พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๗๙-๓๘๓
มาฆสูตรที่ ๕
มาฆมาณพทูลถามปัญหา
[๓๖๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ ใกล้กรุงราชคฤห์ครั้งนั้นแล มาฆมาณพ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัย พอให้ระลึกถึงกันไปแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งครั้นแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็ข้าพระองค์เป็นทายก เป็นทานบดี ผู้รู้ความประสงค์ ของผู้ขอควรแก่การขอ ย่อมแสวงหาโภคทรัพย์โดยธรรม
ครั้นแสวงหาได้แล้ว ย่อมนำโภคทรัพย์ที่ตนได้มาโดยธรรม ถวายแก่ปฏิคาหก ๑ องค์บ้าง ๒ องค์บ้าง ๓ องค์บ้าง ๔ องค์บ้าง ๕ องค์บ้าง๖ องค์บ้าง ๗ องค์บ้าง ๘ องค์บ้าง ๙ องค์บ้าง ๑๐ องค์บ้าง ๒๐ องค์บ้าง๓๐ องค์บ้าง ๔๐ องค์บ้าง ๕๐ องค์บ้าง ๑๐๐ องค์บ้าง ยิ่งกว่านั้นบ้าง ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ เมื่อข้าพระองค์ถวายทานอย่างนี้ บูชาอย่างนี้ จะประสบบุญมากแลหรือ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรมาณพ เมื่อท่านให้อยู่อย่างนั้น บูชาอยู่อย่างนั้น ย่อมประสบบุญมากแท้ ดูกรมาณพ ผู้ใดแล เป็นทายก เป็นทานบดีรู้ความประสงค์ของ ผู้ขอ ควรแก่การขอ ย่อมแสวงหาโภคทรัพย์โดยธรรม ครั้นแสวงหาได้แล้ว ย่อมนำ โภคทรัพย์ ที่ตนได้มาโดยธรรม ถวายแก่ปฏิคาหก ๑ องค์บ้าง ฯลฯ ๑๐๐ องค์บ้าง ยิ่งกว่านั้นบ้าง ผู้นั้นย่อมประสบบุญมาก
ครั้งนั้นแล มาฆมาณพได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า
[๓๖๒] ข้าพระองค์ขอถามพระโคดมผู้ทรงรู้ถ้อยคำ ผู้ทรงผ้ากาสายะ ไม่ยึดถือ อะไร เที่ยวไป ผู้ใดเป็นคฤหัสถ์ ควรแก่การขอ เป็น ทานบดี มีความต้องการบุญ มุ่งบุญ ให้ข้าวน้ำ บูชาแก่ ชนเหล่าอื่นในโลกนี้ การบูชาของผู้บูชาอยู่อย่างนี้ จะพึง บริสุทธิ์ ได้อย่างไร
พ. (ดูกรมาฆมาณพ) ผู้ใดเป็นคฤหัสถ์ ควรแก่การขอ เป็น ทานบดี มีความ ต้องการ บุญ มุ่งบุญ ให้ข้าวน้ำบูชาแก่ชน เหล่าอื่นในโลกนี้ ผู้เช่นนั้น พึงให้ ทักขิไณย บุคคล ยินดีได้
ม. ผู้ใดเป็นคฤหัสถ์ ควรแก่การขอ เป็นทานบดี มีความต้อง การบุญ มุ่งบุญ ให้ข้าวน้ำบูชาแก่ชนเหล่าอื่นในโลกนี้ ข้า แต่พระผู้มีพระภาค ขอพระองค์ทรงบอก ทักขิไณยบุคคล แก่ข้าพระองค์เถิด
พ. ชนเหล่าใดแลไม่เกี่ยวข้อง หาเครื่องกังวลมิได้ สำเร็จกิจ แล้ว มีจิต คุ้มครองแล้ว เที่ยวไปในโลก พราหมณ์ผู้มุ่งบุญ พึงหลั่งไทยธรรม บูชาในชนเหล่านั้น ตามกาล ชนเหล่าใดตัด กิเลสเครื่องผูกพันคือสังโยชน์ได้ทั้งหมด ฝึกตนแล้ว เป็น ผู้พ้นเด็ดขาด ไม่มีทุกข์ ไม่มีความหวัง พราหมณ์ผู้มุ่งบุญ พึงหลั่งไทยธรรม บูชาในชน เหล่านั้นตามกาล ชนเหล่าใด พ้นเด็ดขาดจากสังโยชน์ทั้งหมด ฝึกตนแล้ว เป็นผู้หลุดพ้น แล้ว ไม่มีทุกข์ ไม่มีความหวัง พราหมณ์พึงหลั่งไทยธรรม บูชาในชนเหล่านั้นตามกาล ชนเหล่าใดละราคะ โทสะ และโมหะได้แล้ว มีอาสวะสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์
พราหมณ์พึงหลั่งไทยธรรมบูชา ในชนเหล่านั้นตามกาล ชน เหล่าใดไม่มีมายา ไม่มีความถือตัว มีอาสวะสิ้นแล้ว อยู่จบ พรหมจรรย์ พราหมณ์พึงหลั่งไทยธรรม ในชน เหล่านั้น ตามกาล ชนเหล่าใดปราศจากความโลภ ไม่ยึดถืออะไรๆ ว่า เป็นของเรา ไม่มีความหวัง มีอาสวะสิ้นแล้ว อยู่จบพรหม จรรย์ พราหมณ์พึงหลั่งไทยธรรมบูชา ในชนเหล่านั้นตามกาล ชนเหล่าใดแล ไม่น้อมไปในตัณหาทั้งหลาย ข้ามโอฆะได้แล้ว ไม่ยึดถืออะไรๆ ว่าเป็นของเรา เที่ยวไปอยู่
พราหมณ์พึง หลั่งไทยธรรมบูชาในชนเหล่านั้นตามกาล ชนเหล่าใดไม่มี ตัณหา เพื่อเกิดในภพใหม่ ในโลกไหนๆ คือ ในโลกนี้ หรือในโลกอื่น พราหมณ์พึงหลั่งไทยธรรม บูชา ในชนเหล่า นั้นตามกาล ชนเหล่าใดละกามทั้งหลายได้แล้ว ไม่ยึดถือ อะไรเที่ยวไป มีตนสำรวมดีแล้ว เหมือนกระสวยที่ตรงไป ฉะนั้น พราหมณ์พึงหลั่งไทยธรรมบูชา ในชน เหล่านั้น ตามกาล ชนเหล่าใดปราศจากความกำหนัด มีอินทรีย์ตั้งมั่นดีแล้ว พ้นจากการ จับแห่งกิเลส เปล่งปลั่งอยู่ เหมือนพระจันทร์ พ้นแล้วจากราหูจับ สว่างไสวอยู่ ฉะนั้น
พราหมณ์ พึงหลั่งไทยธรรมบูชาในชนเหล่านั้นตามกาล ชนเหล่าใด มีกิเลสสงบ แล้ว ปราศจากความกำหนัด เป็นผู้ไม่โกรธ ไม่มีคติ เพราะละขันธ์อันเป็นไปในโลกนี้ ได้เด็ดขาด พราหมณ์พึงหลั่งไทยธรรมบูชาในชนเหล่านั้นตามกาล ชน เหล่าใดละชาติ และมรณะไม่มีส่วนเหลือ ล่วงพ้นความสงสัย ได้ทั้งปวง พราหมณ์พึงหลั่งไทยธรรมบูชา ในชนเหล่านั้น ตามกาล ชนเหล่าใดมีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีเครื่องกังวล หลุดพ้นแล้วในธรรม ทั้งปวง เที่ยวไปอยู่ในโลก
พราหมณ์ พึงหลั่งไทยธรรมบูชาในชนเหล่านั้นตามกาล ชนเหล่าใด แล ย่อมรู้ในขันธ์และอายตนะเป็นต้นตามความเป็นจริงว่า ชาตินี้มีในที่สุด ภพใหม่ไม่มี ดังนี้ พราหมณ์พึงหลั่งไทย ธรรมบูชาในชนเหล่านั้นตามกาล ชนเหล่าใดเป็นผู้ถึง เวท ยินดีในฌาน มีสติ บรรลุธรรมเครื่องตรัสรู้ดี เป็นที่ พึ่งของเทวดาและมนุษย์เป็นอันมาก พราหมณ์ผู้มุ่งบุญพึง หลั่งไทยธรรมบูชาในชนเหล่านั้นตามกาล
ม. คำถามของข้าพระองค์ไม่เปล่าประโยชน์แน่นอน ข้าแต่ พระผู้มีพระภาค พระองค์ตรัสบอกทักขิไณยบุคคลแก่ ข้าพระองค์แล้ว ก็พระองค์ย่อมทรงทราบ ไญยธรรมนี้ ใน โลกนี้โดยถ่องแท้ จริงอย่างนั้น ธรรมนี้พระองค์ทรงทราบ แจ่มแจ้งแล้ว ผู้ใดเป็นคฤหัสถ์ เป็นผู้ควรแก่การขอ เป็น ทานบดี มีความต้องการบุญ มุ่งบุญ ให้ข้าวน้ำ บูชาแก่ชน เหล่าอื่นในโลกนี้ ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ขอพระองค์ตรัส บอกถึงความพร้อม แห่ง ยัญแก่ข้าพระองค์
พ. ดูกรมาฆะ เมื่อท่านจะบูชาก็จงบูชาเถิด และจงทำจิตให้ผ่องใส ในกาล ทั้งปวง เพราะยัญย่อมเป็นอารมณ์ของบุคคลผู้บูชายัญ บุคคลตั้งมั่นในยัญนี้แล้ว ย่อมละโทสะเสียได้ อนึ่ง บุคคล ผู้นั้น ปราศจากความกำหนัดแล้ว พึงกำจัดโทสะ เจริญ เมตตาจิตอันประมาณมิได้ ไม่ประมาทแล้วเนืองๆ ทั้งกลาง คืนกลางวัน ย่อมแผ่ อัปปมัญญาภาวนา ไปทั่วทิศ
ม. ใครย่อมบริสุทธิ์ ใครย่อมหลุดพ้น และใครยังติดอยู่ บุคคล จะไปพรหมโลก ได้ด้วยอะไร ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นมุนี ข้าพระองค์ทูลถามแล้ว ขอพระองค์โปรดตรัส บอก แก่ ข้าพระองค์ผู้ไม่รู้ ก็พระผู้มีพระภาคผู้เป็นพรหม ข้าพระองค์ ขออ้างเป็นพยานในวันนี้ เพราะพระองค์เป็นผู้เสมอด้วย พรหมของข้าพระองค์จริงๆ (ข้าแต่พระองค์ ผู้มีความรุ่งเรือง) บุคคลจะเข้าถึงพรหมโลกได้อย่างไร
พ. (ดูกรมาฆะ) ผู้ใดย่อมบูชายัญครบทั้ง ๓ อย่าง ผู้เช่นนั้น พึงให้ ทักขิไณยบุคคล ทั้งหลาย ยินดีได้ เราย่อมกล่าวผู้นั้นว่า เป็นผู้ควรแก่การขอ ครั้นบูชา โดยชอบอย่างนั้นแล้ว ย่อมเข้า ถึงพรหมโลก
[๓๖๓] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว มาฆมาณพได้กราบทูล พระผู้มี พระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ฯลฯ ขอพระองค์ ทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสก ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๘๓-๓๙๒
สภิยสูตรที่ ๖
สภิยปริพาชกทูลถามปัญหา
[๓๖๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน กลันทกนิวาปสถาน ใกล้ พระนคร ราชคฤห์ ก็สมัยนั้นแล เทวดาผู้เป็นสาโลหิตเก่าของสภิยปริพาชก ได้แสดง ปัญหาขึ้นว่า
ดูกรสภิยะ สมณะหรือพราหมณ์ผู้ใด ท่านถามปัญหาเหล่านี้แล้ว ย่อม พยากรณ์ได้ ท่านพึงประพฤติพรหมจรรย์ในสำนักของสมณะ หรือพราหมณ์ผู้นั้นเถิด ลำดับนั้นแล สภิยปริพาชกเรียนปัญหา ในสำนักของเทวดานั้นแล เข้าไปหา สมณพราหมณ์ ทั้งหลาย ผู้เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์ มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ เป็นเจ้าลัทธิ ชนส่วนมากยกย่องว่าดี คือปูรณกัสสป มักขลิโคสาล อชิตเกสกัมพล ปกุทธกัจจายนะ สญชัยเวฬัฏฐบุตร นิครนถ์นาฏบุตร แล้วจึงถามปัญหาเหล่านั้น
สมณพราหมณ์เหล่านั้น อันสภิยปริพาชก ถามปัญหาแล้ว แก้ไม่ได้ เมื่อแก้ ไม่ได้ ย่อมแสดงความโกรธความขัดเคือง และความไม่พอใจให้ปรากฏ ทั้งยังกลับ ถาม สภิยปริพาชกอีก
ครั้งนั้นแล สภิยปริพาชกมีความดำริว่า ท่านสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ผู้เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์ มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ เป็นเจ้าลัทธิ ชนส่วนมากยกย่องว่าดี คือ ปูรณกัสสป ฯลฯ
นิครนถ์นาฏบุตร ถูกเราถามปัญหาแล้ว แก้ไม่ได้ เมื่อแก้ไม่ได้ ย่อมแสดง ความโกรธ ความขัดเคือง และความไม่พอใจให้ปรากฏ ทั้งยังกลับถามเราในปัญหา เหล่านี้อีก ถ้ากระไร เราพึงละเพศกลับมาบริโภคกามอีกเถิด
ครั้งนั้นแล สภิยปริพาชกมีความดำริว่า พระสมณโคดมนี้แลเป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์ มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ เป็นเจ้าลัทธิ ชนส่วนมากยกย่องว่าดี ถ้ากระไร เราพึงเข้าไปเฝ้าพระสมณโคดมแล้วทูลถามปัญหาเหล่านี้เถิด
ลำดับนั้นแล สภิยปริพาชกมีความดำริว่า ท่านสมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ เก่าแก่ เป็นผู้ใหญ่ ล่วงกาลผ่านวัยมาโดยลำดับ เป็นผู้เฒ่า รู้ราตรีนาน บวชมานาน เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์ มีชื่อเสียง มีเกียรติยศเป็นเจ้าลัทธิ ชนส่วนมาก ยกย่องว่าดี คือ ปูรณกัสสป ฯลฯ
นิครนถ์นาฏบุตรท่านสมณพราหมณ์ แม้เหล่านั้นถูกเราถามปัญหาแล้วแก้ไม่ได้ เมื่อแก้ไม่ได้ ย่อมแสดงความโกรธ ความขัดเคือง และความไม่พอใจให้ปรากฏ ทั้งยังกลับถามเราในปัญหาเหล่านี้อีก ส่วนพระสมณโคดม ถูกเราทูลถามแล้ว จักทรงพยากรณ์ปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร เพราะพระสมณโคดม ยังเป็นหนุ่มโดยพระชาติ ทั้งยังเป็นผู้ใหม่โดยบรรพชา
ลำดับนั้น สภิยปริพาชกมีความดำริว่า พระสมณโคดมเราไม่ควรดูหมิ่น ดูแคลน ว่า ยังเป็นหนุ่ม ถึงหากว่าพระสมณโคดมจะยังเป็นหนุ่ม แต่ท่านก็เป็นผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก ถ้ากระไรเราพึงเข้าไปเฝ้าพระสมณโคดมแล้ว ทูลถามปัญหาเหล่านี้เถิด
ลำดับนั้น สภิยปริพาชกได้หลีกจาริก ไปทางพระนครราชคฤห์ เมื่อเที่ยวจาริก ไป โดยลำดับ ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ยังพระวิหารเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน ใกล้พระนครราชคฤห์ ครั้นแล้วปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัย พอให้ ระลึกถึงกันไปแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค ด้วยคาถาว่า
[๓๖๕] ข้าพระองค์ผู้มีความสงสัย มีความเคลือบแคลง มาหวังจะ ทูลถาม ปัญหา พระองค์อันข้าพระองค์ทูลถามปัญหาแล้ว ขอ จงตรัสพยากรณ์แก่ข้าพระองค์ ตามลำดับปัญหา ให้สมควรแก่ ธรรมเถิด
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรสภิยะ ท่านมาแต่ไกล หวังจะถามปัญหา เราอันท่านถาม ปัญหาแล้ว จะกระทำที่สุดแห่งปัญหาเหล่านั้น จะพยากรณ์ แก่ท่านตามลำดับปัญหา ให้สมควรแก่ ธรรม ดูกรสภิยะ ท่านปรารถนาปัญหาข้อใดข้อหนึ่งในใจ ก็เชิญถามเราเถิด เราจะกระทำ ที่สุดเฉพาะปัญหานั้นๆ แก่ท่าน
[๓๖๖] ลำดับนั้น สภิยปริพาชกดำริว่า น่าอัศจรรย์จริงหนอ ไม่เคยมีมาเลยหนอ เราไม่ได้แม้เพียงให้โอกาส ในสมณพราหมณ์เหล่าอื่นเลย พระสมณโคดมได้ทรง ให้โอกาสนี้แก่เราแล้ว สภิยปริพาชกมีใจชื่นชม เบิกบาน เฟื่องฟูเกิดปีติโสมนัส ได้กราบทูลถามปัญหากะพระผู้มีพระภาคว่า
บัณฑิตกล่าวบุคคลผู้บรรลุอะไรว่าเป็นภิกษุ กล่าวบุคคลว่าผู้ สงบเสงี่ยมด้วย อาการอย่างไร กล่าวบุคคลว่าผู้ฝึกตนแล้ว อย่างไรและอย่างไรบัณฑิต จึงกล่าวบุคคล ว่า ผู้รู้ ข้าแต่พระผู้ มีพระภาค พระองค์อันข้าพระองค์ทูลถามแล้ว ขอจงตรัส พยากรณ์ แก่ข้าพระองค์เถิด
พระผู้มีพระภาคตรัสพยากรณ์ว่า ดูกรสภิยะ
ผู้ใดถึงความดับกิเลสด้วยมรรคที่ตนอบรมแล้ว ข้ามความ สงสัยเสียได้ ละความ ไม่เป็นและความเป็นได้เด็ดขาด อยู่จบ พรหมจรรย์ มีภพใหม่สิ้นแล้ว ผู้นั้นบัณฑิต กล่าวว่า เป็นภิกษุ ผู้ใดวางเฉยในอารมณ์มีรูปเป็นต้นทั้งหมด มีสติ ไม่เบียด เบียน สัตว์ในโลกทั้งปวง ข้ามโอฆะได้แล้ว เป็นผู้สงบ ไม่ ขุ่นมัว ไม่มีกิเลสเครื่องฟูขึ้น ผู้นั้น บัณฑิตกล่าวว่าผู้สงบ เสงี่ยม ผู้ใดอบรมอินทรีย์แล้ว แทงตลอดโลกนี้และโลก อื่น ทั้งภายในทั้งภายนอกในโลกทั้งปวง รอเวลาสิ้นชีวิตอยู่ อบรมตนแล้ว ผู้นั้นบัณฑิต กล่าวว่า ผู้ฝึกตนแล้ว ผู้พิจารณา สงสารทั้งสองอย่าง คือ จุติและอุปบัติ ตลอดกัปทั้งสิ้น แล้ว ปราศจากธุลี ไม่มีกิเลสเครื่องยียวน ผู้หมดจด ถึง ความสิ้นไปแห่งชาติ ผู้นั้น บัณฑิตกล่าวว่าผู้รู้
[๓๖๗] ลำดับนั้น สภิยปริพาชก ชื่นชมอนุโมทนา ภาษิตของพระผู้มีพระภาค แล้ว มีใจชื่นชม เบิกบาน เฟื่องฟู เกิดปีติโสมนัส ได้ทูลถามปัญหาข้อต่อไปกะ พระผู้มีพระภาคว่า
บัณฑิตกล่าวบุคคลผู้บรรลุอะไรว่า เป็นพราหมณ์ กล่าวบุคคลว่า เป็นสมณะ ด้วยอาการอย่างไร กล่าวบุคคลผู้ล้างบาปอย่างไร และอย่างไรบัณฑิตจึงกล่าวบุคคลว่า เป็นนาค (ผู้ประเสริฐ) ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พระองค์อันข้าพระองค์ทูลถามแล้ว ขอจงตรัสพยากรณ์แก่ข้าพระองค์เถิด
พระผู้มีพระภาคตรัสพยากรณ์ว่า
ผู้ใดลอยบาปทั้งหมดแล้ว เป็นผู้ปราศจากมลทิน มีจิตตั้งมั่นดี ดำรงตนมั่น ก้าวล่วงสงสารได้แล้ว เป็นผู้สำเร็จกิจ (เป็น ผู้บริบูรณ์ด้วยคุณมีศีลเป็นต้น) ผู้นั้นอัน ตัณหาและทิฐิไม่ อาศัยแล้ว เป็นผู้คงที่ บัณฑิตกล่าวว่าเป็นพราหมณ์ ผู้ใดมี กิเลส สงบแล้ว ละบุญและบาปได้แล้ว ปราศจากกิเลสธุลี รู้โลกนี้และโลกหน้าแล้ว ล่วงชาติ และมรณะได้ ผู้คงที่ เห็น ปานนั้น บัณฑิตกล่าวว่าเป็นสมณะ ผู้ใดล้างบาป ได้หมดใน โลกทั้งปวง คือ อายตนะภายในและภายนอกแล้ว ย่อม ไม่มาสู่กัปในเทวดา และมนุษย์ ผู้สมควร ผู้นั้นบัณฑิตกล่าว ว่าผู้ล้างบาป ผู้ใดไม่กระทำบาปอะไรๆ ในโลก สลัดออก ซึ่งธรรมเป็นเครื่องประกอบและเครื่องผูกได้หมด ไม่ข้องอยู่ ในธรรม เป็นเครื่อง ข้อง มีขันธ์เป็นต้นทั้งปวง หลุดพ้นเด็ดขาด ผู้คงที่ เห็นปานนั้น บัณฑิต กล่าวว่าเป็นนาค
[๓๖๘] ลำดับนั้น สภิยปริพาชก ฯลฯ ได้ทูลถามปัญหาข้อต่อไป กะพระผู้มี พระภาคว่า
ท่านผู้รู้ทั้งหลายกล่าวใครว่าผู้ชนะเขต กล่าวบุคคลว่าเป็นผู้ ฉลาดด้วยอาการ อย่างไร อย่างไรจึงกล่าวบุคคลว่าเป็นบัณฑิต และกล่าวบุคคลชื่อว่าเป็นมุนีด้วยอาการ อย่างไร ข้าแต่พระผู้มี พระภาค พระองค์อันข้าพระองค์ทูลถามแล้วขอจงตรัส พยากรณ์ แก่ข้าพระองค์เถิด
พระผู้มีพระภาคตรัสพยากรณ์ว่า ดูกรสภิยะ
ผู้ใดพิจารณา (อายตนะหรือกรรม) เขตทั้งสิ้น คือ เขตที่ เป็นของทิพย์ เขตของ มนุษย์และเขตของพรหมแล้ว เป็นผู้ หลุดพ้นจากเครื่องผูกอันเป็นรากเหง้า แห่งเขต ทั้งหมด ผู้คงที่ เห็นปานนั้น ผู้นั้นท่านผู้รู้ทั้งหลายกล่าวว่าเป็นผู้ชนะเขต ผู้ ใดพิจารณา กระเปาะฟอง (กรรม) ทั้งสิ้น คือ กระเปาะฟอง ที่เป็นของทิพย์ กระเปาะฟองของมนุษย์ และกระเปาะฟอง ของพรหมแล้ว เป็นผู้หลุดพ้นจากเครื่องผูกอันเป็นรากเหง้า แห่ง กระเปาะฟองทั้งหมด ผู้คงที่ เห็นปานนั้น
ผู้นั้นท่านผู้รู้ทั้งหลายกล่าวว่า เป็นผู้ฉลาด ผู้ใดพิจารณาอายตนะทั้งสอง คือ อายตนะภายในและภายนอกแล้ว เป็นผู้มีปัญญาอัน บริสุทธิ์ ก้าวล่วงธรรมดำ และ ธรรมขาวได้แล้ว ผู้คงที่ เห็น ปานนั้น ผู้นั้นท่านผู้รู้ทั้งหลายกล่าวว่าเป็นบัณฑิต ผู้ใดรู้ ธรรมของอสัตบุรุษและของสัตบุรุษในโลกทั้งปวง คือ ใน ภายในและภายนอก แล้ว ดำรงอยู่ ผู้นั้นอันเทวดาและมนุษย์ บูชา ล่วงธรรมเป็นเครื่องข้องและข่าย คือ ตัณหา และทิฐิ แล้ว ท่านผู้รู้ทั้งหลายกล่าวว่าเป็นมุนี
[๓๖๙] ลำดับนั้น สภิยปริพาชก ฯลฯ ได้ทูลถามปัญหา ข้อต่อไปกะพระผู้มี พระภาคว่า บัณฑิตกล่าวบุคคลผู้บรรลุอะไร ว่าผู้ถึงเวท กล่าวบุคคลว่าผู้รู้ ตามด้วย อาการ อย่างไร กล่าวบุคคลผู้มีความเพียร ด้วยอาการ อย่างไร และบุคคลบัณฑิต กล่าวว่า เป็นผู้ชื่อว่าอาชาไนยด้วย อาการอย่างไร ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พระองค์ อันข้าพระองค์ ทูลถามแล้ว ขอจงตรัสพยากรณ์แก่ข้าพระองค์เถิด
พระผู้มีพระภาคตรัสพยากรณ์ว่า ดูกรสภิยะ ผู้ใดพิจารณาเวททั้งสิ้น อันเป็นของ มีอยู่แห่งสมณะและ พราหมณ์ทั้งหลาย ปราศจากความกำหนัดในเวทนาทั้งปวง ผู้นั้น ล่วงเวททั้งหมดแล้ว บัณฑิตกล่าวว่าผู้ถึงเวท ผู้ใด ใคร่ครวญธรรม อันเป็นเครื่องทำ ให้เนิ่นช้า และนามรูปอันเป็น รากเหง้าแห่งโรค ทั้งภายในทั้งภายนอกแล้ว เป็นผู้หลุดพ้น จากเครื่องผูก อันเป็นรากเหง้าแห่งโรคทั้งปวง ผู้คงที่ เห็นปาน นั้น
ผู้นั้นบัณฑิตกล่าวว่าผู้รู้ตาม ผู้ใดงดเว้นจากบาปทั้งหมด ล่วงความทุกข์ในนรก ได้แล้ว ดำรงอยู่ ผู้นั้นบัณฑิตกล่าวว่า ผู้มีความเพียร ผู้นั้นมีความแกล้วกล้า มีความเพียร ผู้คงที่ เห็นปานนั้น บัณฑิตกล่าวว่าเป็นนักปราชญ์ ผู้ใดตัดเครื่องผูก อันเป็นรากเหง้า แห่งธรรมเป็นเครื่องข้องทั้งภายในทั้งภายนอก ได้แล้ว หลุดพ้นแล้วจากเครื่องผูก อันเป็นรากเหง้าแห่งธรรม เป็นเครื่องข้องทั้งปวง ผู้คงที่ เห็นปานนั้น ผู้นั้นบัณฑิตกล่าว ว่าเป็นผู้ชื่อว่าอาชาไนย
[๓๗๐] ลำดับนั้น สภิยปริพาชก ฯลฯ ได้ทูลถามปัญหาข้อต่อไป กะพระผู้มีพระภาคว่า
บัณฑิตกล่าวบุคคลผู้บรรลุอะไร ว่าผู้ทรงพระสูตร กล่าว บุคคลว่าเป็นอริยะ ด้วยอาการอย่างไร กล่าวบุคคลว่าผู้มีจรณะ ด้วยอาการอย่างไร และบุคคลบัณฑิต กล่าวว่าเป็นผู้ชื่อว่า ปริพาชกด้วยอาการอย่างไร ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พระองค์ อันข้าพระองค์ทูลถามแล้ว ขอจงตรัสพยากรณ์แก่ข้าพระองค์ เถิด
พระผู้มีพระภาคตรัสพยากรณ์ว่า ดูกรสภิยะ บัณฑิตกล่าวบุคคลผู้ฟังแล้ว รู้ยิ่ง ธรรมทั้งมวล ครอบงำธรรม ที่มีโทษและไม่มีโทษอะไรๆ อันมีอยู่ในโลกเสียได้ ไม่มี ความสงสัย หลุดพ้นแล้ว ไม่มีทุกข์ในธรรมมีขันธ์และ อายตนะเป็นต้นทั้งปวง ว่าผู้ทรง พระสูตร บุคคลนั้นรู้แล้ว ตัดอาลัย (และ) อาสวะได้แล้ว ย่อมไม่เข้าถึงการนอนใน ครรภ์ บรรเทาสัญญา ๓ อย่าง และเปือกตม คือ กามคุณแล้ว ย่อมไม่มาสู่กัป บัณฑิตกล่าวว่า เป็นอริยะ
ผู้ใดในศาสนานี้ เป็นผู้บรรลุธรรมที่ควรบรรลุเพราะจรณะ เป็นผู้ฉลาด รู้ ธรรม ได้ในกาลทุกเมื่อ ไม่ข้องอยู่ในธรรมมีขันธ์เป็นต้น ทั้งปวง มีจิตหลุดพ้นแล้ว ไม่มีปฏิฆะ ผู้นั้นบัณฑิตกล่าวว่า ผู้มีจรณะ
ผู้ใดขับไล่กรรมอันมีทุกข์เป็นผล ซึ่งมีอยู่ ทั้งที่ เป็นอดีต อนาคต และเป็น ปัจจุบันได้แล้ว มีปรกติกำหนด ด้วยปัญญาเที่ยวไป กระทำมายากับทั้งมานะ ความโลภ ความโกรธ และนามรูปให้มีที่สุดได้แล้ว ผู้นั้นบัณฑิตกล่าว ว่าปริพาชก ผู้บรรลุธรรม ที่ควรบรรลุ
[๓๗๑] ลำดับนั้น สภิยปริพาชก ชื่นชมอนุโมทนา ภาษิตของพระผู้มีพระภาค แล้ว มีใจชื่นชม เฟื่องฟู เบิกบาน เกิดปีติโสมนัส ลุกจากอาสนะ กระทำผ้าอุตราสงค์ เฉวียง บ่าข้างหนึ่ง แล้วประนมอัญชลีไปทาง ที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ได้ชมเชย พระผู้มีพระภาคด้วยคาถาอันสมควรในที่เฉพาะพระพักตร์ว่า
ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ผู้มีพระปัญญาเสมอด้วยแผ่นดิน พระองค์ทรงกำจัดทิฐิ ๓ และทิฐิ ๖๐ ที่อาศัยคัมภีร์อันเป็น วาทะเป็นประธานของสมณะผู้มีลัทธิอื่น ที่อาศัยอักขระ คือ ความหมายรู้กัน (ว่าหญิงว่าชาย) และสัญญาอันวิปริต (ซึ่งเป็นที่ยึดถือ) ทรงก้าวล่วง ความมืด คือ โอฆะได้แล้ว พระองค์เป็นผู้ถึงที่สุด ถึงฝั่งแห่งทุกข์ เป็นพระอรหันต์ (ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ) ทรงสำคัญพระองค์ว่าผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว มีความรุ่งเรือง มีความรู้ มีพระปัญญามาก ทรงช่วยข้าพระองค์ ผู้กระทำที่สุดทุกข์ให้ข้ามได้แล้ว เพราะพระองค์ ได้ทรง ทราบข้อที่ข้าพระองค์สงสัยแล้ว ทรงช่วยให้ข้าพระองค์ ข้ามพ้นความสงสัย
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นมุนี ผู้ทรงบรรลุ ธรรมที่ควรบรรลุในทางแห่งมุนี ผู้ไม่มีกิเลส ดุจหลักตอ ผู้เป็นเผ่าพันธุ์พระอาทิตย์ ข้าพระองค์ขอนอบน้อมแด่พระองค์ พระองค์เป็นผู้ สงบดีแล้ว พระองค์ผู้มีพระจักษุ ทรงพยากรณ์ ความสงสัยของข้าพระองค์ที่ได้มีแล้ว ในกาลก่อนแก่ข้าพระองค์ พระองค์เป็นมุนีผู้ตรัสรู้เองแน่แท้ พระองค์ไม่มีนิวรณ์ อนึ่ง อุปายาสทั้งหมด พระองค์ทรงกำจัดเสียแล้ว ถอนขึ้นได้แล้ว พระองค์เป็นผู้เยือกเย็น เป็นผู้ถึงการฝึกตน มีพระปัญญา เครื่องทรงจำ มีความบากบั่น เป็นนิตย์ในสัจจะ เทวดาทั้งปวง ทั้งสองพวก (คือ อากาสัฏฐเทวดา และภุมมัฏฐเทวดา) ที่อาศัยอยู่ใน นารทบรรพต ย่อมชื่นชมต่อพระองค์ผู้ประเสริฐยิ่ง ผู้มีความเพียรใหญ่ ผู้แสดงธรรมเทศนา
ข้าแต่พระองค์ ผู้เป็นบุรุษอาชาไนย ข้าพระองค์ขอนอบน้อมแด่พระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นบุรุษอันสูงสุด ข้าพระองค์ขอนอบน้อมแด่ พระองค์ บุคคลผู้เปรียบ เสมอ พระองค์ ไม่มีในโลก พร้อมทั้งเทวโลก พระองค์เป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระศาสดา เป็นมุนีผู้ครอบงำมาร พระองค์ทรงตัดอนุสัย ข้ามโอฆะได้ เองแล้ว ทรงช่วยให้หมู่สัตว์นี้ ข้ามได้ด้วย พระองค์ทรง ก้าวล่วงอุปธิ ทำลายอาสวะได้แล้ว
พระองค์เป็นดังสีหะ ไม่มีอุปาทาน ทรงละความกลัวและความขลาดได้แล้ว ไม่ทรงติดอยู่ในบุญและบาปทั้งสองอย่าง เปรียบเหมือน ดอกบัวขาบที่งามไม่ติด อยู่ในน้ำ ฉะนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้มี ความเพียร ขอเชิญพระองค์ โปรดเหยียบพระบาท ออกมาเถิด สภิยะจะขอถวายบังคมพระบาทของพระศาสดา
[๓๗๒] ลำดับนั้นแล สภิยปริพาชก หมอบลงแทบพระบาท ของพระผู้มีพระภาค ด้วยเศียรเกล้าแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของ พระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระองค์ทรง ประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่ ผู้หลงทาง หรือตามประทีปในที่มืด ด้วยหวังว่าผู้มีจักษุจักเห็นรูปได้ฉะนั้น
ข้าพระองค์นี้ขอถึงซึ่งพระผู้มีพระภาค กับทั้งพระธรรมและพระภิกษุสงฆ์ ว่าเป็นสรณะ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอให้ข้าพระองค์พึงได้บรรพชาอุปสมบท ในสำนัก ของพระผู้มีพระภาคเถิด
พ. ดูกรสภิยะ ผู้ใดเคยเป็นอัญญเดียรถีย์มาก่อน หวังบรรพชาหวังอุปสมบท ในธรรมวินัยนี้ ผู้นั้นจะต้องอยู่ปริวาส ๔ เดือน เมื่อล่วง ๔ เดือนไปแล้วภิกษุทั้งหลาย พอใจ จึงยังผู้นั้นผู้อยู่ปริวาสแล้ว ให้บรรพชาอุปสมบทเพื่อความเป็นภิกษุ ก็แต่ว่าเรารู้ ความต่างแห่งบุคคลในข้อนี้
ส. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าผู้ที่เคยเป็นอัญญเดียรถีย์มาก่อน หวังบรรพชา หวังอุปสมบทในธรรมวินัยนี้ จะต้องอยู่ปริวาส ๔ เดือน เมื่อล่วง ๔ เดือนภิกษุทั้งหลาย พอใจ จึงยังผู้นั้นผู้อยู่ปริวาสแล้ว ให้บรรพชาอุปสมบทเ พื่อความเป็นภิกษุไซร้ ข้าพระองค์ จักอยู่ปริวาส ๔ ปี เมื่อล่วง ๔ ปีแล้ว ภิกษุทั้งหลายพอใจ ขอจง ยังข้าพระองค์ ผู้อยู่ปริวาสแล้ว ให้บรรพชาอุปสมบท เพื่อความเป็นภิกษุเถิด
สภิยปริพาชก ได้บรรพชา อุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาคแล้ว ครั้นท่าน สภิยะอุปสมบทแล้วไม่นาน หลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว ไม่ประมาทมีความเพียร มีใจ เด็ดเดี่ยว ไม่นานนัก ก็กระทำให้แจ้งซึ่งที่สุด แห่งพรหมจรรย์ อันยอดเยี่ยม ที่กุลบุตร ทั้งหลาย ผู้ออกบวชเป็นบรรพชิต โดยชอบต้องการนั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้วพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำสำเร็จแล้ว กิจอื่น เพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มีอีกก็ท่านสภิยะ ได้เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง ในจำนวน พระอรหันต์ ทั้งหลายฉะนี้แล
|