พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๓๓-๒๓๘
๙. สิกขาสูตร
ผู้มีสิกขาเป็นอานิสงส์
[๒๒๔] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาค ผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเป็นผู้มีสิกขาเป็นอานิสงส์ มีปัญญายิ่ง มีวิมุตติเป็นสาระ มีสติเป็นใหญ่ อยู่เถิด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเธอทั้งหลายมีสิกขาเป็นอานิสงส์ มีปัญญายิ่ง มีวิมุตติ เป็นสาระ มีสติเป็นใหญ่อยู่ พึงหวังผล ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ อรหัตผลใน ปัจจุบัน หรือ เมื่อยังมีอุปาทานเหลืออยู่ ความเป็นพระอนาคามี
พระผู้มีพระภาคตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสคาถา ประพันธ์ดังนี้ว่า
เรากล่าวมุนีผู้มีสิกขาบริบูรณ์ มีความไม่เสื่อมเป็นธรรมดา มีปัญญายิ่ง มีปรกติ เห็นที่สุด คือความสิ้นไปแห่งชาติ ผู้ทรงไว้ซึ่งร่างกายอันมีในที่สุดนั้นแล ว่าผู้ละมาร ผู้ถึงฝั่ง แห่งชรา เพราะเหตุนั้น ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จงเป็นผู้ยินดีในฌาน มีจิต ตั้งมั่นแล้วในกาลทุกเมื่อ มี ความเพียร มีปรกติเห็นที่สุด คือ ความสิ้นไปแห่งชาติ ครอบงำมารพร้อมด้วยเสนาได้แล้ว เป็นผู้ถึงฝั่งแห่งชาติ และมรณะ
เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล
-----------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๓๔-๒๓๕
๑๐. ชาคริยสูตร
ภิกษุผู้ตื่นอยู่
[๒๒๕] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเป็น พระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุ พึงเป็นผู้มีความเพียรเป็นเครื่องตื่น มีสติสัมปชัญญะมีจิตตั้งมั่น เบิกบาน ผ่องใส และพึง เป็นผู้เห็นแจ้งในกุศลธรรมทั้งหลาย สมควรแก่กาลในการประกอบกรรมฐานนั้นเนืองๆ เถิด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุมีความเพียรเป็นเครื่องตื่น มีสติสัมปชัญญะ มีจิต ตั้งมั่น เบิกบานผ่องใส เห็นแจ้งในกุศลธรรมทั้งหลายสมควรแก่กาล ในการประกอบ กรรมฐานนั้นเนืองๆ พึงหวังผล ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ อรหัตผลในปัจจุบัน หรือ เมื่อยังมีอุปาทานเหลืออยู่ ความเป็นพระอนาคามี
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสคาถา ประพันธ์ดังนี้ว่า
เธอทั้งหลายตื่นอยู่ จงฟังคำนี้ เธอเหล่าใดผู้หลับแล้ว เธอเหล่านั้นจงตื่น ความเป็นผู้ตื่นจากความหลับเป็นคุณ ประเสริฐ เพราะภัยย่อมไม่มีแก่ผู้ตื่นอยู่ ผู้ใดตื่นอยู่ มีสติสัมปชัญญะ มีจิตตั้งมั่น เบิกบาน และผ่องใส พิจารณาธรรมอยู่โดยชอบโดยกาล อันควร ผู้นั้นมีสมาธิ เป็นธรรมเอกผุดขึ้นแล้ว พึงกำจัดความมืดเสียได้ เพราะเหตุนั้นแล ภิกษุพึงคบธรรมเครื่องเป็นผู้ตื่น ภิกษุผู้มีความเพียร มีปัญญาเป็นเครื่องรักษาตน มีปรกติได้ฌาน ตัด กิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ด้วยชาติและชราได้แล้ว พึงถูกต้อง ญาณ อันเป็นเครื่องตรัสรู้ อย่างยอดเยี่ยมในอัตภาพนี้แล
เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล
-----------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๓๕-๒๓๖
๑๑. อปายสูตร
บุคคลผู้จะเกิดในอบาย
[๒๒๖] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาค ผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ชน ๒ พวกนี้ จักเกิดในอบาย จักเกิดในนรก เพราะไม่ละ ความประพฤติชั่วช้า ๒ พวกเป็นไฉน คือ
๑
ผู้ไม่ใช่พรหมจารีปฏิญาณว่าเป็นพรหมจารี
๒
ผู้ตามกำจัดชนผู้ประพฤติพรหมจรรย์ อันบริสุทธิ์บริบูรณ์ ด้วยอพรหมจรรย์อันไม่มีมูล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ชน ๒ พวกนี้แล จักเกิดในอบายจักเกิดในนรก เพราะไม่ละ ความประพฤติชั่วช้านี้
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสคาถา ประพันธ์ดังนี้ว่า
ชนผู้กล่าวคำไม่จริง ย่อมเข้าถึงนรก ก็หรือชนใดทำบาปกรรมแล้วกล่าวว่า ไม่ได้ทำ แม้คนทั้ง ๒ นั้นย่อมเข้า ถึงนรกเหมือนกัน ชนทั้ง ๒ พวกนั้นเป็นมนุษย์ผู้มีกรรม อันเลวทราม ละไปแล้ว ย่อมเป็นผู้เสมอกันในโลกหน้า คนเป็นอันมากอันผ้ากาสาวะ พันคอ มีธรรมอันลามก ไม่สำรวม คนลามกเหล่านั้นย่อมเข้าถึงนรก เพราะกรรมอัน ลามกทั้งหลาย ก้อนเหล็กร้อนเปรียบด้วยเปลวไฟ อันผู้ทุศีลบริโภคแล้ว ยังประเสริฐ เสียกว่าผู้ทุศีล ไม่สำรวม พึงบริโภคก้อนข้าวของชาวแว่นแคว้น จะประเสริฐอะไร
เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล
-----------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๓๖-๒๓๗
๑๒. ทิฏฐิสูตร
ภพเป็นสื่งที่ไม่น่ายินดี
[๒๒๗] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาค ผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวดาและ มนุษย์ทั้งหลายอัน ทิฐิ ๒ อย่าง พัวพันแล้ว
บางพวกย่อมติดอยู่ บางพวกย่อมแล่นเลยไป ส่วนพวกที่มีจักษุย่อมเห็น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวดาและมนุษย์บางพวก ย่อมติดอยู่อย่างไรเล่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายมีภพเป็นที่มายินดี ยินดีแล้วในภพ เพลิดเพลิน ด้วยดีในภพ เมื่อพระตถาคตแสดงธรรมเพื่อความดับภพ จิตของเทวดา และมนุษย์เหล่านั้น ย่อมไม่แล่นไป ย่อมไม่เลื่อมใส ย่อมไม่ดำรงอยู่ด้วยดี ย่อมไม่ น้อมไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวดาและมนุษย์บางพวกย่อมติดอยู่อย่างนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวดาและมนุษย์บางพวก ย่อมแล่นเลยไปอย่างไรเล่า ก็เทวดาและมนุษย์บางพวกอึดอัด ระอา เกลียดชังอยู่ด้วยภพนั่นแล ย่อมเพลิดเพลิน ความขาดสูญว่า แน่ะท่านผู้เจริญทั้งหลาย ได้ยินว่า เมื่อใด ตนนี้เมื่อตายไป ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ เบื้องแต่ตายย่อมไม่เกิดอีก นี้ละเอียด นี้ประณีต นี้ถ่องแท้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวดาและมนุษย์บางพวก ย่อมแล่นเลยไปอย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนพวกที่มีจักษุย่อมเห็นอย่างไรเล่า ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเห็นขันธ์ ๕ ที่เกิดแล้วโดยความเป็น (ขันธ์ ๕ ที่เกิดแล้ว) จริง ครั้นเห็นขันธ์ ๕ ที่เกิดแล้วโดยความเป็นจริง ย่อมเป็นผู้ปฏิบัติ เพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับขันธ์ ๕ ที่เกิดแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนพวกที่มีจักษุย่อมเห็นอย่างนี้แล
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสคาถา ประพันธ์ดังนี้ว่า
อริยสาวกใดเห็นขันธ์ ๕ ที่เกิดแล้ว และธรรมเป็นเครื่องก้าวล่วงขันธ์ ๕ ที่เกิด แล้ว โดยความเป็นจริง ย่อมน้อมไปในนิพพานตามความเป็นจริง เพราะ ภวตัณหา หมดสิ้นไป ถ้าว่าอริยสาวกนั้น กำหนดรู้ขันธ์ ๕ * ที่เกิดแล้ว ปราศจากตัณหา ในภพน้อย และ ภพใหญ่ แล้วไซร้ ภิกษุทั้งหลายย่อมไม่มาสู่ ภพใหม่ เพราะความไม่เกิด แห่งอัตภาพ ที่เกิดแล้ว
เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล
* กำหนดรู้ขันธ์ ๕ หมายถึง
การพิจารณาเห็นอุปาทานขันธ์ ๕ (ความยึดในรูป เวทนา สัญญา..) ด้วยปัญญาอันยิ่งว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ (ขันธ์๕ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ อุปาทานขันธ์ก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เช่นกัน)
|