พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๕๙-๓๖๑
๒ จูฬวรรค (หมวดว่าด้วยเรื่องเล็กน้อย)
สัมมาปริพพาชนิยสูตรที่ ๑๓
ภิกษุควรละเว้นอยู่ในโลกโดยชอบ
พระพุทธนิมิตตรัสถามด้วยพระคาถาว่า
[๓๓๑] เราขอถามมุนีผู้มีปัญญามาก ผู้ข้ามถึงฝั่ง ปรินิพพานแล้ว ดำรงตนมั่น ภิกษุนั้น บรรเทากามทั้งหลายแล้ว พึงเว้น รอบโดยชอบในโลกอย่างไร
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
ภิกษุใด ถอนการถือความเกิด ความฝันและลักษณะว่า เป็นมงคลขึ้นได้แล้ว ภิกษุนั้น ละมงคลอันเป็นโทษได้แล้ว พึงเว้นรอบโดยชอบในโลก ภิกษุพึงนำเสีย ซึ่งความกำหนัด ในกามทั้งหลาย ทั้งที่เป็นของมนุษย์ ทั้งที่เป็นของทิพย์ ภิกษุนั้นตรัสรู้ ธรรมแล้ว ก้าวล่วงภพได้แล้ว พึงเว้นรอบ โดยชอบในโลก
ภิกษุกำจัดคำส่อเสียดแล้ว พึงละความ โกรธ ความตระหนี่ ภิกษุนั้นละความ ยินดี และความ ยินร้ายได้แล้ว พึงเว้นรอบโดยชอบในโลก ภิกษุละสัตว์ และสังขารอัน เป็นที่รัก และไม่เป็นที่รักแล้ว ไม่ถือมั่น อัน ตัณหาและทิฐิไม่อาศัยแล้วในภพไหนๆ หลุดพ้นแล้วจาก ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งสังโยชน์ พึงเว้นรอบโดยชอบในโลก ภิกษุนั้น กำจัดเสียแล้วซึ่งความกำหนัด ด้วยอำนาจแห่งความ พอใจในความยึดถือทั้งหลาย ย่อมไม่เห็นความเป็นสาระ ในอุปธิทั้งหลาย
ภิกษุนั้นผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยแล้ว อันใครๆ พึงนำไปไม่ได้ พึงเว้นรอบ โดยชอบ ในโลก ภิกษุนั้นไม่ผิดพลาดด้วยวาจาใจและการงานแล้ว รู้แจ้ง แล้วซึ่งธรรม โดยชอบ ปรารถนาบทคือนิพพานอยู่ พึงเว้น รอบโดยชอบในโลก ภิกษุใดประสบอยู่ ไม่พึงยึดถือ ว่าเราแม้ถูกด่า ก็ไม่พึงผูกโกรธ ได้โภชนะที่ผู้อื่นให้แล้ว ไม่พึงประมาท มัวเมา
ภิกษุนั้นพึงเว้นรอบโดยชอบในโลก ภิกษุละความโลภและภพแล้ว งดเว้นจาก การตัด และการ จองจำสัตว์อื่น ข้ามพ้นความสงสัย ไม่มีกิเลสดุจลูกศร พึงเว้นรอบ โดยชอบ ในโลก ภิกษุรู้แจ้งความปฏิบัติอันสมควร แก่ตน และรู้แจ้งธรรมตามความ เป็นจริงแล้ว ไม่พึงเบียด เบียนสัตว์ไรๆ ในโลก พึงเว้นรอบโดยชอบในโลก ภิกษุ ใดไม่มีอนุสัย ถอนอกุศลมูลอะไรๆ ขึ้นได้แล้ว
ภิกษุ นั้นไม่มีความหวัง ไม่มีตัณหา พึงเว้นรอบโดยชอบ ในโลก ภิกษุผู้สิ้น อาสวะ ละมานะได้แล้ว ก้าวล่วง ธรรมชาติอันเป็นทางแห่งราคะได้หมด ฝึกฝนตน ดับกิเลส ได้แล้ว มีจิตตั้งมั่น พึงเว้นรอบโดยชอบในโลก ภิกษุผู้ มีศรัทธาได้สดับแล้ว เห็นมรรค ไม่แล่นไปด้วยอำนาจ ทิฐิในสัตว์ทั้งหลายผู้ไปแล้วด้วยทิฐิ
ภิกษุนั้นเป็นนักปราชญ์ กำจัดเสียซึ่งโลภะ โทสะ และปฏิฆะ พึงเว้นรอบ โดยชอบในโลก ภิกษุนั้นชนะกิเลสด้วยอรหัตมรรคอันหมด จดดี มีกิเลสดุจหลังคา เปิดแล้ว มีความ ชำนาญในธรรม ทั้งหลาย ถึงนิพพาน ไม่มีความหวั่นไหว ฉลาดใน ญาณ อันเป็นที่ดับ สังขาร พึงเว้นรอบโดยชอบในโลก
ภิกษุ ล่วงความกำหนดว่าเราว่าของเรา ในปัญจขันธ์ทั้งที่เป็นอดีต ทั้งที่เป็น อนาคต มีปัญญาบริสุทธิ์ ก้าวล่วงทั้ง ๓ กาล หลุด พ้นแล้วจากอายตนะทั้งปวง พึงเว้นรอบ โดยชอบในโลก ภิกษุผู้รู้บทแห่ง สัจจะ ทั้งหลาย ตรัสรู้ธรรม เห็นการละ อาสวะ ทั้งหลายเป็นวิวฏะ (นิพพาน) ไม่ข้องอยู่ในภพไหนๆ เพราะความหมดสิ้นไปแห่ง อุปธิ ทั้งปวง พึงเว้นรอบโดยชอบ ในโลก
พระพุทธนิมิตตรัสพระคาถาว่า
ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้อนี้เป็นอย่างนั้นแน่แท้ทีเดียว ภิกษุ ใดมีปรกติ อยู่ อย่างนี้ ฝึกฝน ตนแล้ว ล่วงธรรมเป็นที่ตั้ง แห่งสังโยชน์ทั้งปวง ภิกษุนั้นพึงเว้นรอบ โดยชอบในโลก
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๖๑-๓๖๖
๒ จูฬวรรค (หมวดว่าด้วยเรื่องเล็กน้อย)
ธรรมิกสูตรที่ ๑๔
พญาช้างชื่อเอราวัณ ทูลถามปัญหา
[๓๓๒] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก เศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล ธรรมิกอุบาสก พร้อมด้วยอุบาสก ๕๐๐ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว นั่งณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาค ด้วยคาถาว่า
[๓๓๓] ข้าแต่พระโคดมผู้มีพระปัญญาเสมอด้วยแผ่นดิน ข้าพระองค์ขอ ทูลถามพระองค์ อุบาสกผู้ออกบวชเป็นบรรพชิตก็ดี อุบาสก ผู้ยังอยู่ครองเรือนอีกก็ดี บรรดาสาวก ทั้งสองพวกนี้สาวก กระทำอย่างไรจึงจะเป็นผู้ยังประโยชน์ให้สำเร็จ
พระองค์ เท่านั้นแล ทรงทราบชัดซึ่งคติและความสำเร็จของโลกพร้อม ทั้งเทวโลก บุคคลผู้เห็น ประโยชน์อันละเอียดเช่นกับพระ องค์ย่อมไม่มี บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมกล่าว พระองค์แล ว่าเป็น พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ
พระองค์ทรงแทงตลอดไญยธรรม ทรงอนุเคราะห์เหล่าสัตว์ ได้ทรงประกาศ พระญาณ และธรรม ทั้งปวง ข้าแต่พระโคดมผู้มีพระจักษุรอบคอบ พระองค์ผู้มี กิเลส ดุจหลังคา ที่เปิดแล้ว เป็นผู้ปราศจากมลทิน ไพโรจน์ อยู่ในโลกทั้งปวง พญาช้าง (เทพบุตร) ชื่อเอราวัณ ทราบว่า พระผู้มีพระภาคนี้ทรงชนะบาปธรรม ดังนี้แล้ว ได้ไปใน สำนัก ของพระองค์
พญาช้างเอราวัณ* แม้นั้นทูลถาม ปัญหากะพระองค์ ได้สดับปัญหาแล้ว ซ้องสาธุ การชื่นชม ยินดี ได้บรรลุธรรมไปแล้ว แม้พระราชาพระนามว่า เวสสวัณกุเวร ก็เข้าเฝ้า พระองค์ทูลไต่ถามธรรมอยู่ พระองค์ อันพระราชาพระนามว่าเวสสวัณกุเวร แม้นั้นแล ทูลถามแล้ว ย่อมตรัสบอก ท้าวเวสสวัณกุเวรแม้นั้นแล ได้สดับปัญหาแล้ว ทรงชื่นชม ยินดี ได้เสด็จไปแล้ว พวกเดียรถีย์ก็ดี อาชีวกก็ดี นิครนถ์ก็ดี ผู้มีปรกติกระทำ วาทะ ทั้งหมดนี้ ย่อมไม่เกินพระองค์ ด้วยปัญญา เหมือนบุคคลผู้หยุดอยู่ ไม่พึงเกินคน เดินเร็วซึ่ง เดินอยู่ ฉะนั้น
* (ช้างเอราวัณ เป็นสัตว์เช่นเดียวกับนาค แต่นับเนื่องเป็นเทวดา ชั้นกามภพ)
พวกพราหมณ์ก็ดี แม้พวกพราหมณ์ผู้เฒ่าก็ดี ผู้มีปรกติกระทำวาทะ เหล่าใด เหล่าหนึ่ง มีอยู่ และแม้ชน เหล่า อื่นสำคัญอยู่ว่า เราทั้งหลายผู้มีปรกติกระทำวาทะ ชนเหล่า นั้นทั้งหมด เป็นผู้เนื่องด้วย ประโยชน์ในพระองค์ ข้าแต่ พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ ทั้งหมดกำลังคอยฟังด้วยดี ซึ่งธรรม ที่ละเอียด และนำความสุขมาให้ อันพระองค์ ตรัสดีแล้ว นี้
ข้าแต่พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ พระองค์อันข้าพระองค์ ทั้งหลายทูลถามแล้ว ได้โปรด ตรัสบอกความ ข้อนั้น แก่ข้า พระองค์ทั้งหลาย ภิกษุกับทั้งอุบาสกเหล่านี้ แม้ทั้งหมดนั่ง ประชุมกันแล้ว ในที่นั้นแหละ เพื่อจะฟังขอจงตั้งใจฟังธรรม ที่พระผู้มีพระภาค ผู้ไม่มี มลทินตรัสรู้แล้ว เหมือนเทวดา ทั้งหลาย ตั้งใจฟัง สุภาษิต ของท้าววาสวะ ฉะนั้น
พระผู้มีพระภาค เพื่อจะทรงแสดงปฏิปทา ของบรรพชิตก่อน ตรัสเรียก ภิกษุทั้งหลาย มาแล้ว จึงตรัสพระคาถาว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟังเรา เราจะยังเธอ ทั้งหลายให้ฟังธรรม อันกำจัด กิเลส และเธอทั้งปวง จงประพฤติธรรมอันกำจัดกิเลสนั้น ภิกษุผู้มีปัญญา ความคิด ผู้เห็น ประโยชน์ พึงเสพอิริยาบถอันสมควรแก่บรรพชิตนั้น
ภิกษุ ไม่พึงเที่ยวไปในเวลาวิกาลเลย อนึ่งภิกษุพึงเที่ยวไปเพื่อ บิณฑบาต ในบ้านในกาล ด้วยว่า ธรรม เป็นเครื่องข้องทั้งหลาย ย่อมข้องภิกษุผู้เที่ยวไปในกาล อันไม่สมควรไว้ เพราะเหตุ นั้น ท่านผู้รู้ทั้งหลายย่อมไม่เที่ยวไปในเวลาวิกาล รูป เสียง กลิ่น รส และผัสสะ ย่อมยังสัตว์ทั้งหลาย ให้มัวเมา
ภิกษุนั้น กำจัดเสียแล้วซึ่งความพอใจในธรรมเหล่านี้ พึงเข้าไปยัง โอกาส ที่จะพึงบริโภค อาหาร ในเวลาเช้าโดยกาล อนึ่ง ภิกษุ ได้บิณฑบาตแล้วตามสมัย พึงกลับไปนั่งในที่ สงัด แต่ผู้ เดียว ภิกษุผู้สงเคราะห์อัตภาพแล้ว คิดถึงขันธสันดาน ในภายใน ไม่พึงส่งใจ ไปในภายนอก ถ้าแม้ว่า ภิกษุนั้น พึงเจรจากับสาวกอื่น หรือกับ ภิกษุรูปไรๆ ไซร้
ภิกษุนั้นพึง กล่าวธรรมอันประณีต ไม่พึงกล่าวคำส่อเสียด ทั้งไม่พึง กล่าวคำ ติเตียนผู้อื่น ก็บุคคลบางพวกย่อมประถ้อยคำกัน เราย่อมไม่สรรเสริญบุคคลเหล่านั้น ผู้มีปัญญาน้อย ความ เกี่ยวข้องด้วยการวิวาท เกิดจากคลองแห่งคำนั้นๆ ย่อม ข้อง บุคคลเหล่านั้นไว้ เพราะบุคคลเหล่านั้น ส่งจิตไปในที่ไกล จากสมถะและวิปัสสนา สาวกผู้มีปัญญาดี ฟังธรรม ที่พระสุคต ทรงแสดงแล้ว พิจารณาบิณฑบาต ที่อยู่ ที่นอน ที่นั่ง น้ำ และการ ซักมลทินผ้าสังฆาฏิแล้วพึงเสพ เพราะเหตุนั้น แล
ภิกษุไม่ติดแล้วในธรรมเหล่านี้ คือ บิณฑบาต ที่นอน ที่นั่ง น้ำ และการซัก มลทิน ผ้าสังฆาฏิ เหมือนหยาดน้ำ ไม่ติดในใบบัว ฉะนั้น ก็เราจะบอกวัตรแห่งคฤหัสถ์ แก่เธอ ทั้งหลาย สาวกกระทำอย่างไร จึงจะเป็นผู้ยังประโยชน์ให้ สำเร็จ จริงอยู่สาวก ไม่พึงได้ เพื่อจะถูกต้องธรรมของภิกษุ ล้วนด้วยอาการที่มีความหวงแหน
สาวกวางอาชญาในสัตว์ ทุกหมู่เหล่า ทั้งผู้ที่มั่นคงทั้งผู้ที่ยังสะดุ้งในโลกแล้ว ไม่พึง ฆ่าสัตว์เอง ไม่พึงใช้ผู้อื่นให้ฆ่า และไม่พึงอนุญาตให้ผู้อื่นฆ่า แต่นั้น สาวกรู้อยู่ พึงเว้นสิ่งที่เขาไม่ให้อะไรๆ ในที่ไหนๆ ไม่พึงใช้ให้ผู้อื่นลัก ไม่พึงอนุญาตให้ผู้อื่นลัก พึงเว้นวัตถุ ที่เจ้าของเขาไม่ให้ทั้งหมด
สาวกผู้รู้แจ้งพึงเว้นอพรหมจรรย์ เหมือนบุคคลเว้นหลุมถ่านเพลิงที่ไฟลุกโชน ฉะนั้น แต่ เมื่อไม่สามารถประพฤติพรหมจรรย์ ก็ไม่พึงก้าวล่วงภรรยา ของผู้อื่น ก็สาวก ผู้อยู่ ในที่ประชุมก็ดี อยู่ในท่ามกลางบริษัท ก็ดี ไม่พึงกล่าวเท็จแก่บุคคลผู้หนึ่ง ไม่พึงให้ผู้อื่น กล่าว คำเท็จ ไม่พึงอนุญาต ให้ผู้อื่นกล่าวเท็จ พึงเว้นคำไม่เป็นจริง ทั้งหมด
สาวกผู้เป็นคฤหัสถ์ไม่พึงดื่มน้ำเมา พึงชอบใจธรรมนี้ ไม่พึงใช้ให้ผู้อื่นดื่ม ไม่พึงอนุญาต ให้ผู้อื่นดื่ม เพราะทราบ ชัดการดื่มน้ำเมานั้นว่า มีความเป็นบ้าเป็นที่สุด คนพาล ทั้งหลาย ย่อมกระทำบาปเอง และใช้คนอื่นผู้ประมาทแล้ว ให้กระทำบาป เพราะความ เมานั่นเอง
สาวกพึงเว้นความ เป็นบ้า ความหลงที่คนพาลใคร่แล้ว อันเป็นบ่อเกิดแห่ง บาปนี้ ไม่พึง ฆ่าสัตว์ ไม่พึงถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ ไม่พึงพูดมุสา ไม่พึงดื่ม น้ำเมา พึงเว้น จากเมถุนธรรม อันเป็น ความประพฤติไม่ประเสริฐ ไม่พึงบริโภคโภชนะ ในเวลา วิกาล ในราตรี ไม่พึงทัดทรงดอกไม้ และไม่พึงลูบไล้ของหอม พึงนอน บนเตียงหรือบนพื้นดิน ที่เขาลาดแล้ว
บัณฑิตทั้งหลาย กล่าวอุโบสถอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการนี้แล ว่าอัน พระพุทธเจ้า ผู้ถึงที่สุด แห่งทุกข์ ทรงประกาศไว้แล้ว แต่นั้น สาวกผู้มีใจเลื่อมใส พึงเข้าจำอุโบสถ อันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการให้บริบูรณ์ดี ตลอดวัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ และ ๘ ค่ำ แห่งปักข์ และตลอดปาฏิหาริกปักข์
แต่นั้นสาวกผู้รู้แจ้ง เข้าจำอุโบสถอยู่แต่เช้าแล้ว มีจิตเลื่อมใส ชื่นชมอยู่ เนืองๆ พึงแจกจ่าย ภิกษุสงฆ์ ด้วยข้าวและน้ำตามควร พึงเลี้ยง มารดาและบิดาด้วย โภคสมบัติ ที่ได้มา โดยชอบธรรม พึงประ กอบการค้าขายอันชอบธรรม ไม่ประมาท ประพฤติวัตร แห่ง คฤหัสถ์นี้อยู่ ย่อมเข้าถึงเหล่าเทวดาชื่อว่าสยัมปภา ผู้มี รัศมีในตน
|