เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
ค้นหาคำที่ต้องการ            

วิตักกสูตร อกุศลวิตก สักการสูตร ผู้ถูกสักการะครอบงำเข้าถึงอบายนรก สัททสูตร จวมานสูตร 2433
 

พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕

๑. วิตักกสูตร อกุศลวิตก ๓ ประการ
๑ วิตกประกอบด้วย การไม่ให้ผู้อื่นดูหมิ่นตน
๒ วิตกประกอบด้วยลาภ สักการะ และความสรรเสริญ
๓ วิตกประกอบด้วย ความเอ็นดูในผู้อื่น

๒. สักการสูตร ผู้ถูกสักการะครอบงำจิต
๑ เราเห็นสัตว์ ผู้อันสักการะ ครอบงำย่ำยีจิตแล้ว เมื่อตายไป เข้าถึงอบายนรก
๒ เราเห็นสัตว์ อันความไม่สักการะ ครอบงำ ย่ำยีจิตแล้ว เมื่อตายไป เข้าถึงอบาย นรก
๓ เราเห็นสัตว์ อันสักการะ และความไม่สักการะ ทั้งสองครอบงำย่ำยีจิตแล้ว เข้าถึงอบาย นรก

๓. สัททสูตร การเปล่งเสียงของเทวดา (พระสูตรนี้น่าสงสัยว่าเป็นพุทธวจนหรือไม่)
-สมัยใด พระอริยสาวก คิดจะปลงผม และหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกบวชเป็นบรรพชิต
-พระอริยสาวก ประกอบความเพียร ในการเจริญ โพธิปักขิยธรรม ๗ ประการ
-ในสมัยใด พระอริยสาวก กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้

๔. จวมานสูตร อาการของเทวดาใกล้ตาย
๑ ดอกไม้ย่อมเหี่ยวแห้ง
๒ ผ้าย่อมเศร้าหมอง
๓ เหงื่อย่อมไหลออกจากรักแร้
๔ ผิวพรรณเศร้าหมอง ย่อมปรากฏที่กาย
๕ เทวดาย่อมไม่ยินดีในทิพอาสน์ของตน

เทวดาอื่นๆ ยินดีกะเทพบุตรนั้นว่า
๑ แน่ะท่านผู้เจริญ ขอท่านจากเทวโลกนี้ ไปสู่สุคติ
๒ ครั้นไปสู่สุคติแล้ว ขอจงได้ลาภที่ท่านได้ดีแล้ว
๓ ครั้นได้ลาภที่ท่านได้ดีแล้ว ขอจงเป็นผู้ตั้งอยู่ด้วยดี

เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 
รวมพระสูตรบุคคลสำคัญ
พระโมคคัลลานะ
พระสารีบุตร
พระเทวทัต
นิครนถ์ปริพาชก
พระมหากัปปินะ
พระอนุรุทธะ
พระอุบาลี
(ดูทั้งหมด)
 
สารบาญพระไตรปิฎก
เล่มที่ ๘-๓๓ (๒๕ เล่ม) ทุกพระสูตร
1. ฉบับหลวง
2. ฉบับมหาจุฬาฯ
3. อรรถกถาไทย
4. ฉบับภาษาบาลี
5. อรรถกถา-บาลี
6. Pali Roman (Roman Script)
7. Atthakatha PaliRoman
 

 


 


พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๖๕

๑. วิตักกสูตร
อกุศลวิตก ๓ ประการ

            [๒๕๘] จริงอยู่ พระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาค ผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย อกุศลวิตก ๓ ประการ ๓ ประการเป็นไฉน คือ
๑ วิตกประกอบด้วย การไม่ให้ผู้อื่นดูหมิ่นตน
๒ วิตกประกอบด้วยลาภ สักการะ และความสรรเสริญ
๓ วิตกประกอบด้วย ความเอ็นดูในผู้อื่น

             ดูกรภิกษุทั้งหลายอกุศลวิตก ๓ ประการนี้แล

            พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสคาถา ประพันธ์ดังนี้ว่า บุคคลผู้ประกอบแล้ว ด้วยการไม่ให้ผู้อื่นดูหมิ่นตน ผู้หนักใน ลาภและ สักการะ มีปรกติยินดีกับ ด้วยอำมาตย์ทั้งหลาย เป็น ผู้ห่างไกลจากความสิ้นไป แห่ง สังโยชน์ ภิกษุใดในธรรม วินัยนี้ ละบุตร ปศุสัตว์ การให้กระทำวิวาหะ และการ หวงแหน เสียได้ ภิกษุผู้เช่นนั้นๆ เป็นผู้ควรเพื่อจะบรรลุ สัมโพธิญาณอันสูงสุด


--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก ๒๖๕-๒๖๖

๒. สักการสูตร
ผู้ถูกสักการะครอบงำจิต

            [๒๕๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
๑ เราได้เห็นสัตว์
ผู้อันสักการะ ครอบงำย่ำยีจิตแล้ว เมื่อตายไป เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
๒ เราได้เห็นสัตว์ อันความไม่สักการะ ครอบงำ ย่ำยีจิตแล้ว เมื่อตายไป เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
๓ เราได้เห็นสัตว์ อันสักการะ และ ความไม่สักการะ ทั้งสองครอบงำย่ำยีจิตแล้ว เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวคำนั้นแล้วว่า

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราได้เห็นสัตว์ อันสักการะ ครอบงำย่ำยีจิตแล้ว ... เข้าถึงอบายทุคติ วินิบาต นรก เพราะได้ฟังต่อสมณะ หรือพราหมณ์อื่นก็หามิได้ ก็แต่ว่าเรารู้มาเอง เห็นมาเอง ทราบมาเอง จึงกล่าว คำนั้น แล ว่า

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราได้เห็นสัตว์ อันสักการะครอบงำ ย่ำยีจิตแล้ว เข้าถึง อบาย ทุคติ วินิบาต นรกเราได้เห็นสัตว์อันความไม่สักการะครอบงำย่ำยีจิตแล้ว เข้าถึง อบาย ทุคติ วินิบาตนรก เราได้เห็นสัตว์ อันสักการะ และความไม่สักการะทั้งสอง ครอบงำย่ำยีจิตแล้ว เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก

            สมาธิของบุคคลใด ผู้อันบุคคลสักการะอยู่ ผู้มีปรกติอยู่ด้วย ความไม่ประมาท ย่อมไม่หวั่นไหวเพราะ สักการะและความ ไม่สักการะทั้งสอง พระอริยเจ้าทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็น ต้นกล่าว บุคคลมีปรกติเพ่ง ผู้มีความเพียรเป็นไปติดต่อ ผู้เห็นแจ้งทิฐิ อันสุขุม มีความสิ้นอุปาทานเป็นที่มายินดี ว่าเป็นสัปบุรุษ


--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก ๒๖๖-๒๖๗

๓. สัททสูตร
การเปล่งเสียงของเทวดา

(พระสูตรนี้น่าสงสัยว่าเป็นพุทธวจนหรือไม่ เทวดาเปล่งเสียง พระศาสดาไม่เคยตรัสไว้ ในพระสูตรใดเลย โดยเฉพาะข้อ ๑ เพียงแค่สาวกปลงผมออกบวชก็เปล่งเสียง ทั้งๆที่ยังไม่ได้ รู้ธรรมอะไรเลย และ ข้อ ๒ เปล่งเสียงเมื่อสาวกเจริญโพธิปักขิยธรรม ๗ ประการ โดยปกติ พระองค์จะใช้คำว่าโพธิปักขิยธรรม ๓๗)

            [๒๖๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เสียง (ที่เกิดขึ้นเพราะปีติ) ของเทวดา ๓ อย่างนี้ ย่อมเปล่งออกไปในเหล่าเทวดา เพราะอาศัยสมัยแต่สมัย ๓ อย่างเป็นไฉน

         (๑) ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในสมัยใด พระอริยสาวก ย่อมคิดเพื่อจะปลงผม และหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกบวชเป็นบรรพชิต ในสมัยนั้น เสียงของเทวดา ย่อมเปล่งออกไป ในเหล่าเทวดาว่า พระอริยสาวกนี้ย่อมคิด เพื่อทำสงครามกับมาร ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเสียงของเทวดาข้อที่ ๑ ย่อมเปล่งออกไปในเหล่าเทวดา เพราะอาศัยสมัยแต่สมัย

          (๒) อีกประการหนึ่ง ในสมัยใด พระอริยสาวก ประกอบความเพียร ในการเจริญ โพธิปักขิยธรรม ๗ ประการ ในสมัยนั้น เสียงของเทวดา ย่อมเปล่งออกไปในเหล่าเทวดา ว่า พระอริยสาวกนั้น ทำสงครามกับมาร ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเสียงของเทวดา ข้อที่ ๒ ย่อมเปล่งออกไปในเหล่าเทวดา เพราะอาศัยสมัยแต่สมัย

          (๓) อีกประการหนึ่ง ในสมัยใด พระอริยสาวก กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ในสมัยนั้น เสียงของเทวดา ย่อมเปล่งออกไปในเหล่าเทวดาว่า พระอริยสาวกนี้พิชิตสงคราม ชนะแดนแห่งสงครามนั้นแล้ว ครอบครองอยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเสียงของเทวดาข้อที่ ๓ ย่อมเปล่งออกไปในเหล่าเทวดา เพราะอาศัยสมัยแต่สมัย

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย เสียงของเทวดา ๓ ประการนี้ แลย่อมเปล่ง ออกไป ในเหล่า เทวดาเพราะอาศัยสมัยแต่สมัย แม้เทวดาทั้งหลาย เห็นสาวกของพระสัมมา สัมพุทธเจ้า ผู้ชนะสงครามแล้ว เป็นผู้ใหญ่ ปราศจาก ความครั่นคร้าม ย่อมนอบน้อม ด้วยคำว่า ข้าแต่ท่านบุรุษอาชาไนย ขอนอบน้อมแด่ท่านผู้ครอบงำกิเลส ที่เอาชนะ ได้ยาก ชนะเสนา แห่งมัจจุ ผู้กางกั้นไว้มิได้ ด้วยวิโมกข์เทวดาทั้งหลาย ย่อมนอบน้อม พระขีณาสพ ผู้มีอรหัตผลอันบรรลุแล้วนี้ ด้วย ประการฉะนี้ เพราะเทวดาทั้งหลาย ไม่เห็นเหตุแม้มีประมาณ น้อย ของพระขีณาสพ ผู้เป็นบุรุษอาชาไนยนั้นอันเป็นเหตุ ให้ท่านเข้าถึงอำนาจของมัจจุได้ ฉะนั้น จึงพากันนอบน้อม พระขีณาสพนั้น


--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก ๒๖๗-๒๖๙

๔. จวมานสูตร
อาหารของเทวดาใกล้ตาย

            [๒๖๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดเทวดาเป็นผู้จะต้องจุติจากเทพนิกาย (ใกล้ตาย) เมื่อนั้น นิมิต ๕ ประการ ย่อมปรากฏแก่เทวดานั้น คือ
๑ ดอกไม้ย่อมเหี่ยวแห้ง
๒ ผ้าย่อมเศร้าหมอง
๓ เหงื่อย่อมไหลออกจากรักแร้
๔ ผิวพรรณเศร้าหมอง ย่อมปรากฏที่กาย
๕ เทวดาย่อมไม่ยินดีในทิพอาสน์ของตน

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวดาทั้งหลายทราบว่า เทพบุตรนี้จะต้องเคลื่อนจากเทพ นิกาย ย่อมพลอยยินดีกะเทพบุตรนั้น ด้วยถ้อยคำ ๓ อย่างว่า
๑ แน่ะท่านผู้เจริญ ขอท่านจากเทวโลกนี้ ไปสู่สุคติ
๒ ครั้นไปสู่สุคติแล้ว ขอจงได้ลาภที่ท่านได้ดีแล้ว
๓ ครั้นได้ลาภที่ท่านได้ดีแล้ว ขอจงเป็นผู้ตั้งอยู่ด้วยดี

            [๒๖๒] เมื่อพระผู้มีพระภาค ตรัสอย่างนี้แล้ว ภิกษุรูปหนึ่งได้ทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอแล เป็นส่วนแห่งการไปสู่สุคติ ของเทวดาทั้งหลาย อะไรเป็นส่วนแห่งลาภ ที่เทวดาทั้งหลายได้ดีแล้ว อนึ่ง อะไรเป็นส่วนแห่งการตั้งอยู่ ด้วยดี ของเทวดาทั้งหลาย พระเจ้าข้า

            พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความเป็นมนุษย์แล เป็นส่วนแห่ง การไปสู่สุคติของเทวดาทั้งหลาย เทวดาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ย่อมได้ศรัทธาใน ธรรมวินัย ที่พระตถาคต ประกาศแล้ว นี้แลเป็นส่วนแห่งลาภ ที่เทวดาทั้งหลายได้ดีแล้ว ก็ศรัทธาของเทวดานั้นแล เป็นคุณชาติตั้งลง มีมูลเกิดแล้ว ประดิษฐานมั่นคง อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆ ในโลก พึงนำไปไม่ได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้แล เป็นส่วนแห่งการตั้งอยู่ด้วยดี ของเทวดาทั้งหลาย

            เมื่อใด เทวดาจะต้องจุติจากเทพนิกาย เพราะความสิ้นอายุ เมื่อนั้น เสียง ๓ อย่างของเทวดา ทั้งหลาย ผู้พลอยยินดี ย่อมเปล่งออกไปว่า แน่ะท่านผู้เจริญ ท่านจากเทวโลกนี้ไป แล้วจงถึงสุคติ จงถึงความเป็นสหายแห่งมนุษย์ทั้งหลายเถิด ท่านเป็นมนุษย์แล้ว จงได้ศรัทธาอย่างยิ่ง ในพระสัทธรรม ศรัทธาของท่านนั้น พึงเป็นคุณชาติตั้งลงมั่น มีมูลเกิดแล้ว มั่นคงในพระสัทธรรม ที่พระตถาคตประกาศดีแล้ว อันใครๆ พึงนำไปมิได้ตลอดชีพ

            ท่านจงละกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต และอย่ากระทำ อกุศลกรรมอย่างอื่น ที่ประกอบ ด้วยโทษ กระทำกุศลด้วยกาย ด้วยวาจาให้มาก กระทำกุศล ด้วยใจหา ประมาณมิได้ หาอุปธิมิได้ แต่นั้นท่านจงกระทำบุญ อันให้เกิดสมบัตินั้นให้มาก ด้วยทาน แล้วยังสัตว์แม้เหล่า อื่นให้ตั้งอยู่ในพระสัทธรรม ในพรหมจรรย์ เมื่อใด เทวดา พึงรู้แจ้ง ซึ่งเทวดาผู้จะจุติ เมื่อนั้น ย่อมพลอยยินดีด้วยความ อนุเคราะห์นี้ว่า แน่ะเทวดา ท่านจงมาบ่อยๆ

 





หนังสือพุทธวจน ธรรมะของพระศาสดา
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์