พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๐๘
๑. จิตตฌายีสูตร
ว่าด้วยบุคคลผู้มีจิตเลื่อมใส
[๑๙๙] จริงอยู่ พระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาค ผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากำหนดรู้จิตของบุคคลบางคนในโลกนี้ผู้มีจิตผ่องใสด้วยจิตอย่างนี้แล้ว ถ้าในสมัยนี้ บุคคลนี้พึงกระทำกาละไซร้ เขาพึงเกิดในสวรรค์ เหมือนเชิญมาไว้ ฉะนั้น ข้อนั้นเพราะ เหตุไร เพราะจิตของเขาผ่องใส ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะเหตุแห่งจิตผ่องใสแล สัตว์บางพวกในโลกนี้ เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคตรัส คาถา ประพันธ์ดังนี้ว่า
พระพุทธเจ้าทรงทราบบุคคลบางคนในโลกนี้ ผู้มีจิตผ่องใส ได้ ทรงพยากรณ์ เนื้อความนี้แก่ภิกษุทั้งหลาย ในสำนักของพระองค์ ว่า ถ้าในสมัยนี้ บุคคลนี้พึงกระทำ กาละไซร้ บุคคลนี้ พึงเข้าถึงสุคติ เพราะจิตของเขาผ่องใส เขาเป็นอย่างนั้น เหมือน เชิญมา ฉะนั้น เพราะเหตุแห่งจิตผ่องใสแล สัตว์ ทั้งหลายย่อมไปสู่สุคติ
เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล
------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๐๘-๒๑๐
๒. ปุญญสูตร
ว่าด้วยบุญ
[๒๐๐] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาค ผู้เป็นพระอรหันต์ ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายอย่าได้กลัวต่อบุญเลย คำว่าบุญนี้เป็นชื่อแห่งความสุข อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่ารัก น่าพอใจ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เรารู้ด้วยญาณอันวิเศษยิ่ง ซึ่งวิบากอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่ารัก น่าพอใจ ที่ตนเสวยแล้วสิ้นกาลนาน แห่งบุญทั้งหลายที่ตนได้ทำไว้สิ้น กาลนาน เราเจริญเมตตาจิตตลอด ๗ ปีแล้ว ไม่กลับมาสู่โลกนี้ตลอด ๗ สังวัฏฏวิวัฏฏกัป ดูกรภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า เมื่อกัปฉิบหายอยู่ เราเป็นผู้เข้าถึงพรหมโลกชั้น อาภัสสระ เมื่อกัปเจริญอยู่ เราย่อมเข้าถึงวิมานแห่งพรหมที่ว่าง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่าเราเป็นพรหม เป็นมหาพรหม เป็นผู้ยิ่งใหญ่ ใคร ครอบงำไม่ได้ เป็นผู้สามารถเห็นอดีต อนาคตและปัจจุบันโดยแท้ เป็นผู้ยังจิตให้เป็นไป ในอำนาจ อยู่ในวิมานพรหมนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เราได้เป็นท้าวสักกะผู้เป็น จอมเทพ ๓๖ ครั้ง ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ประกอบ ด้วยธรรม เป็นพระธรรมราชา มีสมุทรสาครสี่ เป็นขอบเขต เป็นผู้ชนะวิเศษแล้ว ถึงความเป็นผู้มั่นคงในชนบท ประกอบด้วยรัตนะ ๗ ประการ หลายร้อยครั้ง จะกล่าวใยถึงความเป็นพระเจ้า ประเทศราชเล่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรานั้นดำริว่า บัดนี้ เราเป็นผู้มีฤทธิ์มากอย่างนี้ มีอานุภาพ มาก อย่างนี้ เพราะผลวิบากแห่งกรรมอะไรของเราหนอแล ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรานั้น ดำริว่า บัดนี้ เราเป็นผู้มีฤทธิ์มากอย่างนี้ มีอานุภาพมากอย่างนี้ เพราะผลวิบากแห่งกรรม ๓ ประการของเรา คือ ทาน ๑ ทมะ ๑ สัญญมะ ๑
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสคาถา ประพันธ์ดังนี้ว่า กุลบุตรผู้ใคร่ประโยชน์ พึงศึกษาบุญนั่นแล อันสูงสุดต่อไป ซึ่งมีสุขเป็น กำไร คือ พึงเจริญทาน ๑ ความประพฤติสงบ ๑ เมตตาจิต ๑ บัณฑิตครั้นเจริญธรรม ๓ ประการ อันเป็นเหตุ เกิดแห่งความสุขเหล่านี้แล้ว ย่อมเข้าถึงโลกอันไม่มีความ เบียดเบียน เป็นสุข
เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล
------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๑๐
๓. อุโภอัตถสูตร
ว่าด้วยประโยชน์ทั้งสอง
[๒๐๑] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาค ผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมอย่างหนึ่งอันภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยึดประโยชน์ทั้ง ๒ ไว้ได้ คือ ประโยชน์ในปัจจุบัน ๑ ประโยชน์ในสัมปรายภพ ๑ ธรรมอย่างหนึ่งเป็นไฉน คือ ความไม่ประมาทในกุศลธรรมทั้งหลาย ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมอย่างหนึ่งนี้แล อันภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยึดประโยชน์ทั้ง ๒ ไว้ได้ คือ ประโยชน์ในปัจจุบัน ๑ ประโยชน์ในสัมปรายภพ ๑
พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาค ตรัส คาถา ประพันธ์ดังนี้ว่า
บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญ ความไม่ประมาท ในบุญกิริยา ทั้งหลาย บัณฑิต ไม่ประมาทแล้ว ย่อมยึดประโยชน์ทั้งสอง ไว้ได้ คือ ประโยชน์ในปัจจุบัน ๑ ประโยชน์ ในสัมปราย ภพ ๑ นักปราชญ์เรากล่าวว่าเป็นบัณฑิต เพราะการได้ ประโยชน์ ทั้ง ๒ นั้น
เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วฉะนี้แล
------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๑๐-๒๑๑
๔. เวปุลลปัพพตสูตร
ว่าด้วยร่างกระดูก
[๒๐๒] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาค ผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนี้ ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลหนึ่ง แล่นไปท่องเที่ยวไปตลอดกัป ร่างกระดูก หมู่กระดูก กองกระดูก พึงเป็นกองใหญ่ เหมือนภูเขาเวปุลลบรรพตนี้ ถ้าว่าใครๆ จะพึงรวบรวมไปกองไว้ และ ถ้าว่าส่วนแห่งกระดูกอันใครๆ นำไปแล้วจะไม่พึงฉิบหายไป
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาค ตรัส คาถา ประพันธ์ดังนี้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ ตรัสไว้ดังนี้ว่า กองแห่งกระดูกของบุคคลคนหนึ่ง พึงเป็นกองเสมอด้วยภูเขา โดยกัปหนึ่ง ก็ภูเขาใหญ่ ชื่อเวปุลลบรรพตนี้นั้นแล อันพระ สัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสบอกแล้ว สูงยิ่งกว่าภูเขา คิชฌกูฏ อยู่ใกล้พระนครราชคฤห์ของชาวมคธ เมื่อใด บุคคลย่อม พิจารณาเห็นอริยสัจ คือ ทุกข์ ๑ ธรรมเป็นเหตุเกิดแห่ง ทุกข์ ๑ ธรรมเป็นที่ก้าวล่วงแห่งทุกข์ ๑ อริยมรรค มีองค์ ๘ อันให้ถึงความสงบแห่งทุกข์ ๑ ด้วยปัญญาอันชอบ เมื่อนั้น บุคคลนั้น ท่องเที่ยว ไปแล้ว ๗ ครั้งเป็นอย่างยิ่ง เป็นผู้กระทำ ซึ่งที่สุดแห่งทุกข์ได้ เพราะสังโยชน์ ทั้งปวง สิ้นไป
เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล
------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๑๑-๒๑๒
๕. สัมปชานมุสาวาทสูตร
ว่าด้วยการกล่าวเท็จ(มุสาวาท)
[๒๐๓] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาค ผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลล่วงธรรมอย่างหนึ่งแล้ว เรากล่าวว่า บาปกรรมไรๆอันเขาจะไม่พึงทำไม่มีเลย ธรรมอย่างหนึ่งเป็นไฉน คือ สัมปชานมุสาวาท (การกล่าวเท็จทั้งที่รู้อยู่)
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสคาถา ประพันธ์ดังนี้ว่า บาปกรรม ที่สัตว์ผู้เป็นคนมักพูดเท็จ ล่วงธรรมอย่างหนึ่งแล้ว ข้ามโลกหน้า เสียแล้ว จะไม่พึงทำ ไม่มีเลย
เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล
------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๑๒-๒๑๓
๖. ทานสูตร
ว่าด้วยการให้
[๒๐๔] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาค ผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าว่าสัตว์ทั้งหลาย พึงรู้ผลแห่งการจำแนกทาน เหมือนอย่างเรารู้ไซร้ สัตว์ทั้งหลาย ยังไม่ให้แล้ว ก็จะไม่พึงบริโภค อนึ่ง ความตระหนี่อันเป็นมลทิน จะไม่พึงครอบงำจิต ของสัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่านั้นไม่พึงแบ่งคำข้าวคำหลังจากคำข้าวนั้นแล้ว ก็จะไม่พึง บริโภค ถ้า ปฏิคาหก * ของสัตว์เหล่านั้นพึงมี
* ปฏิคาหกหมายถึงผู้รับของถวาย ส่วนทายกหมายถึงผู้ให้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย แต่เพราะสัตว์ทั้งหลาย ไม่รู้ผลแห่งการจำแนกทาน เหมือน อย่างเรารู้ ฉะนั้น สัตว์ทั้งหลายไม่ให้แล้วจึงบริโภค อนึ่ง ความตระหนี่อันเป็นมลทิน จึงยังครอบงำจิตของสัตว์เหล่านั้น
พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาค ตรัส คาถาประพันธ์ดังนี้ว่า ถ้าว่าสัตว์ทั้งหลาย พึงรู้ผลแห่งการจำแนกทานเหมือนอย่างที พระผู้มีพระภาค ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ตรัสแล้ว โดยวิธีที ผลนั้นเป็นผลใหญ่ไซร้ สัตว์ทั้งหลาย พึงกำจัดความตระหนี่ อันเป็นมลทินเสียแล้ว มีใจผ่องใส พึงให้ทาน ที่ให้แล้ว
มีผลมาก ในพระอริยบุคคลทั้งหลายตามกาลอันควร
อนึ่ง ทายกเป็นอันมาก ครั้นให้ทักษิณาทาน คือ ข้าวในพระทักษิไณยบุคคล ทั้งหลายแล้ว จุติจากความเป็นมนุษย์นี้แล้ว ย่อมไปสู่สวรรค์ และทายกเหล่านั้นผู้ใคร่ กาม ไม่มีความ ตระหนี่ ไปสู่สวรรค์แล้วบันเทิงอยู่ในสวรรค์นั้น เสวยอยู่ ซึ่งผลแห่งการ จำแนกทาน
เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล
------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๑๓-๒๑๕
๗. เมตตาภาวสูตร
ว่าด้วยการเจริญเมตตา
[๒๐๕] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาค ผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้นข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุญญกิริยาวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่ง มีอุปธิกิเลส เป็นเหตุบุญญกิริยาวัตถุทั้งหมดนั้น ย่อมไม่ถึงเสี้ยวที่ ๑๖ แห่งเมตตาเจโตวิมุติ เมตตาเจโตวิมุตินั้นแล ครอบงำบุญญกิริยา วัตถุ เหล่านั้น สว่างไสวไพโรจน์เปรียบเหมือนรัศมีแห่งดาวชนิดใดชนิดหนึ่ง รัศมีดาว ทั้งหมดนั้น ย่อมไม่ถึงเสี้ยวที่ ๑๖ แห่งรัศมีพระจันทร์ รัศมีพระจันทร์นั่นแล ครอบงำรัศมี ดาวเหล่านั้น สว่างไสวไพโรจน์ฉะนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนในเมื่ออากาศโปร่ง ปราศจากเมฆในสารท สมัย ในเดือนท้ายแห่งฤดูฝน พระอาทิตย์ลอยขึ้นไปสู่ท้องฟ้า กำจัดอากาศอันมืดทั้งปวง สว่างไสวไพโรจน์ฉะนั้น อนึ่ง เปรียบเหมือนดาวประกายพฤกษ์ในปัจจุสสมัยแห่งราตรี สว่างไสวไพโรจน์ ฉะนั้น
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสคาถา ประพันธ์ดังนี้ว่า
ผู้ใดมีสติ เจริญเมตตาไม่มีประมาณ สังโยชน์ทั้งหลาย ของ ผู้นั้นผู้พิจารณาเห็น ซึ่งธรรม เป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิ ย่อมเป็น ธรรมชาติเบาบาง ถ้าว่าผู้นั้นมีจิตไม่ประทุษร้าย ซึ่งสัตว์มีชีวิต แม้ชนิดหนึ่ง เจริญเมตตาอยู่ไซร้ ผู้นั้นย่อมชื่อว่าเป็นผู้มีกุศล เพราะการ เจริญเมตตานั้น อันพระอริยบุคคลมีใจอนุเคราะห์ ซึ่งสัตว์มีชีวิตทุกหมู่เหล่า ย่อมกระทำ บุญเป็นอันมาก พระ ราชฤาษี ทั้งหลายทรงชนะซึ่งแผ่นดิน อันเกลื่อนกล่นด้วยหมู่ สัตว์ ทรงบูชาอยู่ซึ่งบุญเหล่าใด (คือ อัสสเมธะ ปุริสเมธะ สัมมาปาสะ วาชเปยยะ นิรัคคพะ) เสด็จเที่ยวไป บุญเหล่านั้นย่อมไม่ถึงแม้เสี้ยวที่ ๑๖ แห่งเมตตาจิต อันบุคคล เจริญดีแล้ว (เหมือนหมู่ดาวทั้งหมด ย่อมไม่ถึงเสี้ยวที่ ๑๖ แห่งรัศมีพระจันทร์ฉะนั้น)
ผู้ใดมีส่วนแห่งจิตประกอบด้วย เมตตาในสัตว์ทุกหมู่เหล่า ย่อมไม่ฆ่าเอง ไม่ใช้ให้ผู้อื่นฆ่า ไม่ชนะเอง ไม่ใช้ผู้อื่นให้ชนะ เวรของผู้นั้นย่อมไม่มีเพราะ เหตุอะไรๆ เลยๆ
เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล |