พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๙๒-๔๐๐
เสลสูตรที่ ๗
ว่าด้วยเสลพราหมณ์
[๓๗๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาค เสด็จจาริกไปในชนบท ชื่ออังคุตตราปะ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ หมู่ใหญ่ประมาณ ๑,๒๕๐ รูป เสด็จถึงนิคมของ ชาวอังคุตตราปะชื่ออาปณะ
เกณิยชฎิลได้สดับข่าวมาว่า พระสมณโคดมศากยบุตร ทรงผนวชจาก ศากยสกุล เสด็จจาริกไปในชนบทชื่ออังคุตตราปะ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๑,๒๕๐ รูป เสด็จถึงนิคมชื่ออาปณะตามลำดับ ก็กิตติศัพท์อันงาม ของท่านพระโคดม พระองค์นั้นแล ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ... ทรงเบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม
พระองค์ทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วย พระปัญญาอันยิ่งเองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ให้รู้ตาม พระองค์ทรงแสดงธรร มอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลางงามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ก็การได้เห็นพระอรหันต์เห็นปานนั้น ย่อมเป็นความดีแล
ครั้งนั้นแล เกณิยชฎิลเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับได้สนทนาปราศรัย กับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัย พอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว นั่ง ณที่ควรส่วน ข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้เกณิยชฎิลเห็นแจ้ง ให้สมาทานอาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา
ลำดับนั้น เกณิยชฎิล อันพระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค ว่าขอพระโคดมผู้เจริญ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ท รงรับภัตของข้าพระองค์ เพื่อเสวยในวันพรุ่งนี้ พระเจ้าข้า
[๓๗๔] เมื่อเกณิยชฎิล กราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะ เกณิยชฎิล ว่า ดูกรเกณิยะ ภิกษุสงฆ์มีมากถึง ๑,๒๕๐ รูป อนึ่ง ท่านก็เลื่อมใสในพวก พราหมณ์ยิ่งนัก
แม้ครั้งที่ ๒ เกณิยชฎิล ก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภิกษุสงฆ์มีมากถึง ๑,๒๕๐ รูป ทั้งข้าพระองค์เป็นผู้เลื่อมใสในพวกพราหมณ์ก็จริง ถึงอย่างนั้นก็ขอพระโคดมผู้เจริญ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ทรงรับภัตของข้าพระองค์ เพื่อเสวยในวันพรุ่งนี้ ... แม้ครั้งที่ ๓ เกณิยชฎิล ... พระผู้มีพระภาคทรงรับนิมนต์ ด้วยดุษณีภาพ
ลำดับนั้นแล เกณิยชฎิลทราบว่าพระผู้มีพระภาค ทรงรับนิมนต์แล้ว ลุกจาก อาสนะ เข้าไปสู่อาศรมของตนแล้ว เรียกมิตร (กรรมกร) อำมาตย์และญาติสาโลหิต ทั้งหลายมากล่าวว่า มิตรอำมาตย์ และญาติสาโลหิตผู้เจริญทั้งหลาย จงฟังข้าพเจ้า ข้าพเจ้านิมนต์พระสมณโคดม พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ เพื่อเสวยภัตในวันพรุ่งนี้ ขอท่าน ทั้งหลาย ช่วยข้าพเจ้าขวนขวายด้วยกาย พวกมิตร อำมาตย์และญาติสาโลหิตทั้งหลาย ของเกณิยชฎิลรับคำแล้ว บางพวกขุดเตา บางพวกผ่าฟืน บางพวกล้างภาชนะ บางพวก ช่วยตั้งหม้อน้ำ บางพวกปูอาสนะ ส่วนเกณิยชฎิลตกแต่งปะรำเอง
[๓๗๕] ก็สมัยนั้นแล เสลพราหมณ์อาศัยอยู่ในอาปณนิคม เป็นผู้รู้จบไตรเพท พร้อมทั้ง คัมภีร์นิฆัณฑุ และคัมภีร์เกตุภะ พร้อมทั้งประเภทอักษร มีคัมภีร์อิติหาสเป็นที่ ๕ เป็นผู้เข้าใจตัวบท เข้าใจไวยากรณ์ ชำนาญในคัมภีร์โลกายตะ และตำราทำนาย มหาปุริสลักษณะ ทั้งบอกมนต์แก่มาณพ ๓๐๐ คนด้วย ก็สมัยนั้นเกณิยชฎิล เป็นผู้ เลื่อมใส ในเสลพราหมณ์ยิ่งนัก
ครั้งนั้นแล เสลพราหมณ์แวดล้อมด้วยมาณพ ๓๐๐ คน เดินเที่ยวพักผ่อนอยู่ ได้เข้าไปสู่อาศรมของเกณิยชฎิล ได้เห็นคนบางพวกขุดเตา ฯลฯบางพวกปูอาสนะ ในอาศรมของเกณิยชฎิล ส่วนเกณิยชฎิล ตกแต่งโรงปะรำเองครั้นแล้วได้ถาม เกณิยชฎิล ว่า ท่านเกณิยผู้เจริญ จักมีอาวาหะ วิวาหะ หรือเตรียมจัดมหายัญหรือ หรือท่านได้ทูลเชิญเสด็ จพระเจ้าแผ่นดินมคธพระนามว่า พิมพิสารจอมทัพ พร้อมทั้ง รี้พล เพื่อเสวยในวันพรุ่งนี้
เกณิยชฎิลตอบว่า ท่านเสละผู้เจริญ อาวาหะหรือวิวาหะจะมีแก่ข้าพเจ้า ก็หามิได้ แม้พระเจ้าแผ่นดินมคธพระนามว่า พิมพิสารจอมทัพ พร้อมทั้งรี้พลข้าพเจ้า ก็มิได้ทูลเชิญ เพื่อเสวยในวันพรุ่งนี้ แต่ข้าพเจ้าจัดมหายัญ พระสมณโคดมผู้ศากยบุตร ทรงผนวชจากศากยสกุล เสด็จจาริกไปในชนบท ชื่ออังคุตตราปะพร้อมด้วย ภิกษุสงฆ์ หมู่ใหญ่ประมาณ ๑,๒๕๐ รูป เสด็จถึงนิคมชื่ออาปณะตามลำดับ ก็กิตติศัพท์อันงาม ของท่าน พระโคดมนั้นแล ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาค พระองค์นั้น ฯลฯ ทรงเบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรมดังนี้ ข้าพเจ้านิมนต์พระผู้มีพระภาค พระองค์นั้น พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ เพื่อเสวยภัตในวันพรุ่งนี้
ส. ท่านเกณิยะผู้เจริญ ท่านกล่าวว่า พุทโธ หรือ ฯ
ก. ท่านเสละผู้เจริญ ข้าพเจ้ากล่าวว่า พุทโธ ฯ
ส. ท่านเกณิยะผู้เจริญ ท่านกล่าวว่า พุทโธ หรือ ฯ
ก. ท่านเสละผู้เจริญ ข้าพเจ้ากล่าวว่า พุทโธ ฯ
ลำดับนั้นแล เสลพราหมณ์ดำริว่า แม้เสียงประกาศว่า พุทโธ หาได้ยากในโลก พระมหาบุรุษผู้ประกอบด้วย มหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ ซึ่งมาในมนต์ของพวกเรา ย่อมมีคติเป็นสองเท่านั้น ไม่เป็นอย่างอื่น คือ ถ้าอยู่ครองเรือน จะได้เป็นพระเจ้า จักรพรรดิ ผู้ทรงธรรม เป็นธรรมราชา เป็นใหญ่ในแผ่นดินมีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบเขต ทรงชนะแล้ว มีราชอาณาจักรมั่นคง
ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ คือ จักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว แก้วมณี นางแก้ว คฤหบดีแก้ว ปรินายกแก้วเป็นที่ ๗ พระราชโอรสของพระองค์ มีกว่าพันล้วน กล้าหาญ มีรูปทรงสมเป็นวีระกษัตริย์ สามารถย่ำยีกองทัพของข้าศึก ได้พระองค์ ทรงชำนะ โดยธรรม มิต้องใช้อาชญา มิต้องใช้ศาตรา ทรงครอบครองแผ่นดิน มีสาครเป็นขอบเขต ๑
ถ้าแลเสด็จออกผนวช เป็นบรรพชิต จะได้เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า มีหลังคาคือกิเลสอันเปิดแล้วในโลก ๑ เสลพราหมณ์ถามว่า ท่านเกณิยะผู้เจริญ ก็บัดนี้ พระโคดมอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เจริญพระองค์นั้น ประทับอยู่ที่ไหน
[๓๗๖] เมื่อเสลพราหมณ์ถามอย่างนี้แล้ว เกณิยชฎิลได้ยกแขนขวาขึ้นชี้แล้ว กล่าวกะเสลพราหมณ์ว่า ท่านเสละผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ทิวไม้มีสีเขียวนั่น
ลำดับนั้นแล เสลพราหมณ์พร้อมด้วยมาณพ ๓๐๐ คน เข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ แล้วกล่าวเตือนมาณพเหล่านั้นว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย จงเงียบเสียง ค่อยๆ เดินตามกันมา เพราะท่านผู้เจริญเหล่านั้น เที่ยวไปผู้เดียวเหมือน ราชสีห์ ให้ยินดีได้ยาก
ดูกรท่านผู้เจริญทั้งหลาย เวลาเราสนทนากับพระสมณโคดม ท่านทั้งหลาย อย่าพูดสอดขึ้น ในระหว่างถ้อยคำของเรา จงรอให้ถ้อยคำของเราจบลงก่อน เสลพราหมณ์ ได้สนทนาปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัย พอให้ระลึก ถึงกัน ไปแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้ว เสลพราหมณ์ ได้ตรวจดูมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ ในพระกาย ของพระผู้มีพระภาค ก็ได้เห็นมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการโดยมากเว้นอยู่ ๒ ประการ คือ พระคุยหะเร้นอยู่ในฝัก ๑ พระชิวหาใหญ่ ๑ จึงยังเคลือบแคลงสงสัย ไม่เชื่อไม่ เลื่อมใสในมหาปุริสลักษณะ ๒ ประการ ครั้งนั้น แลพระผู้มีพระภาคทรงดำริว่า เสลพราหมณ์นี้ เห็นมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการของเราโดยมาก เว้นอยู่ ๒ ประการ คือ คุยหะเร้นอยู่ในฝัก ๑ ชิวหาใหญ่ ๑ จึงยังเคลือบแคลงสงสัยไม่เชื่อ ไม่เลื่อมใส ในมหาปุริสลักษณะ ๒ ประการ
ทันใดนั้น พระผู้มีพระภาค ทรงบันดาลอิทธาภิสังขาร ให้เสลพราหมณ์ ได้เห็นพระคุยหะเร้นอยู่ฝัก และทรงแลบพระชิวหา สอดเข้าช่องพระกรรณทั้ง ๒ กลับไปมาสอดเข้าช่องพระนาสิกทั้ง ๒ กลับไปมา แผ่ปิดมณฑลพระนลาต เสลพราหมณ์ คิดว่าพระสมณโคดม ทรงประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ บริบูรณ์ไม่บกพร่อง แต่เราไม่ทราบว่า พระองค์เป็นพระพุทธเจ้าหรือไม่
ก็แลเราได้ฟังคำของพราหมณ์ทั้งหลา ยผู้แก่เฒ่าผู้เป็นอาจารย์ และปาจารย์ กล่าวอยู่ว่า พระผู้มีพระภาคเป็นผู้พระอรหันต์ สัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมทรงทำ พระองค์ให้ปรากฏใน เมื่อบุคคลกล่าวถึงคุณของพระองค์ ถ้ากระไรเราพึงชมเชย พระสมณโคดม เฉพาะพระพักตร์ ด้วยคาถาอันสมควร
ลำดับนั้นแล เสลพราหมณ์ได้ชมเชยพระผู้มีพระภาค เฉพาะพระพักตร์ ด้วยคาถา อันสมควรว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พระองค์มีพระกายบริบูรณ์ สวยงาม ประสูติดีแล้ว มีพระเนตรงาม มีพระฉวีวรรณดุจทองคำ มีพระเขี้ยวขาวดี มีความเพียร อวัยวะใหญ่น้อยเหล่าใด มีแก่คนผู้เกิดดีแล้ว อวัยวะใหญ่น้อยเหล่านั้นทั้งหมดใน พระกาย ของพระองค์ เป็นมหาปุริสลักษณะ พระองค์มี พระเนตรแจ่มใส มีพระพักตร์งาม มีกายใหญ่ตรง มีรัศมี รุ่งเรืองอยู่ในท่ามกลางสมณสงฆ์ ดังพระอาทิตย์
พระองค์เป็น ภิกษุมีพระเนตร์งาม มีพระฉวีวรรณงามเปล่งปลั่งดังทองคำ ประโยชน์อะไรด้วยความเป็นสมณะของพระองค์ผู้มีวรรณะอัน อุดมอย่างนี้ พระองค์ ควรเป็น พระเจ้าจักรพรรดิผู้ประเสริฐ ในราชสมบัติ ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินมีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบ เขต ผู้ทรงชนะแล้ว ผู้เป็นใหญ่ในชมพูทวีปมีกษัตริย์ ประเทศราชตามเสด็จ ข้าแต่พระโคดม ขอพระองค์ทรง เป็นพระราชาที่พระราชาทรงบูชา เป็นจอมมนุษย์ ครอง ราชสมบัติเถิด
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
[๓๗๗] ดูกรเสลพราหมณ์ เราเป็นพระราชาชั้นเยี่ยมเป็นพระธรรม ราชา เรายัง จักร ที่ใครๆ พึงให้เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไป โดยธรรม
เสลพราหมณ์กราบทูลว่า
พระองค์ทรงปฏิญาณ ว่าเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ เป็นพระธรรม ราชาชั้นเยี่ยม ข้าแต่พระโคดม พระองค์ตรัสว่า จะยังจักร ให้เป็นไปโดยธรรม ใครหนอเป็นสาวก เสนาบดี ของพระองค์ ผู้ประพฤติตามพระศาสดา ใครจะยังธรรมจักรที่พระองค์ให้ เป็นไป แล้วนี้ ให้เป็นไปตาม
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรเสลพราหมณ์
สารีบุตรผู้เกิดตามตถาคต จะยังธรรมจักรอันยอดเยี่ยมที่เรา ให้เป็นไปแล้ว ให้เป็นไปตาม ดูกรพราหมณ์ ธรรมที่ ควรรู้ยิ่ง เราได้รู้ยิ่งแล้ว ธรรมที่ควรให้เจริญ เราได้ให้ เจริญแล้วและธรรมที่ควรละ เราละได้แล้ว เพราะเหตุนั้น เราจึงเป็นพระพุทธะ
ดูกรพราหมณ์ ท่านจงขจัดความสงสัย ในเราเสีย จงน้อมใจเชื่อ การได้เห็น พระสัมมาสัมพุทธะ ทั้งหลายเนืองๆ เป็นกิจที่ได้โดยยาก ความปรากฏเนืองๆ แห่ง พระสัมมาสัมพุทธะพระองค์ใดแล หาได้ยากในโลก เรา เป็นพระสัมพุทธะองค์นั้น ผู้เป็นศัลยแพทย์ชั้นเยี่ยม เราเป็น ผู้ประเสริฐไม่มีผู้เปรียบ ย่ำยีมารแลเสนามารเสียได้ ทำปัจจา มิตรทั้งหมดไว้ในอำนาจไม่มีภัยแต่ที่ไหนๆ บันเทิงอยู่
เสลพราหมณ์กล่าวว่า
ท่านผู้เจริญทั้งหลาย จงฟังคำนี้ที่พระผู้มีพระภาคมหาวีรบุรุษ ผู้มีจักษุ ผู้เป็น ศัลยแพทย์ตรัสอยู่ ดังสีหะบันลืออยู่ในป่า ฉะนั้น ถึงแม้พระองค์จะเป็นผู้เกิด ในสกุล ต่ำทราม (ก็ตามที) ใครๆ ได้เห็นพระองค์ผู้ประเสริฐไม่มีผู้เปรียบ ย่ำยีมารและ เสนามาร เสียได้ จะไม่พึงเลื่อมใส (ไม่มีเลย) ผู้ใดปรารถนา ก็จงตามเรามา หรือผู้ใดไม่ปรารถน าก็จงไปเถิด เราจักบวช ในสำนักของพระสัมมาสัมพุทธะผู้มีปัญญาอันประเสริฐนี้ ถ้า ท่านผู้เจริญชอบใจ คำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธะ อย่างนี้ ไซร้ แม้พวกเรา ก็จักบวชในสำนักของพระสัมมาสัมพุทธะ ผู้มีพระปัญญาอันประเสริฐ
พราหมณ์ทั้ง ๓๐๐ เหล่านี้ ได้ประนมอัญชลีทูลขอว่า ข้าแต่ พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ทั้งหลาย จักประพฤติพรหม จรรย์ในสำนักของพระองค์
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรเสลพราหมณ์
พรหมจรรย์เรากล่าวดีแล้ว ผู้บรรลุจะพึงเห็นเอง ไม่ ประกอบด้วยกาล เป็นที่ ออกบวชอันไม่เปล่าประโยชน์ ของ บุคคลผู้ไม่ประมาทศึกษาอยู่
[๓๗๘] เสลพราหมณ์พร้อมกับบริษัท ได้บรรพชาอุปสมบทในสำนักของ พระผู้มีพระภาค ครั้งนั้นแล พอล่วงราตรีนั้นไป เกณิยชฎิล สั่งให้ตกแต่งขาทนียะ โภชนียาหาร อันประณีตไว้ในอาศรมของตน เสร็จแล้วให้กราบทูลภัต กาลแด่พระผู้มี พระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถึงเวลาแล้ว ภัตเสร็จแล้ว ลำดับนั้น เป็นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตรและจีวร เสด็จเข้าไปยังอาศรมของเกณิยชฎิล
ครั้นแล้ว ประทับนั่งเหนืออาสน ะที่เขาปูลาดถวายพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ลำดับนั้น เกณิยชฎิล อังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ให้อิ่มหนำสำราญ ด้วยขาทนียะโภชนียาหารอันประณีต ด้วยมือของตน เมื่อพระผู้มีพระภาคเสวยเสร็จ ชักพระหัตถ์จากบาตรแล้ว เกณิยชฎิลถืออาสนะต่ำแห่งหนึ่ง นั่งเฝ้าอยู่ ณ ที่ควร ส่วนข้างหนึ่งพระผู้มีพระภาคทรงอนุโมทน าแก่เกณิยชฎิลด้วยพระคาถาเหล่านี้ว่า
ยัญทั้งหลายมีการบูชาไฟเป็นประมุข ฉันท์ทั้งหลายมีสาวิตติ ฉันท์เป็นประมุข พระราชาเป็นประมุขของมนุษย์ทั้งหลาย สมุทรสาครเป็นประมุขของแม่น้ำทั้งหลาย พระจันทร์เป็นประมุข ของดาวนักษัตร์ทั้งหลาย พระอาทิตย์เป็นประมุขของความร้อน ทั้งหลาย พระสงฆ์แล เป็นประมุขของบุคคลทั้งหลายผู้มุ่งบุญ บูชาอยู่
[๓๗๙] ครั้น พระผู้มีพระภาค ทรงอนุโมทนาแก่เกณิยชฎิล ด้วยพระคาถา เหล่านี้แล้ว เสด็จลุกจากอาสนะหลีกไป ลำดับนั้นแล ท่านพระเสละพร้อมด้วยบริษัท หลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว ไม่นานนักก็ทำ ให้แจ้ง ซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์ อันยอดเยี่ยม ที่กุลบุตรทั้งหลายออกบวชเป็นบรรพชิต โดยชอบ ต้องการนั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี
ก็ท่านพระเสละพร้อมด้วยบริษัท ได้เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งๆ ในจำนวน พระอรหันต์ทั้งหลาย ครั้งนั้นแล ท่านพระเสละ พร้อมทั้งบริษัทได้เข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ครั้นแล้วได้ห่มจีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมอัญชลี ไปทางที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้มีพระจักษุ ข้าพระองค์ทั้งหลายถึง สรณะในวันที่ ๘ แต่วันนี้ไป เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์ ทั้งหลาย ฝึกฝนตนอยู่ในศาสนาของพระองค์ ๗ ราตรี พระ องค์เป็นพระพุทธเจ้า เป็นศาสดา เป็นมุนีครอบงำมาร ทรง ตัดอนุสัยแล้ว เป็นผู้ข้ามได้เองแล้ว ทรงช่วยเหลือหมู่สัตว์นี้ให้ ข้ามได้ พระองค์ทรงก้าวล่วง อุปธิ ได้แล้ว ทรงทำลายอาสวะ ทั้งหลายแล้ว ไม่ทรงถือมั่น ทรงละความกลัวและความ ขลาดได้แล้ว ดังสีหะ ภิกษุ ๓๐๐ รูปนี้ยืนประนมอัญชลีอยู่ ข้าแต่พระวีรเจ้า ขอพระองค์ ทรงเหยียดพระบาทยุคลเถิด ท่านผู้ประเสริฐทั้งหลาย จงถวายบังคมพระบาทยุคลของ พระศาสดา |