เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
ค้นหาคำที่ต้องการ            

สัลลสูตรที่ ๘ ลูกศรคือกิเลส วาเสฏฐสูตรที่ ๙วาเสฏฐมาณพทูลถามปัญหา 2462
 

พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕

สัลลสูตรที่ ๘ ลูกศรคือกิเลส

วาเสฏฐสูตรที่ ๙ วาเสฏฐมาณพทูลถามปัญหา

เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 
รวมพระสูตรบุคคลสำคัญ
พระโมคคัลลานะ
พระสารีบุตร
พระเทวทัต
นิครนถ์ปริพาชก
พระมหากัปปินะ
พระอนุรุทธะ
พระอุบาลี
(ดูทั้งหมด)
 
สารบาญพระไตรปิฎก
เล่มที่ ๘-๓๓ (๒๕ เล่ม) ทุกพระสูตร
1. ฉบับหลวง
2. ฉบับมหาจุฬาฯ
3. อรรถกถาไทย
4. ฉบับภาษาบาลี
5. อรรถกถา-บาลี
6. Pali Roman (Roman Script)
7. Atthakatha PaliRoman
 

 


 


พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๔๐๐-๔๐๒

สัลลสูตรที่ ๘
ลูกศรคือกิเลส

             [๓๘๐] ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ ไม่มีเครื่องหมาย ใครๆ รู้ ไม่ได้ ทั้งลำบาก ทั้งน้อย และประกอบด้วยทุกข์ สัตว์ ทั้งหลาย ผู้เกิดแล้ว จะไม่ตายด้วยความ พยายามอันใด ความพยายามอันนั้นไม่มีเลย แม้อยู่ได้ถึงชราก็ต้องตาย เพราะ สัตว์ทั้งหลาย มีอย่างนี้เป็นธรรมดา ผลไม้สุกงอมแล้ว ชื่อว่าย่อมมีภัยเพราะจะต้องร่วง หล่นไปในเวลาเช้า ฉันใด สัตว์ทั้งหลายผู้เกิดแล้ว ชื่อว่าย่อมมีภัย เพราะจะต้องตาย เป็นนิตย์ ฉันนั้น

             ภาชนะดินที่นายช่างทำแล้วทุกชนิด มี ความแตกเป็นที่สุด แม้ฉันใด ชีวิต ของสัตว์ทั้งหลาย ก็ ฉันนั้น ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งคนเขลา ทั้งคนฉลาด ล้วน ไปสู่อำนาจของมฤตยู มีมฤตยูเป็นที่ไปในเบื้องหน้าด้วยกัน ทั้งหมด เมื่อสัตว์เหล่านั้น ถูกมฤตยูครอบงำแล้ว ต้องไป ปรโลก บิดาจะป้องกันบุตรไว้ก็ไม่ได้ หรือพวกญาติจะ ป้องกันพวกญาติไว้ก็ไม่ได้ ท่านจงเห็น เหมือนเมื่อหมู่ ญาติของสัตว์ทั้งหลาย ผู้จะต้องตาย กำลังแลดูรำพันอยู่โดย ประการต่างๆ สัตว์ผู้จะต้องตายผู้เดียวเท่านั้น ถูกมฤตยูนำไป เหมือนโคที่บุคคลจะพึงฆ่าถูกนำไปตัวเดียวฉะนั้น ความตาย และความแก่ กำจัดสัตว์โลกอยู่อย่างนี้

             เพราะเหตุนั้น นัก ปราชญ์ทั้งหลายทราบชัด สภาพของโลกแล้ว ย่อมไม่ เศร้าโศก ท่านย่อมไม่รู้ทางของผู้มาหรือผู้ไป ไม่เห็นที่สุดทั้งสองอย่าง ถึงจะ คร่ำครวญไป ก็ไร้ประโยชน์ ถ้าผู้คร่ำครวญหลงเบียด เบียนตนอยู่จะยังประโยชน์อะไรๆ ให้เกิดขึ้นได้ไซร้ บัณฑิต ผู้เห็นแจ้งก็พึงกระทำความคร่ำครวญนั้น บุคคลจะถึงความ สงบใจได้ เพราะการร้องไห้ เพราะความเศร้าโศก ก็หาไม่ ทุกข์ย่อมเกิดแก่ผู้นั้นยิ่งขึ้น และสรีระของผู้นั้นก็จะซูบซีด บุคคลผู้เบียดเบียนตนเอง ย่อมเป็นผู้ซูบผอม มีผิวพรรณ เศร้าหมอง

             สัตว์ทั้งหลายผู้ละไปแล้ว ย่อมรักษาตนไม่ได้ ด้วยความรำพันนั้น การรำพันไร้ ประโยชน์ คนผู้ทอดถอน ถึงบุคคลผู้ทำกาละแล้ว ยังละความเศร้าโศกไม่ได้ ตกอยู่ ในอำนาจแห่งความเศร้าโศก ย่อมถึงทุกข์ยิ่งขึ้น ท่านจง เห็นคนแม้เหล่าอื่น ผู้เตรียม จะดำเนินไปตามยถากรรม (และ) สัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ ผู้มาถึงอำนาจแห่งมัจจุแล้ว กำลัง พากันดิ้นรนอยู่ทีเดียว ก็สัตว์ทั้งหลายย่อมสำคัญด้วยอาการ ใดๆ อาการนั้นๆ ย่อมแปรเป็นอย่างอื่นไปในภายหลัง ความ พลัดพรากกัน เช่นนี้ย่อมมีได้ ท่านจงดู สภาพแห่งโลกเถิด มาณพแม้จะพึงเป็นอยู่ร้อยปี หรือยิ่งกว่านั้น ก็ต้องพลัดพราก จากหมู่ญาติ ต้องละทิ้งชีวิตไว้ในโลกนี้

             เพราะเหตุนั้น บุคคล ฟังพระธรรมเทศนาของพระอรหันต์แล้ว เห็นคนผู้ล่วงลับ ทำกาละแล้ว กำหนดรู้อยู่ว่า บุคคลผู้ล่วงลับทำกาละแล้ว นั้น เราไม่พึงได้ว่า จงเป็นอยู่อีกเถิด ดังนี้ พึงกำจัดความ รำพันเสีย บุคคลพึงดับไฟที่ไหม้ลุกลามไปด้วยน้ำ ฉันใด นรชนผู้เป็นนักปราชญ์ มีปัญญา เฉลียวฉลาด พึงกำจัด ความเศร้าโศก ที่เกิดขึ้น เสีย โดยฉับพลันเหมือนลมพัดนุ่น ฉะนั้น คนผู้แสวงหาความสุขเพื่อตน พึงกำจัดความ รำพัน ความทะยานอยาก และความโทมนัสของตน พึงถอนลูกศร คือกิเลสของตนเสีย เป็นผู้มีลูกศร คือ กิเลสอันถอนขึ้น แล้ว อันตัณหาและทิฐิ ไม่อาศัยแล้ว ถึงความสงบใจ ก้าว ล่วงความเศร้าโศกได้ทั้งหมด เป็นผู้ไม่มีความเศร้าโศก เยือกเย็น ฉะนี้แล


-------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่๔๐๒-๔๑๐

วาเสฏฐสูตรที่ ๙
วาเสฏฐมาณพทูลถามปัญหา

             [๓๘๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ราวป่าอิจฉานงคล วันใกล้อิจฉานังคลคาม ก็สมัยนั้น พราหมณ์มหาศาล ผู้มีชื่อเสียงเป็นอันมาก คือจังกีพราหมณ์ ตารุกขพราหมณ์ โปกขรสาติพราหมณ์ ชาณุสโสณีพราหมณ์ โตเทยยพราหมณ์ และพราหมณ์มหาศาล ผู้มีชื่อเสียงเหล่าอื่น อาศัยอยู่ในอิจฉานังคลคาม

             ครั้งนั้นแล วาเสฏฐมาณพ และภารทวาชมาณพ เดินพักผ่อนอยู่ได้สนทนากันในระหว่างว่า ท่านผู้เจริญ บุคคลชื่อว่าเป็นพราหมณ์ ด้วยเหตุอย่างไร ภารทวาชมาณพกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญบุคคลผู้เป็นอุภโตสุชาต ทั้งฝ่ายมารดาและฝ่ายบิดา มีครรภ์เป็นที่ถือปฏิสนธิ หมดจดดีตลอด ๗ ชั่วบรรพบุรุษ ไม่มีใครจะคัดค้านติเตียนได้ด้วยอ้างถึงชาติ บุคคลชื่อว่าเป็นพราหมณ์ด้วยเหตุเพียงเท่านี้

             วาเสฏฐมาณพกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ บุคคลเป็นผู้มีศีลและถึงพร้อมด้วยวัตร บุคคลชื่อว่าเป็นพราหมณ์ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล

             ภารทวาชมาณพไม่สามารถ จะให้วาเสฏฐมาณพยินยอมได้เลย และวาเสฏฐมาณพก็ไม่สามารถจะให้ ภารทวาชมาณพยินยอมได้

             ลำดับนั้นแล วาเสฏฐมาณพ จึงกล่าวกะภารทวาชมาณพว่า ท่านภารทวาชะพระสมณโคดมผู้ศากยบุตรนี้ เสด็จออกผนวชจากศากยสกุล ประทับอยู่ ณราวป่าอิจฉานังคลวัน ใกล้อิจฉานังคลคาม ก็กิตติศัพท์อันงาม ของท่านพระโคดมพระองค์นั้น ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นฯลฯ เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม ท่านภารทวาชะ เราทั้งสองจงไปเฝ้าพระสมณโคดมเถิด ครั้นแล้วจักทูลถามเนื้อความนี้ พระสมณโคดมจัก ตรัสพยากรณ์แก่เรา ด้วยประการใด เราจักทรงจำข้อความนั้นไว้ด้วยประการนั้น

             ภารทวาชมาณพ รับคำวาเสฏฐมาณพแล้ว ลำดับนั้น วาเสฏฐมาณพและภารทวาชมาณพ ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ได้สนทนาปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว นั่ง ณที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว วาเสฏฐมาณพ ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า

             [๓๘๒] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทั้งสองเป็นผู้มีไตรวิชชา อันอาจารย์ยกย่องและรับรอง ข้าพระองค์เป็นศิษย์ผู้ใหญ่ ของโปกขรสาติพราหมณ์ ภารทวาชมาณพนี้ เป็นศิษย์ผู้ใหญ่ ของตารุกขพราหมณ์ ข้าพระองค์ทั้งสองเป็นผู้ถึงความสำเร็จ ในเวทที่อาจารย์ผู้มีไตรวิชชาบอกแล้ว เป็นผู้เข้าใจตัวบท และเป็นผู้ชำนาญไวยากรณ์ ในเวท เช่นกับอาจารย์ ข้าแต่ พระโคดม ข้าพระองค์ทั้งสองมีการโต้เถียงกันเพราะการอ้าง ถึงชาติ

             ภารทวาชมาณพกล่าวว่า บุคคลเป็นพราหมณ์เพราะ ชาติ ส่วนข้าพระองค์กล่าวว่า บุคคลเป็นพราหมณ์เพราะ กรรม ข้าแต่พระโคดมผู้มีพระจักษุ ขอพระองค์จงทรงทราบ อย่างนี้ข้าพระองค์ทั้งสองนั้นไม่สามารถจะให้กันและกัน ยินยอมได้ จึงพากันมาเพื่อจะทูลถามพระองค์ผู้ปรากฏว่า เป็น พระสัมพุทธะ

             ข้าแต่พระโคดม ข้าพระองค์ทั้งสอง ประนม อัญชลีเข้ามาถวายนมัสการพระองค์ผู้ปรากฏว่า เป็นพระ สัมพุทธะในโลก เหมือนชนทั้งหลาย ประนมอัญชลีเข้ามา ไหว้นมัสการพระจันทร์อันเต็มดวง ฉะนั้น ข้าพระองค์ทั้งสอง ขอทูลถามพระโคดมผู้มีพระจักษุ ผู้อุบัติขึ้นดีแล้วในโลกว่า บุคคลเป็นพราหมณ์ เพราะชาติหรือเพราะกรรม ขอพระองค์ จงตรัสบอกแก่ข้าพระองค์ทั้งสองผู้ไม่รู้ ด้วยอาการที่ข้า พระองค์ทั้งสองจะพึงรู้จักพราหมณ์เถิด

             พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรวาเสฏฐะ

             เราจักพยากรณ์แก่ท่านทั้งหลาย ตามลำดับตามสมควร สัตว์ ทั้งหลายมีความแตกต่างกันโดยชาติ เพราะชาติของสัตว์ เหล่านั้น มีประการต่างๆ กัน ท่านทั้งหลายย่อมรู้จัก หญ้าและต้นไม้ แต่หญ้าและต้นไม้ ก็ไม่ยอมรับว่าเป็น หญ้าเป็นต้นไม้ หญ้าและต้นไม้เหล่านั้นมีสัณฐานสำเร็จ มาแต่ชาติ เพราะชาติของมันต่างๆ กัน แต่นั้นท่าน ทั้งหลายจงรู้จัก หนอน ตั๊กแตน มดดำ และมดแดง สัตว์ เหล่านั้นมีสัณฐานสำเร็จมาแต่ชาติ เพราะชาติของมัน ต่างๆ กัน

             ท่านทั้งหลายจงรู้จักสัตว์ ๔ เท้า ทั้งตัวเล็ก ตัวใหญ่ สัตว์เหล่านั้นมีสัณฐานสำเร็จมาแต่ชาติ เพราะ ชาติของมันต่างๆ กัน ต่อแต่นั้น ท่านทั้งหลายจงรู้จัก ปลาที่เกิดในน้ำเที่ยวไปในน้ำ ปลาเหล่านั้นมีสัณฐานสำเร็จ มาแต่ชาติ เพราะชาติของมันมีต่างๆ กัน ถัดจากนั้น ท่านทั้งหลายจงรู้จักนกที่บินไปในเวหา นกเหล่านั้นมีสัณฐาน สำเร็จมาแต่ชาติ เพราะชาติของมันต่างๆ กัน เพศที่ สำเร็จมาแต่ชาติเป็นอันมาก ไม่มีในมนุษย์ทั้งหลาย เหมือน อย่างสัณฐานที่สำเร็จมาแต่ชาติเป็นอันมากในชาติเหล่านี้ ฉะนั้น

             การกำหนดด้วยผม ศีรษะ หู นัยน์ตา ปาก จมูก ริมฝีปาก คิ้ว คอ บ่า ท้อง หลัง ตะโพก อก ที่แคบ เมถุน มือ เท้า นิ้วมือ เล็บ แข้ง ขา วรรณะ หรือเสียง ว่าผมเป็นต้น ของพราหมณ์เป็นเช่นนี้ ของกษัตริย์ เป็นเช่นนี้ย่อมไม่มีเลย เพศที่สำเร็จมาแต่ชาติไม่มีใน มนุษย์ทั้งหลายเลย เหมือนอย่างสัณฐานที่สำเร็จมาแต่ ชาติในชาติเหล่าอื่น ฉะนั้น

             ความแตกต่างกันแห่งสัณฐาน มีผมเป็นต้นนี้ ที่สำเร็จมาแต่กำเนิด ย่อมไม่มีในสรีระ ของตนๆ เฉพาะในตัวมนุษย์ทั้งหลายเลย แต่ความต่าง กันในมนุษย์ทั้งหลาย บัณฑิตกล่าวไว้โดยสมัญญา ดูกร วาเสฏฐะ ท่านจงรู้อย่างนี้ว่า ก็ในหมู่มนุษย์ ผู้ใดผู้หนึ่ง อาศัยโครักขกรรมเลี้ยงชีพ ผู้นั้นเป็นชาวนา มิใช่ พราหมณ์

             ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจงรู้อย่างนี้ว่า ก็ในหมู่มนุษย์ ผู้ใดผู้หนึ่งเลี้ยงชีพ ด้วยศิลปะ เป็นอันมาก ผู้ นั้นเป็นศิลปิน มิใช่พราหมณ์ ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจง รู้อย่างนี้ว่า ก็ในหมู่มนุษย์ ผู้ใดผู้หนึ่ง อาศัยการค้า ขายเลี้ยงชีพ ผู้นั้นเป็นพ่อค้ามิใช่พราหมณ์ ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจงรู้อย่างนี้ว่า ก็ในหมู่มนุษย์ ผู้ใดผู้หนึ่งเลี้ยงชีวิต ด้วยการรับใช้ผู้อื่น ผู้นั้นเป็นผู้รับใช้ มิใช่พราหมณ์ ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจงรู้อย่างนี้ว่า ก็ในหมู่มนุษย์ ผู้ ใดผู้หนึ่งอาศัยการลักทรัพย์เลี้ยงชีพ ผู้นั้นเป็นโจร มิใช่ พราหมณ์

             ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจงรู้อย่างนี้ว่า ก็ใน หมู่มนุษย์ ผู้ใดผู้หนึ่งอาศัยลูกศรและศาตราเลี้ยงชีพ ผู้นั้น เป็นนักรบอาชีพ มิใช่พราหมณ์ ดูกรวาเสฏฐะ ท่าน จงรู้อย่างนี้ว่า ก็ในหมู่มนุษย์ ผู้ใดผู้หนึ่งเลี้ยงชีพด้วยความ เป็นปุโรหิต ผู้นั้นเป็นผู้ยังบุคคลให้บูชา มิใช่เป็นพราหมณ์ ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจงรู้อย่างนี้ว่า ก็ในหมู่มนุษย์ ผู้ใด ผู้หนึ่งปกครองบ้านและแว่นแคว้น ผู้นั้นเป็นพระราชา มิใช่พราหมณ์

             ก็เราหากล่าวผู้เกิดแต่กำเนิดในท้องมารดา ว่าเป็นพราหมณ์ไม่ ผู้นั้นเป็นผู้ชื่อว่าโภวาที ผู้นั้นแล ยังเป็นผู้มีเครื่องกังวล เรากล่าวบุคคลผู้ไม่มีเครื่องกังวล ผู้ไม่ถือมั่น ว่าเป็นพราหมณ์ เรากล่าวผู้ตัดสังโยชน์ได้ทั้ง หมด ไม่สะดุ้งเลย ล่วงธรรมเป็นเครื่องข้องแล้ว พราก โยคะทั้ง ๔ ได้แล้ว ว่าเป็นพราหมณ์

             เรากล่าวผู้ที่ตัด ชะเนาะคือความโกรธ เชือก คือ ตัณหา หัวเงื่อน คือ ทิฐิ ๖๒ พร้อมทั้งสายโยง คือ อนุสัยเสียได้ ผู้มีลิ่ม สลักอันถอดแล้ว ผู้ตรัสรู้แล้ว ว่าเป็นพราหมณ์ เรา กล่าวผู้ไม่ประทุษร้าย อดกลั้นได้ซึ่งคำด่าว่า การทุบตีและ การจองจำ ผู้มีกำลังคือขันติ ผู้มีหมู่พลคือขันตี ว่าเป็น พราหมณ์

             เรากล่าวผู้ไม่โกรธ มีวัตร มีศีล ไม่มีกิเลส อันฟูขึ้น ฝึกตนแล้ว ทรงไว้ซึ่งร่างกายมีในที่สุด ว่าเป็น พราหมณ์ เรากล่าวผู้ไม่ติดอยู่ในกามทั้งหลาย ดุจน้ำไม่ ติดอยู่ในใบบัว ดุจเมล็ดพันธุ์ผักกาดไม่ติดอยู่บนปลาย เหล็กแหลม ว่าเป็นพราหมณ์

             เรากล่าวผู้รู้ชัดความสิ้นไป แห่งทุกข์ของตน ในศาสนานี้แล ผู้ปลงภาระแล้ว พรากกิเลสได้หมดแล้ว ว่าเป็นพราหมณ์ เรากล่าวผู้มีปัญญา ลึกซึ้ง มีเมธา ผู้ฉลาดในทางและมิใช่ทาง ผู้บรรลุถึง ประโยชน์อันสูงสุด ว่าเป็นพราหมณ์

             เรากล่าวผู้ไม่เกี่ยวข้อง ด้วยคน ๒ พวก คือ คฤหัสถ์และบรรพชิต ไม่มีความ อาลัยเที่ยวไป มีความปรารถนาน้อย ว่าเป็นพราหมณ์ เรากล่าวผู้วางอาชญาในสัตว์ทั้งหลาย ทั้งผู้ที่สะดุ้งและ มั่นคง ไม่ฆ่าเอง ไม่ใช้ผู้อื่นให้ฆ่า ว่าเป็นพราหมณ์ เรา กล่าวผู้ไม่ปองร้าย ผู้ดับเสียได้ในผู้ที่มีอาชญาในตน ผู้ไม่ ยึดถือในผู้ที่มีความยึดถือ ว่าเป็นพราหมณ์

             เรากล่าวผู้ที่ทำ ราคะ โทสะ มานะ และมักขะ ให้ตกไปแล้ว ดุจเมล็ด พันธุ์ผักกาดตกไปจากปลายเหล็กแหลม ว่าเป็นพราหมณ์ เรากล่าวผู้เปล่งถ้อยคำไม่หยาบ ให้รู้ความกันได้ เป็นคำจริง ซึ่งไม่เป็นเหตุทำใครๆ ให้ข้องอยู่ ว่าเป็นพราหมณ์

             ก็เรา กล่าวผู้ไม่ถือเอาสิ่งของยาวหรือสั้น น้อยหรือใหญ่ งาม และไม่งาม ซึ่งเจ้าของมิได้ให้แล้วในโลก ว่าเป็นพราหมณ์ เรากล่าวผู้ไม่มีความหวังทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า ผู้สิ้น หวัง พรากกิเลสได้หมดแล้ว ว่าเป็นพราหมณ์

             เรากล่าว ผู้ไม่มีความอาลัย รู้แล้วทั่วถึง ไม่มีความสงสัย หยั่งลงสู่ นิพพาน ได้บรรลุแล้วโดยลำดับ ว่าเป็นพราหมณ์ เรา กล่าวผู้ละทิ้งบุญและบาปทั้ง ๒ ล่วงธรรมเป็นเครื่องข้องได้ แล้ว ไม่มีความเศร้าโศก ปราศจากธุลี บริสุทธิ์แล้ว ว่าเป็นพราหมณ์

             เรากล่าวผู้มีความยินดีในภพหมดสิ้นแล้ว ผู้บริสุทธิ์ มีจิตผ่องใส ไม่ขุ่นมัวดุจพระจันทร์ที่ปราศจาก มลทิน ว่าเป็นพราหมณ์ เรากล่าวผู้ล่วงทางอ้อม หล่ม สงสาร โมหะเสียได้ เป็นผู้ข้ามถึงฝั่ง เพ่งฌาน ไม่หวั่น ไหว ไม่มีความสงสัย ดับกิเลสได้แล้วเพราะไม่ถือมั่น ว่าเป็นพราหมณ์

             เรากล่าวผู้ละกามในโลกนี้ได้เด็ดขาด เป็นผู้ไม่มีเรือน บวชเสียได้ มีกามราคะหมดสิ้นแล้ว ว่า เป็นพราหมณ์ เรากล่าวผู้ละตัณหาในโลกนี้ได้เด็ดขาด เป็น ผู้ไม่มีเรือน งดเว้น มีตัณหาและภพหมดสิ้นแล้ว ว่าเป็น พราหมณ์ เรากล่าวผู้ละโยคะที่เป็นของมนุษย์ แล้วล่วง โยคะที่เป็นของทิพย์เสียได้ ผู้พรากแล้วจากโยคะทั้งปวง ว่าเป็นพราหมณ์

             เรากล่าวผู้ละความยินดีและความไม่ยินดี เป็นผู้เยือกเย็น หาอุปธิมิได้ ผู้ครอบงำโลกทั้งปวง มีความ เพียร ว่าเป็นพราหมณ์ เรากล่าวผู้รู้จุติและอุปบัติของสัตว์ ทั้งหลาย โดยอาการทั้งปวง ผู้ไม่ข้อง ไปดี ตรัสรู้แล้ว ว่าเป็นพราหมณ์

             เรากล่าวผู้ที่เทวดา คนธรรพ์ และมนุษย์รู้ คติไม่ได้ ผู้สิ้นอาสวะแล้ว เป็นพระอรหันต์ ว่าเป็นพราหมณ์ เรากล่าวผู้ไม่มีเครื่องกังวลในขันธ์ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ไม่มีเครื่องกังวล ไม่ยึดถือ ว่าเป็นพราหมณ์ เรากล่าวผู้องอาจ ประเสริฐ เป็นนักปราชญ์ แสวงหาคุณ ใหญ่ชนะมาร ไม่มีความหวั่นไหว ล้างกิเลสหมด ตรัสรู้ แล้ว ว่าเป็นพราหมณ์

             เรากล่าวผู้ระลึกชาติก่อนๆ ได้ เห็นสวรรค์และอบาย และถึงความสิ้นไปแห่ง ชาติแล้ว ว่า เป็นพราหมณ์ นามและโคตรที่เขากำหนดกัน เป็นบัญญัติใน โลก นาม และ โคตร มาแล้วเพราะการรู้ตามกันมา ญาติ สาโลหิตทั้งหลาย กำหนดไว้ในกาลที่บุคคล เกิดแล้วนั้นๆ นามและโคตรที่กำหนดกันแล้วนี้ เป็นความเห็นของพวก คนผู้ไม่รู้ ซึ่งสืบ เนื่อง กันมาสิ้นกาลนาน พวกคนผู้ไม่รู้ ย่อมกล่าวว่าบุคคลเป็นพราหมณ์เพราะชาติ

             แต่บุคคลเป็น พราหมณ์เพราะชาติก็หามิได้ แต่เป็นพราหมณ์เพราะกรรม ไม่เป็นพราหมณ์ก็เพราะกรรม เป็นชาวนาก็เพราะกรรม เป็นศิลปิน เป็นพ่อค้า เป็นผู้รับใช้ เป็นโจร เป็นนักรบ อาชีพ เป็นปุโรหิต และแม้เป็นพระราชา ก็เพราะกรรม บัณฑิต ทั้งหลาย ผู้มีปรกติเห็นปฏิจจสมุปบาท ฉลาดในกรรม และวิบาก ย่อมเห็นกรรม ตามความเป็นจริงอย่างนี้ โลก ย่อมเป็นไปเพราะกรรม หมู่สัตว์ย่อมเป็นไปเพราะกรรม สัตว์ทั้งหลายมีกรรม เป็นเครื่องผูกพัน เปรียบเหมือนหมุด แห่งรถที่แล่นไปอยู่ ฉะนั้น

             บุคคลเป็นพราหมณ์เพราะกรรม อันประเสริฐนี้ คือ ตบะ สัญญมะ พรหมจรรย์ และ ทมะ กรรมนี้ นำความเป็นพราหมณ์ที่สูงสุดมาให้ บุคคล ผู้ถึงพร้อมด้วยไตรวิชชา เป็นคนสงบ มีภพใหม่สิ้นไปแล้ว เป็นพราหมณ์ผู้องอาจของบัณฑิตทั้งหลายผู้รู้แจ้งอยู่ ท่านจง รู้อย่างนี้เถิดวาเสฏฐะ

             [๓๘๓] เมื่อพระผู้มีพระภาค ตรัสอย่างนี้แล้ว วาเสฏฐมาณพ และ ภารทวาชมาณพ ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของ พระองค์แจ่มแจ้งนัก ฯลฯ ขอพระองค์โปรดทรงจำข้าพระองค์ทั้งสองว่าเป็นอุบาสก ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป





 





หนังสือพุทธวจน ธรรมะของพระศาสดา
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์