พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๗๗-๑๘๑
๕. จุนทสูตร
ผู้ถวายภัตมื้อสุดท้าย
[๑๖๒] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาค เสด็จจาริกไป ในมัลลชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ได้เสด็จถึงเมืองปาวา ได้ยินว่า ในที่นั้น พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ณ อัมพวันของ นายจุนทกรรมมารบุตร ใกล้เมืองปาวา นายจุนทกรรมมารบุตร ได้สดับข่าวว่า พระผู้มีพระภาค เสด็จจาริกไปในมัลลชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เสด็จมาถึงเมืองปาวาแล้ว ประทับอยู่ ณ อัมพวันของเรา ใกล้เมืองปาวา
ลำดับนั้นแล นายจุนทกรรมมารบุตร เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ทรงชี้แจงให้นายจุนท กรรมมารบุตร เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญร่าเริง ด้วยธรรมีกถา ลำดับนั้นแล นายจุนทกรรมมารบุตร อันพระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้เห็นแจ้ง ให้สมาทานให้อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาค พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ จงทรงรับภัตของข้าพระองค์ เพื่อเสวยใน วันพรุ่งนี้ พระผู้มีพระภาค ทรงรับนิมนต์โดยดุษณีภาพ ลำดับนั้นแล นายจุนทกรรม มารบุตร ทราบว่า พระผู้มีพระภาคทรงรับนิมนต์แล้ว ลุกจากอาสนะถวายบังคม กระทำประทักษิณแล้วหลีกไป
ครั้งนั้น เมื่อล่วงราตรีนั้นไป นายจุนทกรรมมารบุตร สั่งให้ตกแต่งขาทนีย โภชนียาหาร อันประณีต และเนื้อสุกรอ่อน เป็นอันมากในนิเวศน์ของตน แล้วให้กราบทูล ภัตกาลแด่พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถึงเวลาแล้ว ภัตสำเร็จแล้ว ครั้งนั้น เป็นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตร และจีวรเสด็จเข้าไปยังนิเวศน์ ของ นายจุนทกรรมมารบุตร พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ แล้วประทับนั่ง เหนืออาสนะ ที่เขาปู ลาดถวาย ครั้นแล้วตรัสกะ นายจุนทกรรมมารบุตรว่า
ดูกรจุนทะ เนื้อสุกรอ่อนอันใด ท่านได้ตกแต่งไว้ ท่านจงอังคาสเราด้วย เนื้อ สุกรอ่อน * นั้น ส่วนขาทนียโภชนียาหารอื่นใด ท่านได้ตกแต่งไว้ ท่านจงอังคาสภิกษุ สงฆ์ ด้วยขาทนียโภชนียาหารนั้นเถิด นายจุนทกรรมมารบุตร ทูลรับพระผู้มีพระภาค แล้ว อังคาสพระผู้มีพระภาค ด้วยเนื้อสุกรอ่อนที่ได้ตกแต่งไว้ และอังคาสภิกษุสงฆ์ ด้วย ขาทนียโภชนียาหาร อย่างอื่นที่ได้ตกแต่งไว้ ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค ตรัสกะ นายจุนทกรรมมารบุตรว่า
ดูกรจุนทะ ท่านจงฝัง เนื้อสุกรอ่อน* ที่เหลืออยู่นั้นเสียในบ่อ เราไม่เห็นบุคคล ผู้บริโภค เนื้อสุกรอ่อน นั้น แล้วพึงให้ย่อยไปโดยชอบ ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ นอกจากตถาคต นายจุนทกรรมมารบุตร ทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว ฝังเนื้อสุกรอ่อน ที่ยังเหลือเสียในบ่อ แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจง ให้นายจุนทกรรมมารบุตรเห็นแจ้ง ให้สมาทานให้อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา เสด็จลุกจากอาสนะแล้วหลีกไป
* พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๐ หน้าที่ ๑๒๓-๑๒๕ ข้อที่ [๑๑๗] ในมหาปรินิพพานสูตร
ใช้คำว่า "สุกรมัททวะ" ซึ่งใช้ตามคำบาลี (สูกรมทฺทวํ) อธิบายว่าเป็นชื่ออาหารชนิดหนึ่งซึ่งปรุงด้วยเห็ด อย่างหนึ่ง ซึ่งเห็ดชนิดนั้นหมูชอบกิน ไม่ได้แปลว่าเนื่อสุกรอ่อน ตามพระสูตรนี้ (นายจุนท กัมมารบุตร ให้ตระเตรียมของเคี้ยวของฉัน อันประณีต และ สุกรมัททวะ เป็นอันมาก ในนิเวศน์ของตน ) |
|
[๑๖๓] ครั้งนั้นแล เมื่อพระผู้มีพระภาค ทรงเสวยภัตของนายจุนท กรรมมารบุตร แล้ว เกิดอาพาธกล้า เวทนากล้า มีการลงพระโลหิต ใกล้ต่อนิพพาน ได้ยินว่า ในสมัยนั้น พระผู้มีพระภาค ทรงมีพระสติสัมปชัญญะ ทรงอดกลั้นไม่ทุรนทุราย ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาค ตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า มาเถิดอานนท์ เราจักไปเมือง กุสินารา ท่านพระอานนท์ทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว
ข้าพเจ้าได้สดับมาว่า พระผู้มีพระภาคผู้เป็นนักปราชญ์ เสวย ภัตตาหารของ นายจุนทกรรมมารบุตรแล้ว อาพาธกล้า ใกล้ต่อ นิพพาน เกิดพยาธิกล้าขึ้นแก่พระศาสดา ผู้เสวยเนื้อสุกรอ่อน พระผู้มีพระภาค ทรงถ่ายพระโลหิตอยู่ได้ตรัสว่า เรา จะไปนคร กุสินารา
[๑๖๔] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงแวะออกจากทาง แล้วเสด็จเข้าไปยัง โคนต้นไม้ต้นหนึ่ง ครั้นแล้วตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า ดูกรอานนท์เร็วเถิด เธอจงปูลาด ผ้าสังฆาฏิ ๔ ชั้นแก่เรา เราเหน็ดเหนื่อยนัก จักนั่ง ท่านพระอานนท์ ทูลรับ พระผู้มีพระภาคแล้ว ปูลาดผ้าสังฆาฏิ ๔ ชั้นถวาย พระผู้มีพระภาคประทับนั่ง เหนือ อาสนะ ที่ท่านพระอานนท์ปูถวาย ครั้นแล้วตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า
ดูกรอานนท์ เร็วเถิด เธอจงไปนำน้ำดื่มมาให้เรา เรากระหาย จักดื่มน้ำ เมื่อพระผู้มีพระภาค ตรัสอย่างนั้นแล้ว ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้ เกวียนประมาณ ๕๐๐ เล่มผ่านไปแล้วน้ำนั้น ถูกล้อเกวียน บดแล้ว ขุ่นมัวหน่อยหนึ่ง ไหลไปอยู่ แม่น้ำกุกุฏานทีนี้มีน้ำใสจืดเย็นสนิท มีท่าราบเรียบ ควรรื่นรมย์ อยู่ไม่ไกลนัก พระผู้มีพระภาคจักเสวยน้ำ และจักสรงชำระพระกาย ให้เย็น ในแม่น้ำกุกุฏานทีนี้ แม้ครั้งที่ ๒ ...
แม้ครั้งที่ ๓ พระผู้มีพระภาค ก็ตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า ดูกรอานนท์ เร็วเถิด เธอจงไปนำน้ำดื่มมาให้เรา เรากระหายจักดื่มน้ำ ท่านพระอานนท์ทูลรับ พระผู้มีพระภาค แล้ว ถือบาตรเข้าไปยังแม่น้ำนั้น
[๑๖๕] ครั้งนั้นแล แม่น้ำนั้นถูกล้อเกวียนบดแล้ว ขุ่นมัวหน่อยหนึ่งไหลไปอยู่ เมื่อท่านพระอานนท์เดินเข้าไปใกล้ ใสแจ๋วไม่ขุ่นมัวไหลไปอยู่ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์ ดำริว่า ท่านผู้เจริญ น่าอัศจรรย์หนอ ท่านผู้เจริญไม่เคยมีมาแล้วหนอ ความที่พระตถาคต ทรงมีฤทธิ์มีอานุภาพมาก แม่น้ำนี้แลถูกล้อเกวียนบดแล้ว ขุ่นมัวหน่อยหนึ่งไหลไปอยู่ เมื่อเราเดินเข้าไปใกล้ ใสแจ๋วไม่ขุ่นมัวไหลไปอยู่ ท่านพระอานนท์เอาบาตรตักน้ำแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ไม่เคยมีมาแล้ว ความที่พระตถาคต ทรงมีฤทธิ์มีอานุภาพมาก แม่น้ำนี้แล ถูกล้อเกวียนบดแล้ว ขุ่นมัวหน่อยหนึ่งไหลไปอยู่ เมื่อข้าพระองค์เดินเข้า ไปใกล้ ใสแจ๋ว ไม่ขุ่นมัวไหลไปอยู่ ขอพระผู้มีพระภาคเสวยน้ำเถิด ขอพระสุคต เสวยน้ำ เถิด ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคได้เสวยน้ำ
[๑๖๖] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาค พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เสด็จเข้าไปยังแม่น้ำ กุกุฏานที ครั้นแล้วเสด็จลง แม่น้ำกุกุฏานที ทรงสรงและเสวยเสร็จแล้ว เสด็จขึ้น แล้วเสด็จ เข้าไปยังอัมพวัน ครั้นแล้วตรัสเรียกท่านพระจุนทกะว่า ดูกรจุนทกะ เธอจง ปูลาด ผ้าสังฆาฏิ ๔ ชั้นแก่เราเถิด เราเหน็ดเหนื่อยจักนอน ท่านพระจุนทกะทูลรับ พระผู้มีพระภาคแล้ว ปูลาดผ้าสังฆาฏิ ๔ ชั้นถวาย
ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาค ทรงสำเร็จสีหไสยา โดยพระปรัศว์เบื้องขวา ซ้อน พระบาทเหลื่อมพระบาท ทรงมีพระสติสัมปชัญญะ มนสิการอุฏฐานสัญญา ส่วนท่าน พระจุนทกะ นั่งอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์พระผู้มีพระภาค ณ ที่สำเร็จสีหไสยานั้นเอง
ครั้นกาลต่อมา พระธรรมสังคาหกาจารย์* ได้ รจนาคาถา เหล่านี้ไว้ว่า
(การสังคายนาของภิกษุ ๕๐๐ รูป เมื่อครั้งปฐมสังคายนา ที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา)
[๑๖๗] พระพุทธเจ้าเสด็จ ไปยังแม่น้ำกุกุฏานที มีน้ำใสแจ๋วจืดสนิท เสด็จลง ไปแล้ว พระตถาคตผู้ศาสดาผู้ไม่มีบุคคลเปรียบใน โลกนี้ มีพระกายเหน็ดเหนื่อยนักแล้ว ทรงสรงและเสวย แล้วเสด็จขึ้น พระศาสดาผู้อันโลกพร้อมทั้งเทวโลกห้อม ล้อมแล้ว ในท่ามกลางแห่งหมู่ภิกษุ พระผู้มีพระภาคผู้ศาสดา ผู้แสวงหาคุณ อันใหญ่ทรงเป็นไป แล้ว ในพระธรรมนี้ เสด็จ ถึงอัมพวันแล้ว ตรัสเรียกภิกษุชื่อจุนทกะว่า เธอจงปูลาด สังฆาฏิ ๔ ชั้นแก่เราเถิด เราจักนอน
ท่านพระจุนทกะนั้น อันพระผู้มีพระภาคผู้มีพระองค์ ทรงอบรมแล้ว ทรงตักเตือนแล้ว รีบปูลาดสังฆาฏิ ๔ ชั้นทีเดียว พระศาสดามีพระกาย เหน็ดเหนื่อยนัก ทรงบรรทมแล้ว ฝ่ายพระจุนทกะก็ได้นั่ง อยู่เบื้องพระพักตร์ ณ ที่นั้น
---------------------------------------------------------------------------------
นายจุททะกังวลใจที่
พระตถาคตเสวยบิณฑบาตของตนแล้วทรงถ่ายพระโลหิต
[๑๖๘] ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาค ตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า ดูกรอานนท์ ข้อนี้จะพึงมีบ้าง ใครๆ จะพึงทำความเดือดร้อนให้เกิดแก่นายจุนทกรรมมารบุตรว่า ดูกรอาวุโสจุนทะ ไม่เป็นลาภของท่าน ท่านได้ไม่ดีแล้ว ที่พระตถาคตเสวยบิณฑบาต ของท่าน เป็นครั้งสุดท้าย แล้วปรินิพพาน ดังนี้
ดูกรอานนท์ เธอพึงระงับความเดือดร้อน ของนายจุนทกรรมมารบุตรว่า ดูกรอาวุโสจุนทะ เป็นลาภของท่าน ท่านได้ดีแล้ว ที่พระตถาคต เสวยบิณฑบาต ของท่าน เป็นครั้งสุดท้ายแล้วปรินิพพาน
ดูกรอาวุโสจุนทะ ข้อนี้เราได้ฟังมา ได้รับมาแล้วเฉพาะพระพักตร์ พระผู้มีพระภาค ว่า บิณฑบาตทั้ง ๒ นี้มีผลเสมอกันๆ กัน มีวิบากเท่าๆ กันมีผลมาก และมีอานิสงส์มากกว่าบิณฑบาตเหล่าอื่นมากนัก
บิณฑบาต ๒ เป็นไฉนคือ บิณฑบาต ที่พระตถาคตเสวยแล้ว ได้ตรัสรู้พระ อนุตตร สัมมาสัมโพธิญาณ ๑ บิณฑบาตที่ พระตถาคต เสวยแล้วเสด็จปรินิพพาน ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ๑ บิณฑบาตทั้ง ๒ นี้มีผลเสมอๆ กัน มีวิบากเท่าๆ กัน มีผลมาก และมีอานิสงส์มากกว่าบิณฑบาต เหล่าอื่นมากนัก นายจุนทกรรมมารบุตร ก่อสร้างกรรมที่เป็นไปเพื่ออายุ เพื่อวรรณะ เพื่อสวรรค์ เพื่อยศ เพื่ออธิปไตย
ดูกรอานนท์ เธอพึงระงับความเดือดร้อนของ นาย จุนทกรรมมารบุตร ด้วยประการ อย่างนี้
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า
บุญย่อมเจริญแก่บุคคลผู้ให้ทาน บุคคลผู้สำรวมย่อมไม่ก่อเวร ส่วนท่าน ผู้ฉลาด ย่อมละบาป ครั้นละบาปแล้วปรินิพพาน เพราะความสิ้นไปแห่งราคะ โทสะ และโมหะ
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
* คำว่า “ธมฺมสงฺคาหก” (ธรรมสังคาหกะ) มีใช้ทั่วไปในคัมภีร์ชั้นอรรถกถาลงมา นักเรียนบาลีนิยมแปลว่า “พระธรรมสังคาหกาจารย์”
“ธรรมสังคาหกะ” หรือ “พระธรรมสังคาหกาจารย์” หมายถึง พระอรหันต์ 500 องค์ มีพระมหากัสสปะ เป็นประธาน ผู้รวบรวมร้อยกรองพระธรรมวินัยในคราวปฐมสังคายนา ซึ่งทำขึ้นเมื่อ พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว 3 เดือน (ที่มา https://dhamtara.com)
|