เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
ค้นหาคำที่ต้องการ            

มุนีสูตร ลักษณะของมุนี ผู้ใดเห็นภัย คือ ราคะ โทสะ โมหะ,ผู้ใดตัดกิเลสที่เกิดแล้ว .ผู้นั้นแลเป็นมุนี 2450
 

พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕

มุนีสูตร
ลักษณะของมุนี (ผู้รู้แจ้ง พระอรหันต์)

-ผู้ใดเห็นภัย คือ ราคะ โทสะ โมหะ...ผู้นั้น แลเป็นมุนีเอก
-ผู้ใดตัดกิเลสที่เกิดแล้ว ไม่พึงปลูกให้เกิดขึ้นอีก.. ผู้นั้น แลเป็นมุนี
-ผู้ใดกำหนดรู้ที่ตั้งแห่งกิเลส ..ผู้นั้น แลเป็นมุนี
-ผู้ใดรู้ชัดภพ ไม่ปรารถนาภพ ..ผู้นั้น แลเป็นมุนี
-ผู้ใดครอบงำธรรมได้ทั้งหมด รู้แจ้งธรรมทุกอย่าง..ผู้นั้น แลเป็นมุนี
-ผู้ใดมีปัญญาประกอบด้วย ศีลและวัตร มีจิตตั้งมั่น ยินดีในฌาน..ผู้นั้น แลเป็นมุนี
-ผู้ใดอาศัยอาหารที่ผู้อื่นให้เป็นอยู่(โดยไม่รังเกียจ)..ผู้นั้น แลเป็นมุนี
-ผู้ใดไม่ประมาท เที่ยวไปผู้เดียว ..ผู้นั้น แลเป็นมุนี
-ผู้ใดไม่ยินดียินร้ายที่ผู้อื่นกล่าววาจา..ผู้นั้น แลเป็นมุนี
-ผู้ใดซื่อตรง เกลียดชังแต่กรรมที่เป็นบาป..ผู้นั้น แลเป็นมุนี
-ผู้ใดสำรวมตน ไม่ทำบาป..ผู้นั้น แลเป็นมุนี
-ผู็ใดไม่หมกมุ่น ไม่กำหนัดในรูปแห่งหญิงสาว..ผู้นั้น แลเป็นมุนี
-ผู้ใดผู้รู้จักโลก เห็นปรมัตถประโยชน์ ข้ามพ้นโอฆะและสมุทร
-ส่วนภิกษุไม่ยึดถือว่าเป็นของเรา มีวัตรงาม ผู้นั้นแล เป็นภิกษุ มุนี

เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 
รวมพระสูตรบุคคลสำคัญ
พระโมคคัลลานะ
พระสารีบุตร
พระเทวทัต
นิครนถ์ปริพาชก
พระมหากัปปินะ
พระอนุรุทธะ
พระอุบาลี
(ดูทั้งหมด)
 
สารบาญพระไตรปิฎก
เล่มที่ ๘-๓๓ (๒๕ เล่ม) ทุกพระสูตร
1. ฉบับหลวง
2. ฉบับมหาจุฬาฯ
3. อรรถกถาไทย
4. ฉบับภาษาบาลี
5. อรรถกถา-บาลี
6. Pali Roman (Roman Script)
7. Atthakatha PaliRoman
 

 


 


พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๓๓-๓๓๕

มุนีสูตรที่ ๑๒
ลักษณะของมุนี

            [๓๑๓] ภัยเกิดแต่ความเชยชมธุลี คือ ราคะ โทสะ และ โมหะ ย่อมเกิดแต่ที่อยู่ ที่อันมิใช่ที่อยู่และความไม่เชยชมนี้แล พระพุทธเจ้า ผู้เป็นมุนีทรงเห็น (เป็นความเห็นของมุนี)

            ผู้ใดตัดกิเลสที่เกิดแล้ว ไม่พึงปลูกให้เกิดขึ้นอีก เมื่อกิเลส นั้นเกิดอยู่ ก็ไม่พึง ให้หลั่งไหลเข้าไป บัณฑิตทั้งหลายกล่าว ผู้นั้นว่าเป็นมุนีเอก เที่ยวไปอยู่ ผู้นั้นเป็นผู้ แสวงหาคุณ อันใหญ่ ได้เห็นสันติบท

            ผู้ใดกำหนดรู้ที่ตั้งแห่งกิเลส ฆ่าพืชไม่ทำยางแห่งพืชให้หลั่งไหลเข้าไป ผู้นั้น แลเป็นมุนี มีปรกติเห็นที่สุดแห่งความสิ้นไปแห่งชาติ ละอกุศลวิตกเสีย แล้ว ไม่เข้าถึง การนับว่าเป็นเทวดาหรือมนุษย์

            ผู้ใดรู้ชัดภพ อันเป็นที่อาศัยอยู่ทั้งปวง ไม่ปรารถนาภพ อันเป็นที่อาศัยอยู่ เหล่านั้นแม้ภพหนึ่ง ผู้นั้นแลเป็นมุนี ปราศจากกำหนัด ไม่ยินดีแล้ว ไม่ก่อกรรม เป็นผู้ถึง ฝั่งโน้นแล้วแล

            อนึ่ง ผู้ครอบงำธรรมได้ทั้งหมด รู้แจ้งธรรมทุกอย่าง มีปัญญาดี ไม่เข้าไปติด (ไม่เกี่ยวเกาะ) ในธรรมทั้งปวง ละธรรมได้ ทั้งหมด น้อมไปแล้วในธรรมเป็นที่สิ้นตัณหา นักปราชญ์ ย่อมประกาศว่าเป็นมุนี

            อนึ่ง ผู้มีกำลังคือปัญญาประกอบด้วย ศีลและวัตร มีจิตตั้งมั่น ยินดีในฌาน มีสติ หลุดพ้นจาก เครื่องข้อง ไม่มีกิเลสดุจหลักตอ ไม่มีอาสวะ นักปราชญ์ ย่อมประกาศว่า เป็นมุนี

            หรือผู้เป็นมุนี (มีปัญญา) ไม่ ประมาท เที่ยวไปผู้เดียว ไม่หวั่นไหวเพราะนินทา และ สรรเสริญ ไม่สะดุ้งหวาดเพราะโลกธรรม เหมือนราชสีห์ ไม่สะดุ้งหวาดเพราะเสียง ไม่ข้องอยู่ในตัณหาและทิฐิ เหมือนลมไม่ข้องอยู่ในตาข่าย ไม่ติดอยู่กับโลก เหมือน ดอกบัวไม่ติดอยู่กับน้ำ เป็นผู้นำ ไม่ใช่ผู้ที่ใครๆ อื่นจะพึง นำไปได้ นักปราชญ์ย่อม ประกาศว่าเป็นมุนี

            หรือแม้ผู้ใดไม่ถึง ความยินดีหรือยินร้าย ในเรื่องที่ผู้อื่นกล่าววาจาด้วยอำนาจ การชมหรือการติ เหมือนเสามีอยู่ที่ท่าเป็นที่ลงอาบน้ำ ผู้นั้น ปราศจากราคะ มีอินทรีย์ ตั้งมั่นดีแล้ว นักปราชญ์ย่อมประกาศ ว่าเป็นมุนี

            หรือแม้ผู้ใดแลดำรงตนไว้ซื่อตรงดุจกระสวย เกลียดชังแต่กรรมที่เป็นบาป พิจารณาเห็นกรรมทั้งที่ไม่เสมอ และที่เสมอ (ทั้งผิดทั้งชอบ) ผู้นั้นนักปราชญ์ย่อม ประกาศว่า เป็นมุนี

            หรือแม้ผู้ใดยังหนุ่มแน่นหรือปูนกลาง สำรวมตน ไม่ทำบาป เป็นมุนี มีจิตห่าง จากบาป ไม่โกรธง่าย ไม่ว่าร้าย ใครๆ ผู้นั้นนักปราชญ์ย่อมประกาศว่าเป็นมุนี

            หรือแม้ ผู้ใดอาศัยอาหารที่ผู้อื่นให้เป็นอยู่ ได้ก้อนข้าวแต่ส่วนที่ดี ส่วนปานกลาง หรือส่วนที่เหลือ ไม่อาจจะกล่าวชม ทั้งไม่ กล่าวทับถมให้ทายกตกต่ำ ผู้นั้นนักปราชญ์ย่อมประกาศว่า เป็นมุนี

            หรือแม้ผู้ใดไม่หมกมุ่นอยู่ในรูปแห่งหญิง อะไรๆ ที่กำลังเป็นสาวเป็นผู้รู้เที่ยวไป อยู่ ปราศจากความยินดีในเมถุน ไม่กำหนัด หลุดพ้นแล้วจากความมัวเมาประมาท ผู้นั้นนักปราชญ์ย่อมประกาศว่าเป็นมุนี

            หรือแม้ผู้รู้จักโลก เห็นปรมัตถประโยชน์ ข้ามพ้นโอฆะและสมุทร เป็นผู้คงที่ ตัดกิเลสเครื่องร้อยรัดได้ขาดแล้ว อันทิฐิหรือตัณหาอาศัยไม่ ได้แล้ว ไม่มีอาสวะ ผู้นั้น นักปราชญ์ย่อมประกาศว่าเป็นมุนี คนทั้งสองไม่เสมอกัน มีที่อยู่และความเป็นอยู่ไกลกัน คือ คฤหัสถ์เลี้ยงลูกเมีย

            ส่วนภิกษุไม่ยึดถือว่าเป็นของเรา มีวัตรงาม คฤหัสถ์ไม่สำรวมเพราะบั่นรอน สัตว์อื่น ภิกษุเป็น มุนี สำรวมเป็นนิตย์ รักษาสัตว์มีชีวิตไว้ นกยูงมีสร้อยคอ เขียว บินไป ในอากาศ ยังสู้ความเร็วของหงส์ไม่ได้ในกาล ไหนๆ ฉันใด คฤหัสถ์ทำตาม ภิกษุผู้เป็นมุนี สงัดเงียบ เพ่งอยู่ในป่าไม่ได้ ฉันนั้น





 





หนังสือพุทธวจน ธรรมะของพระศาสดา
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์