พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๔๒-๒๔๓
๘. อาสวสูตรที่ ๒
กิเลสในสันดาน
[๒๓๕] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาค ผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาสวะ ๓ ประการ นี้ ๓ ประการเป็นไฉน คือ
๑
กามาสวะ
๒
ภวาสวะ
๒ อวิชชาสวะ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาสวะ ๓ ประการนี้แล
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสคาถา ประพันธ์ดังนี้ว่า ภิกษุใดมีกามาสวะสิ้นไปแล้ว สำรอกอวิชชาออกได้แล้ว และมี ภวาสวะ หมดสิ้นแล้ว ภิกษุนั้นพ้นวิเศษแล้ว หาอุปธิ มิได้ ชนะมารพร้อมด้วยพาหนะแล้ว ย่อมทรงไว้ซึ่งร่างกาย อันมีในที่สุด
เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล
อาสวะ หมายถึงกิเลสที่หมักหมม หรือดองอยู่ในสันดาน
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๔๓-๒๔๔
๙. ตัณหาสูตร
[๒๓๖] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาค ผู้เป็น พระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตัณหา ๓ ประการ นี้ ๓ ประการเป็นไฉน คือ
๑ กามตัณหา
๒ ภวตัณหา
๓ วิภวตัณหา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตัณหา ๓ ประการนี้แล
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสคาถา ประพันธ์ดังนี้ว่า ชนทั้งหลาย ประกอบแล้วด้วยตัณหา เครื่องประกอบสัตว์ไว้ มีจิตยินดี แล้วในภพน้อย และภพใหญ่ ชนเหล่านั้นประกอบแล้วด้วยโยคะ คือ บ่วงแห่งมาร เป็นผู้ไม่มีความเกษมจาก โยคะ สัตว์ทั้งหลายผู้ถึงชาติและมรณะ ย่อมไปสู่สงสาร ส่วนสัตว์เหล่าใดละตัณหาได้ขาด ปราศจากตัณหาในภพน้อย และภพใหญ่ ถึงแล้ว ซึ่ง ความสิ้นไปแห่งอาสวะ สัตว์เหล่านั้นแล ถึงฝั่งแล้วในโลก
เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๔๔-๒๔๕
๑๐. มารเธยยสูตร
ธรรมที่เป็นเหตุให้ล่วงพ้นบ่วงมาร
[๒๓๗] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาค ผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วย ธรรม ๓ ประการ ก้าวล่วงบ่วงแห่ง มารแล้ว ย่อมรุ่งเรืองดุจอาทิตย์ฉะนั้น ธรรม ๓ ประการเป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุในธรรมวินัยนี้
๑
เป็นผู้ประกอบแล้วด้วยศีลขันธ์ อันเป็นของ พระอเสขะ
๒
เป็นผู้ประกอบแล้วด้วยสมาธิขันธ์ อันเป็นของ พระอเสขะ
๓
เป็นผู้ประกอบแล้วด้วยปัญญาขันธ์ อันเป็นของ พระอเสขะ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบแล้วด้วยธรรม ๓ ประการนี้แล ก้าวล่วงบ่วง แห่งมารแล้ว ย่อมรุ่งเรืองดุจพระอาทิตย์ฉะนั้น
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสคาถา ประพันธ์ดังนี้ว่า ภิกษุใด เจริญศีล สมาธิ และปัญญาดีแล้ว ภิกษุนั้น ก้าวล่วงบ่วงแห่ง มารได้แล้ว ย่อมรุ่งเรือง ดุจพระอาทิตย์ ฉะนั้น
เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล |