พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๖๙-๒๗๑
๕. โลกสูตร
ผู้อนุเคราะห์โลก ๓ จำพวก
[๒๖๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๓ จำพวกนี้ เมื่ออุบัติขึ้นในโลก ย่อมอุบัติขึ้น เพื่อเกื้อกูลแก่ชน เป็นอันมาก เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดา และมนุษย์ ทั้งหลาย บุคคล ๓ จำพวกเป็นไฉน
(๑) ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระตถาคตเสด็จอุบัติขึ้นในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถี ฝึกบุรุษ ที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม พระตถาคตพระองค์นั้น ทรงแสดงธรรม งามใน เบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ ทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลที่ ๑ นี้ เมื่ออุบัติขึ้นในโลก ย่อมอุบัติขึ้น เพื่อเกื้อกูลแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูลเพื่อความสุขแก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย
(๒) อีกประการหนึ่ง พระสาวกของพระศาสดา พระองค์นั้นแหละ เป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระ ลงแล้ว มีประโยชน์ ของตน อันบรรลุแล้ว มีสังโยชน์ในภพสิ้นแล้ว หลุดพ้นแล้ว เพราะรู้โดยชอบ สาวกนั้นแสดงธรรม งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถทั้ง พยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้บุคคลที่ ๒ นี้ เมื่ออุบัติขึ้นในโลก ย่อมอุบัติขึ้น เพื่อเกื้อกูลแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย
(๓) อีกประการหนึ่ง พระสาวกของพระศาสดาพระองค์นั้นแหละ ยังเป็นผู้ศึกษาปฏิบัติอยู่ มีพระปริยัติธรรมสดับมามาก ประกอบด้วยศีลและวัตร แม้พระสาวกนั้น ก็แสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศ พรหมจรรย์ พร้อมอรรถ ทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลที่ ๓ นี้ เมื่ออุบัติขึ้นในโลก อุบัติขึ้นเพื่อเกื้อกูลแก่ชน เป็นอันมาก เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๓ จำพวกนี้แล เมื่ออุบัติขึ้นในโลก ย่อมอุบัติเพื่อเกื้อกูล แก่ชนเป็นอันมาก เพื่อความสุข แก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย
พระศาสดาแล ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ เป็นบุคคลที่ ๑ ในโลก พระสาวกผู้เกิด ตามพระศาสดานั้น ผู้มีตนอันอบรมแล้ว ต่อมาพระสาวกอื่นอีกแม้ยังศึกษาปฏิบัติอยู่ ได้สดับมามาก ประกอบด้วยศีล และวัตร บุคคล ๓ จำพวกเหล่านั้น เป็นผู้ประเสริฐสุด ในเทวดาและมนุษย์ บุคคล ๓ จำพวกเหล่า นั้น ส่องแสงสว่าง แสดงธรรมอยู่ ย่อมเปิดประตูแห่งอมตนิพพาน ย่อมช่วยปลดเปลื้องชน เป็นอันมากจากโยคะ ชนทั้งหลาย ผู้ปฏิบัติตามอริยมรรค ที่พระศาสดาผู้นำพวก ผู้ยอดเยี่ยม ทรงแสดงดีแล้ว เป็นผู้ไม่ประมาทในศาสนา ของพระสุคต ย่อมกระทำซึ่งที่สุดแห่งทุกข์ในอัตภาพนี้ ได้แท้
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก ๒๗๑
๖. อสุภสูตร
การพิจารณากายให้เห็นเป็นของไม่งาม
[๒๖๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย
-
จงเป็นผู้พิจารณา เห็นอารมณ์ว่าไม่งาม ในกายอยู่
-
จงเข้าไป ตั้งอานาปาณสติไว้เฉพาะหน้าในภายใน และ
-
จงพิจารณา เห็นความไม่เที่ยง ในสังขารทั้งปวงอยู่เถิด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
- เมื่อเธอทั้งหลาย พิจารณาเห็นอารมณ์ว่าไม่งาม ในกายอยู่ ย่อมละราคานุสัย ในเพราะ ความเป็นธาตุงามได้
- เมื่อเธอทั้งหลาย เข้าไปตั้งอานาปาณสติ ไว้เฉพาะหน้า ในภายในธรรมเป็นที่มานอน แห่ง วิตกทั้งหลาย (มิจฉาวิตก) ในภายนอก อันเป็นไปในฝักฝ่าย แห่งความคับแค้น ย่อมไม่มี
-
เมื่อเธอทั้งหลาย พิจารณาเห็นความไม่เที่ยง ในสังขารทั้งปวงอยู่ ย่อมละอวิชชา ได้ วิชชาย่อมเกิดขึ้น
ภิกษุผู้พิจารณาเห็นอารมณ์ว่าไม่งามในกาย มีสติเฉพาะใน ลมหายใจ มีความเพียรทุกเมื่อ พิจารณาเห็นซึ่งนิพพาน อันเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง ภิกษุนั้นแล ผู้เห็นโดยชอบ พยายามอยู่ ย่อมน้อมไปในนิพพานเป็นที่ระงับแห่งสังขารทั้ง ปวง ภิกษุนั้นแล ผู้อยู่จบอภิญญา สงบระงับล่วงโยคะเสียได้ แล้ว ชื่อว่าเป็นมุนี
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก ๒๗๒
๗. ธรรมสูตร
ผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
[๒๖๕] เมื่อภิกษุกล่าวว่า ผู้นี้ปฏิบัติธรรมอันสมควรแก่ธรรม เพื่อพยากรณ์ด้วย ธรรมอันสมควรใด ธรรมอันสมควรนี้ ย่อมมีแก่ภิกษุผู้ปฏิบัติธรรมอันสมควรแก่ธรรม ดังนี้ ชื่อว่าย่อมกล่าวธรรมอย่างเดียว ย่อมไม่กล่าวอธรรมอนึ่ง
เมื่อภิกษุตรึก ย่อมตรึกถึงวิตก ที่เป็นธรรมอย่างเดียว ย่อมไม่ตรึกถึงวิตกที่ไม่เป็นธรรม ภิกษุเว้นการกล่าวอธรรม และ การตรึกถึงอธรรมทั้ง ๒ นั้น เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่
ภิกษุมีธรรมเป็นที่มายินดี ยินดีแล้วในธรรม ค้นคว้าธรรมอยู่ ระลึกถึงธรรม อยู่เนืองๆ ย่อมไม่เสื่อมจากพระสัทธรรม ภิกษุเดินอยู่ก็ดี ยืนอยู่ก็ดี นั่งอยู่ก็ดี นอนอยู่ก็ดี ให้จิตของ ตนสงบอยู่ ณ ภายใน ย่อมถึงความสงบอันแท้จริง
|