เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
ค้นหาคำที่ต้องการ            

สุภาษิตสูตรที่ ๓วาจาสุภาษิต ๔ ประการ สุนทริกสูตรที่ ๔ ว่าด้วยสุนทริกภารทวาชพราหมณ์ 2459
 

พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕

สุภาษิตสูตรที่ ๓ วาจาสุภาษิต ๔ ประการ

สุนทริกสูตรที่ ๔
ว่าด้วยสุนทริกภารทวาชพราหมณ์

เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 
รวมพระสูตรบุคคลสำคัญ
พระโมคคัลลานะ
พระสารีบุตร
พระเทวทัต
นิครนถ์ปริพาชก
พระมหากัปปินะ
พระอนุรุทธะ
พระอุบาลี
(ดูทั้งหมด)
 
สารบาญพระไตรปิฎก
เล่มที่ ๘-๓๓ (๒๕ เล่ม) ทุกพระสูตร
1. ฉบับหลวง
2. ฉบับมหาจุฬาฯ
3. อรรถกถาไทย
4. ฉบับภาษาบาลี
5. อรรถกถา-บาลี
6. Pali Roman (Roman Script)
7. Atthakatha PaliRoman
 

 


 


พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๗๑-๓๗๒

สุภาษิตสูตรที่ ๓
วาจาสุภาษิต ๔ ประการ

            [๓๕๖] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถ บิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุ ทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสว่า

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย วาจาอันประกอบด้วยองค์ ๔ เป็นวาจาสุภาษิต ไม่เป็นทุพภาษิต เป็นวาจาไม่มีโทษ และวิญญูชนไม่พึงติเตียนองค์ ๔ เป็นไฉน คือ ภิกษุในศาสนานี้ ย่อมกล่าวแต่คำที่เป็นสุภาษิต ไม่กล่าวคำที่เป็นทุพภาษิต ๑ ย่อมกล่าวคำที่เป็นธรรม ไม่กล่าวคำที่ไม่เป็นธรรม ๑ ย่อมกล่าวแต่คำอันเป็นที่รัก ไม่กล่าวคำอันไม่เป็นที่รัก ๑ ย่อมกล่าวแต่คำสัตย์ไม่กล่าวคำเหลาะแหละ ๑

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย วาจาอันประกอบด้วยองค์ ๔ นี้แลเป็นวาจาสุภาษิต ไม่เป็นทุพภาษิต เป็นวาจาไม่มีโทษ และวิญญูชนไม่พึงติเตียน

            พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า สัตบุรุษทั้งหลาย ได้กล่าวคำอันเป็นสุภาษิตว่าเป็นคำสูงสุด บุคคลพึงกล่าวแต่คำที่เป็นธรรม ไม่พึงกล่าวคำที่ไม่เป็นธรรม ข้อนั้นเป็นที่ ๒ บุคคลพึงกล่าวคำอันเป็นที่รัก ไม่พึงกล่าว คำอันไม่เป็นที่รัก ข้อนั้นเป็น ที่ ๓ บุคคลพึงกล่าวคำสัตย์ ไม่พึงกล่าวคำเหลาะแหละ ข้อนั้นเป็นที่ ๔

            [๓๕๗] ลำดับนั้นแล ท่านพระวังคีสะลุกจากอาสนะ ห่มจีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประณมอัญชลี ไปทางที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ แล้วได้กราบทูลว่าข้าแต่พระผู้มีพระภาค พระธรรมเทศนา ย่อมแจ่มแจ้งแก่ข้าพระองค์ ข้าแต่พระสุคต พระธรรมเทศนาย่อมแจ่มแจ้งแก่ข้าพระองค์ พระผู้มีพระภาคตรัสว่าดูกรวังคีสะ ธรรมเทศนาจงแจ่มแจ้งกะเธอเถิด

            ลำดับนั้นแล ท่านพระวังคีสะ ได้ชมเชยด้วยคาถาทั้งหลาย อันสมควร ในที่เฉพาะพระพักตร์ว่า บุคคลพึงกล่าววาจาอันไม่เป็นเครื่องทำตนให้เดือดร้อน และ ไม่พึงเบียดเบียนผู้อื่น วาจานั้นเป็นสุภาษิตแท้ บุคคลพึง กล่าวแต่วาจาอันเป็นที่รัก อันชนชื่นชม ไม่ถือเอาคำอัน ลามก กล่าววาจาอันเป็นที่รักของผู้อื่น คำสัตย์แลเป็นวาจา ไม่ตาย ธรรมนี้เป็นของเก่า สัตบุรุษทั้งหลายตั้งมั่นแล้วใน คำสัตย์ที่เป็นอรรถและเป็นธรรม วาจาที่พระพุทธเจ้าตรัส เป็น วาจาเกษม เพื่อบรรลุนิพพาน เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งที่สุดทุกข์ วาจานั้นแลเป็นวาจาสูงสุดกว่าวาจาทั้งหลาย


--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๗๓-๓๗๘

สุนทริกสูตรที่ ๔
ว่าด้วยสุนทริกภารทวาชพราหมณ์

            [๓๕๘] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำสุนทริกา แคว้นโกศลชนบท ก็สมัยนั้นแล สุนทริกภารทวาชพราหมณ์ ครั้นบูชาไฟ บำเรอการบูชาไฟอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำสุนทริกา ครั้งนั้นแล สุนทริกภารทวาชพราหมณ์ค รั้นบูชาไฟบำเรอไฟแล้วลุกขึ้นจากอาสนะ เหลียวดูทิศทั้งสี่โดยรอบด้วยคิดว่า ใครหนอแล ควรบริโภคข้าวปายาสที่เหลือนี้ สุนทริกภารทวาชพราหมณ์ ได้เห็นพระผู้มีพระภาค ประทับนั่งทรงคลุมพระกาย ตลอดพระเศียร อยู่ที่โคนไม้แห่งหนึ่ง จึงถือเอาข้าวปายาสที่เหลือด้วยมือซ้าย ถือเต้าน้ำด้วยมือข้างขวา เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ

            ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาค ได้ทรงเปิดพระเศียรออก เพราะเสียงฝีเท้าของ สุนทริกภารทวาชพราหมณ์ ครั้งนั้น สุนทริกภารทวาชพราหมณ์คิดว่า ท่านผู้นี้เป็นคน โล้นๆ ดังนี้แล้ว ปรารถนาจะกลับจากที่นั้น ลำดับนั้น สุนทริกภารทวาชพราหมณ์ดำริว่า แม้พราหมณ์บางพวกในโลกนี้ก็เป็นคนโล้น ผิฉะนั้นเราพึงเข้าไปถามถึงชาติ ทีนั้นแล สุนทริกภารทวาชพราหมณ์ ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว ได้ทูลถาม พระผู้มีพระภาคว่า ท่านมีชาติอย่างไร

            ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคได้ตรัสตอบสุนทริกภารทวาชพราหมณ์ ด้วย พระคาถา ว่า

            [๓๕๙] เราไม่ใช่พราหมณ์ ไม่ใช่ราชโอรส ไม่ใช่แพศย์หรือใครๆ เรากำหนดรู้ โคตร ของปุถุชนแล้ว ไม่มีความกังวล เที่ยว ไปด้วยปัญญาในโลก เรานุ่งห่ม (ไตรจีวร) สังฆาฏิ ไม่มี เรือน ปลงผมแล้ว มีตนดับความเร่าร้อนแล้ว ไม่คลุกคลี กับด้วยมนุษย์ (มาณพ) ทั้งหลายในโลกนี้ เที่ยวไปอยู่ ท่าน ถามถึงปัญหาเกี่ยวด้วยโคตร อันไม่สมควร กะเรา ดูกรพราหมณ์ ผู้เจริญ พวกพราหมณ์ย่อมถามกับพวกพราหมณ์ด้วยกันว่า ท่านเป็นพราหมณ์ หรือหนอ ถ้าว่าท่านกล่าวว่ าเราเป็นพราหมณ์ แต่ท่านกล่าวกะเรา ผู้มิใช่พราหมณ์ เพราะเหตุนั้น เราขอ ถามสาวิตรีซึ่งมีบท ๓ มีอักขระ ๒๔ กะท่าน

            พราหมณ์ทูลถามว่า พวกฤาษี มนุษย์ กษัตริย์ และพราหมณ์เป็นอันมากในโลก นี้ อาศัยอะไร ได้กำหนดยัญแก่เทวดาทั้งหลาย

            พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า เราขอบอกว่าผู้ถึงที่สุดทุกข์ ถึงที่สุดเวท จะพึงได้ เครื่องบูชา ในเมื่ออาหารอย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้ใดเข้าไปตั้งไว้ในกาลแห่งยัญ ยัญกรรม ของผู้นั้นพึงสำเร็จ

            พราหมณ์ทูลว่า การบูชาของข้าพเจ้านั้น พึงสำเร็จเป็นแน่แท้ เพราะข้าพเจ้า ได้พบบุคคลผู้ถึงเวทเช่นนั้น อันที่จริง คนอื่นย่อมได้ บริโภคเครื่องบูชา เพราะไม่ได้พบ บุคคลผู้เช่นท่าน

            พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เพราะเหตุนั้นแหละพราหมณ์ ท่านผู้มีความต้องการด้วย ประโยชน์ จงเข้าไปถามเถิด ท่านจะพบผู้มีปัญญาดี ผู้สงบ ผู้ไม่มีความโกรธ ไม่มีทุกข์ ไม่มีความหวัง ในศาสนา นี้แน่แท้

            พราหมณ์ทูลว่า (ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ) ข้าพเจ้ายินดีแล้วในยัญ ใคร่จะ บูชายัญ แต่ข้าพเจ้ายังไม่ทราบชัด ขอท่านจงพร่ำสอน ข้าพเจ้าเถิด ขอท่านจงบอก ซึ่งที่เป็นที่สำเร็จแห่งการบูชา แก่ข้าพเจ้าเถิด

            พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์ ถ้าอย่างนั้นท่านจงเงี่ยโสตลงเถิด เราจักแสดง ธรรมแก่ท่าน ท่านอย่าถามถึงชาติ จงถามแต่ธรรมสำหรับ ประพฤติเถิด ไฟย่อมเกิดแต่ไม้แล แม้ผู้ที่เกิดในสกุลต่ำ เป็นมุนีมีปัญญา เป็นผู้เกียดกันอกุศลวิตก ด้วยหิริ รู้เหตุ การณ์ได้โดยฉับพลันก็มี พราหมณ์ผู้มุ่งบุญพึงบูชา พึงหลั่ง ไทยธรรม ในทักขิไณยบุคคล ผู้ที่ฝึกตนด้วยสัจจะ ผู้ประกอบ ด้วยการฝึกฝนอินทรีย์ ผู้ถึงที่สุดแห่งเวท ผู้อยู่จบพรหมจรรย์ ตามกาล

            ชนเหล่าใดละกามทั้งหลายได้แล้ว ไม่ยึดมั่น อะไรๆ เที่ยวไป มีตนสำรวมดีแล้ว เหมือนกระสวยที่ ไปตรง ฉะนั้น พราหมณ์ผู้มุ่งบุญพึงบูชา พึงหลั่งไทยธรรม ในชน เหล่านั้น ตามกาล ชนเหล่าใดปราศจากราคะ มี อินทรีย์ตั้งมั่นดีแล้ว หลุดพ้นแล้ว จากการ จับของกิเลส เปล่งปลั่งอยู่ เหมือนพระจันทร์ที่พ้นแล้วจากการเบียดเบียน ของราหู สว่างไสวอยู่ ฉะนั้น พราหมณ์พึงหลั่งไทยธรรม ในชนเหล่านั้นตามกาล

            ชนเหล่าใดไม่เกี่ยวข้อง มีสติ ทุกเมื่อ ละนามรูป ที่คนพาลถือว่าเป็นของเรา ได้แล้ว เที่ยว ไปในโลก พราหมณ์พึงหลั่งไทยธรรม ในชนเหล่านั้นตามกาล พระตถาคต ละกามทั้งหลายได้แล้ว ครอบงำกามทั้งหลาย เที่ยวไป รู้ที่สุดแห่งชาติและมรณะ ดับความเร่าร้อนได้แล้ว เป็นผู้เยือกเย็นเหมือนห้วงน้ำ ย่อมควรเครื่องบูชา

            พระตถาคตผู้เสมอด้วยพระพุทธเจ้าทั้งหลาย อยู่ห่างไกลจาก บุคคลผู้ไม่เสมอ ทั้งหลาย เป็นผู้มีปัญญาไม่มีที่สุด ผู้อัน ตัณหาทิฐิไม่ฉาบทาแล้วในโลกนี้หรือในโลกอื่น ย่อมควร เครื่องบูชา

            พระตถาคตผู้เป็นพราหมณ์ ไม่มีมายา ไม่มี มานะ ปราศจากความโลภ ไม่ยึดถือ ในสัตว์และสังขารว่า เป็นของเรา หาความหวังมิได้ บรรเทาความโกรธแล้ว มีตนดับ ความ เร่าร้อนได้แล้ว ละมลทิน คือ ความโศก เสียได้ ย่อมควรเครื่องบูชา พระตถาคต ละตัณหาและ ทิฐิที่อยู่ประจำใจได้แล้ว ไม่มีตัณหาและทิฐิอะไรๆ ไม่ถือ มั่นในโลกนี้ หรือในโลกอื่น ย่อมควรเครื่องบูชา

            พระตถาคตมีจิตตั้งมั่นแล้ว ข้ามโอฆะได้แล้ว และได้รู้ธรรม ด้วยทิฐิอย่างยิ่ง มีอาสวะสิ้นแล้ว ทรงไว้ซึ่งร่างกายอัน มีในที่สุด ย่อมควรเครื่องบูชา ภวาสวะและวาจา หยาบคาย อันพระตถาคตกำจัดได้แล้ว ทำให้สิ้นสูญ ไม่มีอยู่ พระตถาคตผู้ถึงเวท พ้นวิเศษแล้วในธรรมทั้งปวง ย่อม ควรเครื่องบูชา

            พระตถาคต ผู้ล่วงกิเลสเครื่องข้อง ไม่มี ธรรมเป็นเครื่องข้อง ไม่เป็นสัตว์ ผู้มีมานะในเหล่าสัตว์ผู้มี มานะ กำหนดรู้ทุกข์พร้อม ทั้งไร่นาและที่ดิน ย่อมควร เครื่องบูชา พระตถาคตไม่อาศัยตัณหา มีปรกติเห็น นิพพาน ก้าวล่วงทิฐิที่จะพึงให้ผู้อื่นรู้ ไม่มีอารมณ์อะไรๆ ย่อมควรเครื่องบูชา ธรรมทั้งที่เป็นภายในและภายนอก พระตถาคต แทงตลอดแล้ว กำจัดได้แล้ว ถึงความสาปสูญ มิได้มี

            พระตถาคตนั้นเป็นผู้สงบแล้ว น้อมไปในธรรม เป็นที่สิ้นอุปาทาน ย่อมควร เครื่องบูชา พระตถาคตเห็น ที่สุดแห่งความสิ้นไปแห่งชาติ บรรเทาสังโยชน์อันเป็น ทางแห่งราคะเสียได้ไม่มีส่วนเหลือ เป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่มี โทษ ปราศจากมลทิน ไม่มีความใคร่ ย่อมควรเครื่อง บูชา พระตถาคตไม่พิจารณา เห็นตนโดยความเป็นตน มีจิต ตั้งมั่น ปฏิบัติตรง ดำรงตนมั่น ไม่หวั่นไหว ไม่มี กิเลสดุจหลักตอ ไม่มีความสงสัย ย่อมควรเครื่องบูชา

            พระตถาคตไม่มีปัจจัยแห่งโมหะอะไรๆ เห็นด้วยญาณใน ธรรมทั้งปวง ทรงไว้ ซึ่งสรีระมีในที่สุด และได้บรรลุ สัมโพธิญาณที่ยอดเยี่ยม อันเกษม ความบริสุทธิ์ของบุรุษ ย่อมมีด้วยเหตุเพียงเท่านี้ (พระตถาคตย่อมควรเครื่องบูชา)

            พราหมณ์ทูลว่า ก็การบูชาของข้าพระองค์ จะเป็นการบูชาจริง เพราะว่า ข้าพระองค์ได้บุคคล ผู้ถึงเวทเช่นนั้น พระผู้มีพระภาคเป็น พรหม ผู้เห็นเองแท้ ขอได้โปรดทรงรับ ทรงบริโภคเครื่อง บูชาของข้าพระองค์เถิด

            พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์ เราไม่พึงบริโภคโภชนะที่ขับกล่อมได้มา ข้อนี้ ไม่ใช่ธรรมเนียมของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้ทรงเห็นอยู่โดยชอบ พระพุทธเจ้า ทั้งหลาย ย่อมทรงห้ามโภชนะที่ขับ กล่อมได้มา

            ดูกรพราหมณ์ เมื่อธรรมมีอยู่ การแสวงหา เป็นความประพฤติของพระพุทธเจ้า ทั้งหลาย ก็ท่านจงบำรุง พระขีณาสพผู้บริบูรณ์ด้วยคุณทั้งปวง ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ ผู้มีความคะนองสงบแล้ว ด้วยข้าวน้ำอย่างอื่นเถิด เพราะว่า เขตนั้นเป็นเขตของบุคคล ผู้มุ่งบุญ

            พราหมณ์ทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ขอประทานวโรกาส ข้าพระองค์ถึง คำสั่งสอนของพระองค์แล้ว พึงรู้แจ่มแจ้งอย่างที่พระองค์ ตรัสบอก ขอพระองค์ จงทรง แสดงทักขิไณยบุคคลผู้บริโภค ทักขิณาของบุคคลผู้เช่นด้วยข้าพระองค์ ที่ข้าพระองค์ จะพึง แสวงหาบำรุงอยู่ ในกาลแห่งยัญ แก่ข้าพระองค์เถิด

            พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ท่านจงกำจัดความสยิ้วหน้า จงประคองอัญชลีนอบน้อม ผู้ที่ ปราศจากความแข่งดี ผู้มีจิตไม่ขุ่นมัว หลุดพ้นแล้วจาก กามทั้งหลาย บรรเทาความ ง่วงเหงาเสียแล้ว นำกิเลสออก เสียได้ ผู้ฉลาดในชาติและมรณะ ผู้นั้นเป็นมุนี สมบูรณ์ ด้วยปัญญา ผู้มาแล้วสู่ยัญเช่นนั้น จงบูชาด้วยข้าวและ น้ำเถิด ทักขิณาย่อมสำเร็จได้ ด้วยอาการอย่างนี้

            พราหมณ์ทูลว่า พระองค์เป็นพระพุทธเจ้า ผู้ที่บุคคลควรบูชาในโลกทั้งปวง เป็นบุญเขตอย่างยอดเยี่ยม ย่อมควรเครื่องบูชา ทานที่ บุคคลถวายแล้วแด่พระองค์ เป็นทานมีผลมาก

            [๓๖๐] ลำดับนั้นแล สุนทริกภารทวาชพราหมณ์ ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิต ของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระองค์ทรงประกาศธรรม โดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือน หงาย ของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่ผู้หลงทาง หรือตามประทีปไว้ ในที่มืด ด้วยหวังว่า

            ผู้มีจักษุจักเห็นรูปได้ฉะนั้น ข้าพระองค์นี้ขอถึงพระองค์ กับทั้งพระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ ว่าเป็นสรณะ ข้าพระองค์พึงได้บรรพชาอุปสมบท ในสำนักของ พระองค์เถิด สุนทริกภารทวาชพราหมณ์ได้บรรพชา อุปสมบทในสำนักของ พระผู้มีพระภาค ฯลฯ ก็ท่านสุนทริกภารทวาชะ ได้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง ในจำนวน พระอรหันต์ทั้งหลาย ฉะนั้นแล

 





หนังสือพุทธวจน ธรรมะของพระศาสดา
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์