เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
ค้นหาคำที่ต้องการ            

ธรรมสูตร สุกกธรรม ๒ ประการย่อมรักษาโลก, อชาตสูตร ธรรมชาติอันไม่เกิดแล้วมีอยู่ ธาตุสูตร สัลลานสูตร 2422
 

พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕

๕. ธรรมสูตร ว่าด้วยธรรมฝ่ายขาว
สุกกธรรม ๒ ประการนี้ ย่อมรักษาโลก คือ หิริ และ โอตตัปปะ
ถ้าว่าสุกกธรรม ๒ ประการนี้จะไม่พึงรักษาโลกไซร้ ในโลกนี้ ก็ไม่พึงปรากฏว่า มารดา น้า ป้า ภรรยา ของอาจารย์ โลกจักถึงความปะปนกันไป เหมือนอย่างแพะ แกะ ไก่ สุกร สุนัข สุนัขจิ้งจอก ฉะนั้น

๖. อชาตสูตร ว่าด้วยธรรมชาติที่ไม่เกิด
ธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยไม่ทำแล้วไม่ปรุงแต่งแล้ว มีอยู่ ถ้าธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยไม่ทำแล้ว ไม่ปรุงแต่งแล้ว จักไม่ได้มีแล้วไซร้ การสลัดออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว จะไม่พึงปรากฏ ในโลกนี้เลย ..ก็เพราะเหตุที่ธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัย ไม่ทำแล้ว ไม่ปรุงแต่ง แล้วมีอยู่ ฉะนั้น การสลัดออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว จึงปรากฏ

๗. ธาตุสูตร ว่าด้วยนิพพานธาตุ
นิพพานธาตุ ๒ ประการเป็นไฉน คือ
-สอุปาทิเสส นิพพานธาตุ ภิกษุนั้นย่อมเสวยอารมณ์ ทั้งที่พึงใจและ ไม่พึงใจ ยังเสวยสุขและ ทุกข์อยู่ (ยังเสวยเวทนา) เพราะความที่อินทรีย์ ๕ เหล่าใดเป็นธรรมชาติ ไม่บุบสลาย อินทรีย์ ๕ เหล่านั้น ของเธอ ยังตั้งอยู่นั่นเทียว
-อนุปาทิเสส นิพพานธาตุ
เป็นธรรมชาติอันกิเลส ทั้งหลาย มีตัณหาเป็นต้นให้เพลิดเพลิน มิได้แล้ว จัก (ดับ) เย็น (ไม่ได้ เสวยเวทนา)

๘. สัลลานสูตร ว่าด้วยการหลีกเร้น
เธอทั้งหลายจงเป็นผู้มีความหลีกเร้น เป็นที่มายินดียินดีแล้วในความหลีกเร้น ประกอบจิต ของตนไว้ ในสมถะในภายในเนืองๆ มีฌานไม่เสื่อม ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคารอยู่เถิด ..พึงหวัง ได้ผล ๒ อย่าง คือ อรหัตผล ในปัจจุบัน หรือเมื่อยังมีอุปาทานเหลืออยู่ ความเป็นพระอนาคามี

เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 
รวมพระสูตรบุคคลสำคัญ
พระโมคคัลลานะ
พระสารีบุตร
พระเทวทัต
นิครนถ์ปริพาชก
พระมหากัปปินะ
พระอนุรุทธะ
พระอุบาลี
(ดูทั้งหมด)
 
สารบาญพระไตรปิฎก
เล่มที่ ๘-๓๓ (๒๕ เล่ม) ทุกพระสูตร
1. ฉบับหลวง
2. ฉบับมหาจุฬาฯ
3. อรรถกถาไทย
4. ฉบับภาษาบาลี
5. อรรถกถา-บาลี
6. Pali Roman (Roman Script)
7. Atthakatha PaliRoman
 

 


 


พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๒๙

๕. ธรรมสูตร
ว่าด้วยธรรมฝ่ายขาว

           [๒๒๐] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาค ผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สุกกธรรม ๒ ประการนี้ย่อมรักษาโลก ๒ ประการเป็นไฉนคือ หิริ ๑ โอตตัปปะ ๑

           ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าว่าสุกกธรรม ๒ ประการนี้จะไม่พึงรักษาโลกไซร้ ในโลกนี้ ก็ไม่พึงปรากฏว่า มารดา น้า ป้า ภรรยาของอาจารย์ หรือว่าภรรยาของครู โลกจักถึง ความปะปนกันไป เหมือนอย่างแพะแกะ ไก่ สุกร สุนัข สุนัขจิ้งจอก ฉะนั้น

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะเหตุที่ สุกกธรรม ๒ ประการนี้ยังรักษาโลกอยู่ ฉะนั้น จึงยัง ปรากฏ ว่า มารดา น้า ป้า ภรรยา ของอาจารย์ หรือว่า ภรรยาของครู

           พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้นพระผู้มีพระภาคตรัสคาถา ประพันธ์ดังนี้ว่า

           ถ้าสัตว์เหล่าใด ไม่มีหิริและโอตตัปปะในกาลทุกเมื่อไซร้ สัตว์เหล่านั้นมี สุกกธรรม เป็นมูลปราศไปแล้ว เป็นผู้ถึงชาติ และมรณะ ส่วนสัตว์เหล่าใด เข้าไปตั้งหิริ และโอตตัปปะ ไว้โดยชอบในกาลทุกเมื่อ สัตว์เหล่านั้นมีพรหมจรรย์งอก งาม เป็นผู้สงบ มีภพใหม่สิ้นไปแล้ว

           เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้ว ฉะนี้

-----------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๓๐

๖. อชาตสูตร
ว่าด้วยธรรมชาติที่ไม่เกิด

 

           [๒๒๑] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาค ผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยไม่ทำแล้วไม่ปรุงแต่งแล้วมีอยู่

           ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าว่าธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยไม่ทำ แล้ว ไม่ปรุงแต่งแล้ว จักไม่ได้มีแล้วไซร้ การสลัดออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว จะไม่พึงปรากฏในโลกนี้เลย

           ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะเหตุที่ธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัย ไม่ทำแล้ว ไม่ปรุงแต่งแล้วมีอยู่ ฉะนั้นการสลัดออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว จึงปรากฏ

           พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้นพระผู้มีพระภาคตรัสคาถา ประพันธ์ดังนี้ว่า

           ธรรมชาติอันเกิดแล้ว มีแล้ว เกิดขึ้นพร้อมแล้ว อันปัจจัย ทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว ไม่ยั่งยืน ระคนแล้วด้วยชราและ มรณะ เป็นรังแห่งโรค ผุผัง มีอาหารและตัณหา เป็น แดนเกิด ไม่ควรเพื่อยินดีธรรมชาตินั้น การสลัดออกซึ่ง ธรรมชาตินั้น เป็นบทอันระงับ จะคาดคะเนเอาไม่ได้ ยั่งยืน ไม่เกิด ไม่เกิดขึ้นพร้อม ไม่มีความโศก ปราศจากธุลี ความดับแห่งทุกขธรรมทั้งหลาย คือ ความที่สังขารสงบระงับ เป็นสุข

           เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล

-----------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๓๑-๒๓๒

๗. ธาตุสูตร
ว่าด้วยนิพพานธาตุ

           [๒๒๒] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาค ผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า

           ดูกรภิกษุทั้งหลาย นิพพานธาตุ ๒ ประการนี้ ๒ ประการเป็นไฉน คือ
- สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ ๑
- อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ๑


            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระลง ได้แล้ว มีประโยชน์ของตนอันบรรลุแล้ว มีสังโยชน์ในภพนี้ สิ้นรอบแล้ว หลุดพ้นแล้ว เพราะรู้ โดยชอบ ภิกษุนั้นย่อมเสวยอารมณ์ ทั้งที่พึงใจและ ไม่พึงใจ ยังเสวยสุขและ ทุกข์อยู่ (ยังเสวยเวทนา) เพราะความที่อินทรีย์ ๕ เหล่าใดเป็นธรรมชาติ ไม่บุบสลาย อินทรีย์ ๕ เหล่านั้น ของเธอ ยังตั้งอยู่นั่นเทียว ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่ง โทสะ ความสิ้นไปแห่ง โมหะ ของภิกษุนั้น นี้เราเรียกว่า สอุปาทิเสส นิพพานธาตุ

           ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ อนุปาทิเสส นิพพานธาตุเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระลง ได้แล้ว มีประโยชน์ของตน อันบรรลุแล้ว มีสังโยชน์ในภพสิ้นรอบแล้ว หลุดพ้นแล้ว เพราะรู้โดยชอบเวทนา ทั้งปวง ในอัตภาพนี้แหละของภิกษุนั้น เป็นธรรมชาติอันกิเลส ทั้งหลาย มีตัณหาเป็นต้นให้เพลิดเพลิน มิได้แล้ว จัก (ดับ) เย็น (ไม่ได้เสวยเวทนา) ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นิพพานธาตุ ๒ ประการนี้แล

           พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสคาถา ประพันธ์ดังนี้ว่า

           นิพพานธาตุ ๒ ประการนี้ พระตถาคต ผู้มีจักษุผู้อันตัณหา และทิฐิไม่อาศัยแล้ว ผู้คงที่ประกาศไว้แล้ว อันนิพพานธาตุ อย่างหนึ่งมีในปัจจุบันนี้ ชื่อว่าสอุปาทิเสส เพราะ สิ้นตัณหา เครื่องนำไปสู่ภพ

           ส่วนนิพพานธาตุ (อีกอย่างหนึ่ง) เป็นที่ดับสนิทแห่งภพทั้งหลาย โดยประการทั้งปวง อันมีในเบื้องหน้า ชื่อว่าอนุปาทิเสส ชนเหล่าใดรู้บท อันปัจจัย ไม่ปรุงแต่งแล้วนี้ มีจิตหลุดพ้นแล้วเพราะสิ้นตัณหา เครื่องนำไปสู่ภพ ชน เหล่านั้นยินดี แล้ว ในนิพพานเป็นที่สิ้นกิเลสเพราะบรรลุธรรม อันเป็นสาระ เป็นผู้คงที่ ละภพได้ทั้งหมด

           เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล

-----------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๓๒-๒๓๓

๘. สัลลานสูตร
ว่าด้วยการหลีกเร้น

           [๒๒๓] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาค ผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้นข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเป็นผู้มีความหลีกเร้น เป็นที่มายินดียินดีแล้วในความหลีกเร้น ประกอบจิต ของตนไว้ในสมถะในภายในเนืองๆ มีฌานไม่เสื่อม ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคารอยู่เถิด

            ดูกรภิกษุทั้งหลายเมื่อเธอทั้งหลาย มีความหลีกเร้นเป็นที่มา ยินดี ยินดีแล้วใน ความ หลีกเร้น ประกอบจิตของตนไว้ในสมถะในภายในเนืองๆ มีฌาน ไม่เสื่อม ประกอบด้วย วิปัสสนา พอกพูนสุญญาคารอยู่ พึงหวังได้ผล ๒ อย่าง คือ อรหัตผล ในปัจจุบัน หรือเมื่อยังมีอุปาทานเหลืออยู่ ความเป็นพระอนาคามี

           พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสคาถา ประพันธ์ดังนี้ว่า

           ชนเหล่าใดมีจิตสงบแล้ว มีปัญญาเป็นเครื่องรักษาตน มีสติ มีฌาน ไม่มีความ เพ่งเล็ง ในกามทั้งหลาย ย่อมเห็น แจ้งธรรมโดยชอบ เป็นผู้ยินดีแล้วในความไม่ประมาท มี ปรกติเห็นภัยในความประมาท ชนเหล่านั้นเป็นผู้ไม่ควรเพื่อ ความเสื่อมรอบ ย่อมมีใน ที่ใกล้นิพพานเทียว

           เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล

 

 





หนังสือพุทธวจน ธรรมะของพระศาสดา
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์