พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๑๑-๓๑๔
กสิภารทวาชสูตรที่ ๔
ภารทวาชพราหมณ์ผู้เป็นชาวนา
[๒๙๗] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พราหมณคาม ชื่อเอกนาฬาในทักขิณาคิรีชนบท แคว้นมคธ ก็สมัยนั้นแล กสิภารทวาชพราหมณ์ ประกอบไถประมาณ ๕๐๐ (เล่ม) ในเวลาเป็นที่หว่านพืช
ครั้งนั้นแล เป็นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตรและจีวร เสด็จเข้าไปยังที่การงานของ กสิภารทวาชพราหมณ์ ก็สมัยนั้นแล การเลี้ยงดูของ กสิภารทวาชพราหมณ์กำลังเป็นไปลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาค เสด็จเข้าไปถึงที่เลี้ยงดู ครั้นแล้วได้ประทับยืนอยู่ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง กสิภารทวาชพราหมณ์ ได้เห็นพระผู้มี พระภาคประทับยืนอยู่เพื่อบิณฑบาต
ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระสมณะ ข้าพระองค์แล ย่อมไถ และหว่าน ครั้นไถและหว่านแล้วย่อมบริโภค แม้พระองค์ก็จงไถและหว่าน ครั้นไถ และหว่านแล้วจงบริโภคเถิด พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์ แม้เราก็ไถและหว่าน ครั้นไถและหว่านแล้วย่อมบริโภค
กสิ. ข้าแต่พระสมณะ ก็ข้าพระองค์ย่อมไม่เห็นแอก ไถ ผาล ปฏักหรือโค ของท่านพระโคดมเลย ก็แลเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านพระโคดมตรัสอย่างนี้ว่า ดูกรพราหมณ์ แม้เราก็ไถและหว่าน ครั้นไถและหว่านแล้วย่อมบริโภค
ลำดับนั้น กสิภารทวาชพราหมณ์ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า
[๒๙๘] พระองค์ย่อมปฏิญาณว่าเป็นชาวนา แต่ข้าพระองค์ไม่เห็น ไถของ พระองค์ พระองค์อันข้าพระองค์ทูลถามแล้ว ขอได้ โปรดตรัสบอกไถแก่ข้าพระองค์ โดยวิธีที่ข้าพระองค์จะพึง รู้จักไถของพระองค์
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบด้วยพระคาถาว่า
ศรัทธาของเราเป็นพืช ความเพียรของเราเป็นฝน ปัญญาของเรา เป็นแอก และไถ หิริของเราเป็นงอนไถ ใจของเรา เป็นเชือก สติของเราเป็นผาล และปฏัก เราคุ้มครองกาย คุ้มครองวาจา สำรวมในอาหารในท้อง ย่อมกระทำการ ถอนหญ้า คือ การกล่าวให้พลาดด้วยสัจจะ ความสงบเสงี่ยม ของเราเป็นเครื่องปลด เปลื้องกิเลส ความเพียรของเรานำธุระ ไปเพื่อธุระนำไปถึงแดนเกษมจากโยคะ ไม่หวน กลับมา ย่อมถึงสถานที่ๆ บุคคลไปแล้วไม่เศร้าโศก การไถนานั้น เราไถแล้วอย่างนี้ การไถนานั้น ย่อมมีผลเป็นอมตะ บุคคล ไถนานั่นแล้ว ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวง
[๒๙๙] ลำดับนั้นแล กสิภารทวาชพราหมณ์ เทข้าวปายาสลงในถาด สำริดใหญ่ แล้วน้อมถวายแด่พระผู้มีพระภาค ด้วยกราบทูลว่า ขอท่านพระโคดม เสวยข้าวปายาสเถิด เพราะพระองค์ท่านเป็นชาวนา ย่อมไถนา อันมีผลไม่ตาย
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบด้วยพระคาถาว่า
ดูกรพราหมณ์ เราไม่ควรบริโภคโภชนะที่ขับกล่อมได้มา* ข้อนี้ไม่ใช่ธรรม ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้เห็นอยู่โดยชอบ พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมทรงห้ามโภชนะ ที่ขับกล่อมได้มา ดูกรพราหมณ์ เมื่อธรรมมีอยู่ การแสวงหานี้เป็นความ ประพฤติของ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย เชิญท่านบำรุงพระขีณาสพ ผู้บริบูรณ์ด้วยคุณทั้งปวง ผู้แสวงหา คุณอันใหญ่ ผู้มีความ คะนองอันสงบแล้ว ด้วยข้าวและน้ำอย่างอื่นเถิด เพราะว่า เขตนั้น เป็นเขตของบุคคลผู้มุ่งบุญ
* (โภชนะได้มาจากการฟังธรรมของพระพุทธเจ้า แล้วเกิดความเลื่อมใสจึงถวายโภชนะ)
[๓๐๐] กสิ. ข้าแต่พระโคดม ก็เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าพระองค์จะถวายข้าวปายาส นี้ แก่ใคร
พ. ดูกรพราหมณ์ เราย่อมไม่เห็นบุคคลในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ผู้บริโภคข้าวปายาส นั้นแล้ว จะพึงให้ย่อยได้โดยชอบ นอกจากตถาคต หรือสาวกของตถาคตเลย ดูกรพราหมณ์ ถ้าอย่างนั้น ท่านจงทิ้งข้าวปายาสนั้น เสียในที่ปราศจากของเขียว หรือจงให้จมลงในน้ำซึ่งไม่มีตัวสัตว์เถิด
ลำดับนั้น กสิภารทวาชพราหมณ์เทข้าวปายาสนั้นใ ห้จมลงในน้ำอันไม่มีตัวสัตว์ พอข้าวปายาสนั้น อันกสิภารทวาชพราหมณ์เทลงในน้ำ (ก็มีเสียง)ดังจิจจิฏะ จิฏิจิฏะ เป็นควันกลุ้มโดยรอบ เหมือนก้อนเหล็ก ที่บุคคลเผาให้ร้อนตลอดวัน ทิ้งลงในน้ำ (มีเสียง) ดังจิจจิฏะ จิฏิจิฏะ เป็นควันกลุ้มโดยรอบฉะนั้น
[๓๐๑] ลำดับนั้นแล กสิภารทวาชพราหมณ์สลดใจ มีขนชูชัน เข้าไปเฝ้าพระผู้มี พระภาค ถึงที่ประทับ หมอบลงแทบพระบาท ของพระผู้มีพระภาคด้วยเศียรเกล้า แล้ว กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ท่านพระโคดม ทรงประกาศธรรม โดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำเปิดของที่ปิด บอกทางแก่ผู้หลงทาง หรือตามประทีปไว้ในที่มืดด้วยหวังว่า คนมีจักษุจักเห็นรูปได้ ฉะนั้น
ข้าพระองค์นี้ ขอถึงพระโคดมผู้เจริญกับทั้งพระธรรม และพระภิกษุสงฆ์เป็น สรณะ ขอพระโคดมผู้เจริญ โปรดทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสก ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป ขอข้าพระองค์พึงได้บรรพชาอุปสมบท ในสำนักของพระโคดม ผู้เจริญเถิด
กสิภารทวาชพราหมณ์ ได้บรรพชาอุปสมบท ในสำนักของพระผู้มีพระภาคแล้ว ก็ท่านภารทวาชะ อุปสมบทแล้วไม่นาน หลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว ไม่ช้านักก็ทำให้แจ้ง ซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์ อันยอดเยี่ยม ที่กุลบุตรทั้งหลายออกบวช เป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการนั้น
ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ก็ท่านภารทวาชะ ได้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง ในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย
----------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๑๕-๓๑๖
จุนทสูตรที่ ๕
ปัญหาของนายจุนทกัมมารบุตร
นายจุนทกัมมารบุตรทูลถามว่า
[๓๐๒] ข้าพระองค์ขอทูลถามพระพุทธเจ้าผู้เป็นมุนี มีพระปัญญามาก ผู้เป็นเจ้าของแห่งพระธรรม ผู้มีตัณหาปราศไปแล้ว ผู้สูงสุด กว่าสัตว์ ผู้ประเสริฐกว่า สารถีทั้งหลายว่า สมณะในโลกมี เท่าไร ขอเชิญพระองค์ตรัสบอกสมณะเหล่านั้นเถิด
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรจุนทะ สมณะมี ๔ สมณะที่ ๕ ไม่มี เราถูกท่าน ถามซึ่งหน้าแล้ว ขอชี้แจงสมณะทั้ง ๔ เหล่านั้น ให้แจ่มแจ้งแก่ท่าน คือ
๑
สมณะผู้ชนะ สรรพกิเลสด้วยมรรค
๒ สมณะผู้แสดงมรรค (แก่ชนเหล่าอื่น)
๓ สมณะเป็นอยู่ในมรรค
๔
สมณะ ผู้ประทุษร้ายมรรค
นายจุนทกัมมารบุตรทูลถามว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมตรัสสมณะผู้ชนะ สรรพกิเลสด้วย มรรคอะไร สมณะเป็นผู้มีปรกติเพ่งมรรคไม่มีผู้เปรียบ สมณะเป็นอยู่ ในมรรค ข้าพระองค์ทูลถามแล้ว ขอพระองค์ ตรัสบอกแก่ข้าพระองค์ อนึ่ง ขอพระองค์ ทรงชี้แจง สมณะ ผู้ประทุษร้ายมรรคให้แจ้งแก่ข้าพระองค์เถิด
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมตรัสสมณะผู้ข้ามความ สงสัยได้แล้ว ผู้ไม่มีกิเลสดุจลูกศร ผู้ยินดียิ่งแล้วในนิพพาน ผู้ไม่มี ความกำหนัด ผู้คงที่ เป็นผู้นำโลกพร้อมด้วยเทวโลกว่า สมณะผู้ชนะสรรพกิเลสด้วยมรรค ๑
ภิกษุใดในศาสนานี้รู้ว่า นิพพานเป็นธรรมยิ่ง ย่อมบอก ย่อมจำแนกธรรมในธรรม วินัยนี้แล พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสภิกษุที่ ๒ ผู้ตัดความ สงสัย ผู้เป็นมุนีผู้ไม่หวั่นไหวนั้น ว่าสมณะผู้แสดงมรรค ภิกษุใด เมื่อบทธรรมอันพระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงแสดงไว้ ดีแล้ว เป็นผู้สำรวมแล้ว มีสติ เสพบทอันไม่มีโทษอยู่ ชื่อว่าเป็นอยู่ในมรรค
พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ตรัสภิกษุที่ ๓ นั้นว่า เป็นอยู่ในมรรค บุคคลกระทำ เพศแห่ง พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพระพุทธเจ้า และพระสาวก ผู้มีวัตรอันงาม ให้ เป็นเครื่องปกปิดแล้ว มักประพฤติแล่นไป ประทุษร้าย ตระกูล เป็นผู้คะนอง มีมายา ไม่สำรวม เป็นคนแกลบ บุคคลนั้นแลชื่อว่า เป็นสมณะผู้ประทุษร้ายมรรคอย่างยิ่งด้วย วัตตปฏิรูป
ก็พระอริยสาวกผู้ได้สดับ มีปัญญา ทราบสมณะ เหล่านั้นทั้งหมดว่าเป็นเช่นนั้น เห็นแล้วอย่างนี้ ย่อมไม่ยัง ศรัทธาของคฤหัสถ์ผู้ทราบชัดสมณะเปล่านี้ให้เสื่อม จะพึง กระทำสมณะผู้ไม่ถูกโทษประทุษร้าย ให้เสมอด้วยสมณะ ผู้ถูกโทษประทุษร้าย จะพึงกระทำสมณะผู้บริสุทธิ์ ให้เสมอ ด้วยสมณะผู้ไม่บริสุทธิ์ อย่างไรได้
|