พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๒๙-๓๓๑
อาฬวกสูตรที่ ๑๐
อาฬวกยักษ์ทูลถามปัญหา
[๓๑๐] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในที่อยู่ของอาฬวกยักษ์ ใกล้เมืองอาฬวี ครั้งนั้นแล อาฬวกยักษ์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วได้กราบทูล พระผู้มีพระภาค ว่า จงออกไปเถิดสมณะ พระผู้มีพระภาคตรัสว่าดีละท่าน แล้วได้เสด็จออกไป
อาฬวกยักษ์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า จงเข้ามาเถิดสมณะ พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดีละท่าน แล้วได้เสด็จเข้าไป แม้ครั้งที่ ๒... แม้ครั้งที่ ๓ ... แม้ครั้งที่ ๔ อาฬวกยักษ์ ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค ว่าจงออกไปเถิดสมณะ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรท่าน เราจักไม่ออกไปละ ท่านจงกระทำกิจที่ท่านจะพึงกระทำเถิด
อา. ดูกรสมณะ ข้าพเจ้าจะถามปัญหากะท่าน ถ้าว่าท่านจักไม่พยากรณ์ แก่ข้าพเจ้าไซร้ ข้าพเจ้าจะควักดวงจิตของท่านออกโยนทิ้ง จักฉีกหัวใจของท่านหรือ จักจับที่เท้าทั้งสองของท่าน แล้วขว้างไปที่ฝั่งแม่น้ำคงคา
พ. เรายังไม่มองเห็นบุคคล ผู้ที่จะพึงควักดวงจิตของเราออกโยนทิ้ง จะพึง ฉีกหัวใจของเรา หรือจะพึงจับที่เท้าทั้งสอง แล้วขว้างไปที่ฝั่งแม่น้ำคงคาได้ ในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์
ดูกรท่าน ก็และท่านหวังจะถามปัญหาก็จงถามเถิด
ลำดับนั้น อาฬวกยักษ์ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า
[๓๑๑] อะไรเล่าเป็นทรัพย์เครื่องปลื้มใจอันประเสริฐที่สุดของบุรุษใน โลกนี้ อะไรเล่าที่บุคคลประพฤติดีแล้วย่อมนำความสุขมาให้ อะไรเล่าเป็นรสยัง ประโยชน์ ให้สำเร็จกว่ารสทั้งหลาย นัก ปราชญ์ทั้งหลาย ได้กล่าวชีวิตของบุคคล ผู้เป็นอยู่ อย่างไรว่า ประเสริฐที่สุด
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบด้วยพระคาถาว่า
ศรัทธาเป็นทรัพย์ เครื่องปลื้มใจอันประเสริฐที่สุดของบุรุษใน โลกนี้ ธรรมที่ บุคคลประพฤติดีแล้วย่อมนำความสุขมาให้ สัจจะแลเป็นรสยังประโยชน์ ให้สำเร็จ กว่า รสทั้งหลาย นัก ปราชญ์ทั้งหลายกล่าวชีวิตของบุคคล ผู้เป็นอยู่ด้วยปัญญา ว่าประ เสริฐที่สุด
บุคคลย่อมข้ามโอฆะได้อย่างไร บุคคลย่อมข้ามอรรณพได้ อย่างไร บุคคลย่อม ล่วงทุกข์ได้อย่างไร ย่อมบริสุทธิ์ได้ อย่างไร
บุคคลย่อมข้ามโอฆะได้ด้วยศรัทธา ย่อมข้ามอรรณพได้ ด้วยความไม่ประมาท ย่อมล่วงทุกข์ได้ด้วยความเพียร ย่อม บริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา
บุคคลย่อมได้ปัญญาอย่างไร ย่อมหาทรัพย์ได้อย่างไร ย่อม ได้ชื่อเสียง อย่างไร ย่อมผูกมิตรทั้งหลายไว้ได้อย่างไร บุคคล ละจากโลกนี้ไปสู่โลกอื่นแล้ว ย่อมไม่เศร้า โศกอย่างไร
บุคคลเชื่อธรรมของพระอรหันต์ทั้งหลาย เพื่อบรรลุนิพพาน เป็นผู้ไม่ ประมาท มีปัญญาเป็นเครื่องสอดส่อง ฟังอยู่ด้วยดี ย่อมได้ปัญญา บุคคลผู้มีธุระ กระทำสมควร มีความหมั่น ย่อมหาทรัพย์ได้ บุคคลย่อมได้ชื่อเสียงด้วยสัจจะ ผู้ให้ย่อม ผูกมิตรไว้ได้
ผู้ใดมีศรัทธาอยู่ครองเรือน มีธรรม ๔ ประการ นี้ คือ สัจจะ ธรรมะ ธิติ จาคะ ผู้นั้นแลละจากโลกนี้ ไปแล้วย่อมไม่เศร้าโศก ถ้าว่าเหตุแห่งการได้ชื่อเสียงยิ่งไป กว่าสัจจะก็ดี เหตุแห่งการได้ปัญญายิ่งไปกว่าทมะก็ดี เหตุ แห่งการผูกมิตร ยิ่งไปกว่า จาคะก็ดี เหตุแห่งการหาทรัพย์ ได้ยิ่งไปกว่าขันติก็ดี มีอยู่ในโลกนี้ไซร้ เชิญท่านถาม สมณ พราหมณ์เป็นอันมากแม้เหล่าอื่นดูเถิด
บัดนี้ ข้าพระองค์จะพึงถามสมณพราหมณ์เป็นอันมากทำไม เล่า วันนี้ ข้าพระองค์ ทราบชัดประโยชน์อันเป็นไปในภพ หน้า พระพุทธเจ้าเสด็จมาสู่เมืองอาฬวี เพื่อประทับอยู่ เพื่อ ประโยชน์แก่ข้าพระองค์หนอ วันนี้ ข้าพระองค์ทราบชัด พระทักขิไณยบุคคล ผู้เลิศ ที่บุคคลถวายทานแล้วเป็นทาน มีผลมาก ข้าพระองค์ จักนอบน้อมพระสัมพุทธเจ้า และ ความที่พระธรรมเป็นธรรมดี เที่ยวไปจากบ้านสู่บ้าน จากเมืองสู่เมือง
----------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๓๑-๓๓๒
วิชยสูตรที่ ๑๑
การพิจารณาความไม่งามของกาย
[๓๑๒] ถ้าว่าบุคคลเที่ยวไป ยืนอยู่ นั่ง นอน คู้เข้า หรือ เหยียดออก นั่นเป็น ความเคลื่อนไหวของกาย กายประกอบแล้วด้วย กระดูกและเอ็นฉาบด้วยหนังและเนื้อ ปกปิดด้วยผิว เต็ม ด้วยไส้ อาหาร มีก้อนตับ มูตร หัวใจ ปอด ม้าม ไต น้ำมูก น้ำลาย เหงื่อ มันข้น เลือด ไขข้อ ดี เปลวมัน อันปุถุชนผู้เป็นพาล ย่อมไม่เห็นตามความเป็นจริง
อนึ่ง ของอันไม่สะอาดย่อมไหลออกจากช่องทั้งเก้า*ของกายนี้ทุกเมื่อ คือ ขี้ตาจากตา ขี้หูจากหู และน้ำมูกจากจมูก บางคราวย่อม สำรอกออกจากปาก ดี และ เสลด ย่อมสำรอกออก เหงื่อและ หนองฝีซึมออกจากกาย
*(ช่องทั้ง๙ คือ ทางหู๒ ทางตา๒ ทางจมูก๒ ทางปาก๑ ทางทวารหนัก๑ ทางทวารเบา๑)
อนึ่ง อวัยวะเบื้องสูงของกายนี้เป็น โพลง เต็มด้วยมันสมอง คนพาลถูก อวิชชา หุ้มห่อแล้ว ย่อมสำคัญกายนั้นโดยความเป็นของ สวยงาม ก็เมื่อใด เขาตาย ขึ้นพอง มีสีเขียว ถูกทิ้งไว้ในป่า เมื่อนั้น ญาติทั้งหลาย ย่อมไม่ห่วงใย สุนัขบ้าน สุนัขจิ้งจอก หมาป่า หมู่หนอน กา แร้ง และสัตว์เหล่าอื่น ย่อมกัดกินกายนั้น
ภิกษุ ในศาสนานี้ ได้ฟังพระพุทธพจน์แล้ว มีความรู้ชัด เธอย่อมกำหนดรู้กายนี้ ย่อมเห็นตามความเป็นจริงทีเดียว สรีระ ที่มีวิญญาณนี้ เหมือนสรีระที่ตายแล้วนั่น สรีระ ที่ตายแล้วนั้น เหมือนสรีระที่มีวิญญาณนี้
ภิกษุพึงคลายความพอใจในกาย เสียทั้งภายในและภายนอก ภิกษุนั้นมี ความรู้ชัดในศาสนา นี้ ไม่ยินดีแล้วด้วยฉันทราคะ ได้บรรลุ อมฤตบท สงบ ดับไม่จุติ กายนี้มีสองเท้า ไม่สะอาด มีกลิ่นเหม็น อันบุคคล บริหารอยู่ เต็มไปด้วยซากศพต่างๆ ถ่ายของไม่สะอาด มีน้ำลายและน้ำมูกเป็นต้นให้ไหลออกจากทวารทั้งเก้า และ ขับ เหงื่อไคล ให้ไหลออกจากขุมขนนั้นๆ ผู้ใดพึงสำคัญเพื่อ ยกย่องตัวหรือพึงดูหมิ่นผู้อื่น จักมีอะไร นอกจากการไม่เห็น อริยสัจ
|