อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ พิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง ...ติดต่อ สม่ำเสมอ ไม่ขาดสาย บุคคลนั้นเป็นอุปหัจจปรินิพพายี เพราะสิ้นโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ นี้เป็นบุคคลที่ ๔ เป็นผู้ควรของคำนับ ...
(๕) อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ พิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง ...ติดต่อ สม่ำเสมอ ไม่ขาดสาย บุคคลนั้นเป็นอสังขารปรินิพพายี เพราะสิ้นโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ นี้เป็นบุคคลที่ ๕ เป็นผู้ควรของคำนับ ...
(๖) อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ พิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง ...ติดต่อ สม่ำเสมอไม่ขาดสาย บุคคลนั้นเป็นสสังขารปรินิพพายี เพราะสิ้นโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ นี้เป็นบุคคลที่ ๖ เป็นผู้ควรของคำนับ ...
(๗) อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ พิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง ...ติดต่อ สม่ำเสมอไม่ขาดสาย บุคคลนั้นเป็นอุทธังโสโตอกนิฏฐคามี เพราะสิ้นโอรัมภาคิย สังโยชน์ ๕ นี้เป็นบุคคลที่ ๗ เป็นผู้ควรของคำนับ ฯลฯ เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญ อื่นยิ่งกว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๗ จำพวกนี้แล เป็นผู้ควรของคำนับ เป็นผู้ควรของ ต้อนรับ เป็นผู้ควรของทำบุญ เป็นผู้ควรทำอัญชลีเป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่น ยิ่งกว่า
[๘๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๗ จำพวกนี้ เป็นผู้ควรของคำนับ ...ไม่มีนาบุญ อื่นยิ่งกว่า ๗ จำพวกเป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนใน
โลกนี้
พิจารณาเห็นว่าเป็นทุกข์ในจักษุ ...
พิจารณาเห็นว่าเป็นอนัตตาในจักษุ ...
พิจารณาเห็นความสิ้นไปในจักษุ ...
พิจารณาเห็นความเสื่อมไปในจักษุ ...
พิจารณาเห็นความคลายไปในจักษุ ...
พิจารณาเห็นความดับในจักษุ ...
พิจารณาเห็นความสละคืนในจักษุ ...
พิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง พิจารณาเห็นว่าเป็นทุกข์ พิจารณาเห็นว่าเป็นอนัตตา ...
พิจารณาเห็นความสิ้นไป ...
พิจารณาเห็นความเสื่อมไป ...
พิจารณาเห็นความคลายไป พิจารณาเห็นความดับ ...
พิจารณาเห็นความสละคืนในหู จมูก ลิ้น กาย ใจ ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์
ในจักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณมโนวิญญาณ
ในจักขุสัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัสมโนสัมผัส ในจักขุสัมผัสสชาเวทนา โสตสัมผัสสชาเวทนา ฆานสัมผัสสชาเวทนา ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา กายสัมผัสสชาเวทนา มโนสัมผัสสชาเวทนา
ในรูปสัญญา สัททสัญญา คันธสัญญา รสสัญญา โผฏฐัพพสัญญา ธรรมสัญญาในรูป สัญเจตนา สัททสัญเจตนา คันธสัญเจตนา รสสัญเจตนา โผฏฐัพพสัญเจตนา ธรรมสัญเจตนา
ในรูปตัณหา สัททตัณหา คันธตัณหา รสตัณหาโผฏฐัพพตัณหา ธรรมตัณหา ในรูปวิตก สัททวิตก คันธวิตก รสวิตกโผฏฐัพพวิตก ธรรมวิตก
ในรูปวิจาร สัททวิจาร คันธวิจาร รสวิจาร โผฏฐัพพวิจาร ธรรมวิจาร ในรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์วิญญาณขันธ์
[๘๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๗ ประการ อันภิกษุพึงเจริญเพื่อรู้ยิ่งราคะ
๗ ประการเป็นไฉน คือ สติสัมโพชฌงค์ ฯลฯ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๗ ประการนี้ อันภิกษุพึงเจริญเพื่อรู้ยิ่งราคะ
[๘๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๗ ประการ ภิกษุพึงเจริญเพื่อรู้ยิ่งราคะ
๗ ประการ เป็นไฉน คือ อนิจจสัญญา ๑ อนัตตสัญญา ๑ อสุภสัญญา ๑ อาทีนวสัญญา ๑ ปหานสัญญา ๑ วิราคสัญญา ๑ นิโรธสัญญา ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๗ ประการนี้ ภิกษุพึงเจริญเพื่อรู้ยิ่งราคะ
[๘๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๗ ประการ ภิกษุพึงเจริญเพื่อรู้ยิ่งราคะ
๗ ประการเป็นไฉน คือ อสุภสัญญา ๑ มรณสัญญา ๑ อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑ สัพพโลเกอนภิรตสัญญา ๑ อนิจจสัญญา ๑ อนิจเจทุกขสัญญา ๑ ทุกเขอนัตตสัญญา ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๗ ประการนี้ ภิกษุพึงเจริญเพื่อรู้ยิ่งราคะ
[๙๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๗ ประการนี้ ภิกษุพึงเจริญเพื่อกำหนดรู้ราคะ ฯลฯ เพื่อความสิ้นไปรอบ เพื่อละ เพื่อความสิ้นไป เพื่อความเสื่อมไปเพื่อความคลายไป เพื่อความดับ เพื่อสละ เพื่อสละคืนราคะ
ธรรม ๗ ประการอันภิกษุพึงเจริญ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อกำหนดรู้ เพื่อความสิ้นไปรอบ เพื่อละ เพื่อความสิ้นไป เพื่อความเสื่อมไป เพื่อความคลายไป เพื่อความดับ เพื่อสละ เพื่อสละคืนโทสะ โมหะ โกธะ อุปนาหะ มักขะ ปลาสะ อิสสา มัจฉริยะมายา สาเถยยะ ถัมภะ สารัมภะ มานะ อติมานะ มทะ ปมาทะ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๗ ประการนี้ อันภิกษุพึงเจริญ เพื่อรู้ยิ่ง ... เพื่อสละคืน โทสะ ...
|