เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
ค้นหาคำที่ต้องการ            

(อุทานสูตร) ปาฏลิคามิยสูตร โทษแห่งศีลวิบัติ เสื่อมโภคะ กิตติศัพท์ขจรไป ขาดสติ เมื่อทำกาละ เข้าถึงอบาย 2414
 

พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕

ปาฏลิคามิยสูตร ว่าด้วย อุบาสกชาวปาฏลิคาม
โทษแห่งศีลวิบัติ ของบุคคลผู้ทุศีล ๕ ประการ
๑ ย่อมเข้าถึงความเสื่อมแห่งโภคะใหญ่ เพราะความประมาทเป็นเหตุ
๒ กิตติศัพท์อันลามก ของบุคคลผู้ทุศีลมีศีลวิบัติขจรไป
๓ ขัตติยก็ดี พราหมณก็ดี คหบดีก็ดี สมณก็ดี ย่อมไม่แกล้วกล้า เก้อเขิน
๔ ย่อมเป็นผู้หลงใหลกระทำกาละ (ขาดสติ)
๕ เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงอบายทุคติ วินิบาต นรก

เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 
รวมพระสูตรบุคคลสำคัญ
พระโมคคัลลานะ
พระสารีบุตร
พระเทวทัต
นิครนถ์ปริพาชก
พระมหากัปปินะ
พระอนุรุทธะ
พระอุบาลี
(ดูทั้งหมด)
 
สารบาญพระไตรปิฎก
เล่มที่ ๘-๓๓ (๒๕ เล่ม) ทุกพระสูตร
1. ฉบับหลวง
2. ฉบับมหาจุฬาฯ
3. อรรถกถาไทย
4. ฉบับภาษาบาลี
5. อรรถกถา-บาลี
6. Pali Roman (Roman Script)
7. Atthakatha PaliRoman
 

 


 


พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๘๒-๑๗๘

๖. ปาฏลิคามิยสูตร
อุบาสกชาวปาฏลิคาม

            [๑๖๙] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาค เสด็จจาริกไปในแคว้นมคธ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ได้เสด็จถึงปาฏลิคาม อุบาสก (และอุบาสิกา) ชาวปาฏลิคามได้สดับข่าวว่า พระผู้มีพระภาค เสด็จจาริกไปในแคว้นมคธ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จไปถึง ปาฏลิคามแล้ว

            ลำดับนั้นแล อุบาสกชาวปาฏลิคาม พากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาค ทรงรับเรือนสำหรับพัก ของข้าพระองค์ ทั้งหลายเถิด พระผู้มีพระภาค ทรงรับโดยดุษณีภาพ

            ลำดับนั้นแล อุบาสกชาวปาฏลิคาม ทราบว่าพระผู้มีพระภาค ทรงรับแล้วลุกจาก อาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณ แล้วเข้าไปยังเรือนสำหรับพัก ครั้นแล้วลาดเครื่องลาดทั้งปวง ปูลาดอาสนะ ตั้งหม้อน้ำ ตามประทีปน้ำมันแล้ว เข้าไป เฝ้า พระผู้มีพระภาค ถวายบังคมแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

            ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญเรือนสำหรับพัก ข้าพระองค์ทั้งหลายปูลาดแล้ว ปูลาดอาสนะ ตั้งหม้อน้ำ ตามประทีปน้ำมันแล้ว บัดนี้ ขอพระผู้มีพระภาคทรงสำคัญกาล อันควรเถิด ครั้งนั้นแล เป็นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาค ทรงนุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวร เสด็จถึงเรือนสำหรับพัก พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์

            ครั้นแล้วทรงล้างพระบาท เสด็จเข้าไปยังเรือนสำหรับพัก ประทับนังพิงเสา กลาง ผินพระพักตร์ไปทางทิศบูรพา แม้ภิกษุสงฆ์ล้างเท้าแล้ว เข้าไปยังเรือนสำหรับพัก นั่งพิงฝาด้านหลังผินหน้าไปทางทิศบูรพา แวดล้อมพระผู้มีพระภาคอยู่ แม้อุบาสก ชาวปาฏลิคาม ก็ล้างเท้าแล้วเข้าไปยังเรือนสำหรับพัก นั่งพิงฝาด้านหน้าผินหน้า ไปทางทิศประจิม แวดล้อมพระผู้มีพระภาคอยู่

            [๑๗๐] ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาค ตรัสกะอุบาสกชาวปาฏลิคามว่า ดูกรคฤหบดี ทั้งหลาย โทษแห่งศีลวิบัติ ของบุคคลผู้ทุศีล ๕ ประการนี้ ๕ ประการ เป็นไฉน คือ

             บุคคลผู้ทุศีล มีศีลวิบัติในโลกนี้ ย่อมเข้าถึงความเสื่อมแห่งโภคะใหญ่ เพราะความประมาทเป็นเหตุ นี้เป็นโทษแห่งศีลวิบัติ ของบุคคลผู้ทุศีล ประการที่ ๑

            อีกประการหนึ่ง กิตติศัพท์อันลามก ของบุคคลผู้ทุศีลมีศีลวิบัติ ขจรไปแล้ว นี้เป็นโทษแห่งศีลวิบัติ ของบุคคลผู้ทุศีล ประการที่ ๒

            อีกประการหนึ่ง บุคคลผู้ทุศีล มีศีลวิบัติเข้าไปหาบริษัทใด คือ ขัตติยบริษัทก็ดี พราหมณบริษัทก็ดี คหบดีบริษัทก็ดี สมณบริษัทก็ดี ย่อมไม่แกล้วกล้า เก้อเขิน เข้าไป หา นี้เป็นโทษแห่งศีลวิบัติ ของบุคคลผู้ทุศีล ประการที่ ๓

            อีกประการหนึ่ง บุคคลผู้ทุศีลมีศีลวิบัติ ย่อมเป็นผู้หลงใหลกระทำกาละนี้ (ลืมสติ) เป็นโทษแห่งศีลวิบัติของบุคคลผู้ทุศีล ประการที่ ๔

            อีกประการหนึ่ง บุคคลผู้ทุศีลมีศีลวิบัติ เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงอบายทุคติ วินิบาต นรก นี้เป็นโทษแห่งศีลวิบัติ ของบุคคลผู้ทุศีล ประการที่ ๕

            ดูกรคฤหบดีทั้งหลาย โทษแห่งศีลวิบัติของบุคคลผู้ทุศีล ๕ ประการนี้แล

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------

            ดูกรคฤหบดีทั้งหลาย อานิสงส์แห่งศีลสมบัติ ของบุคคลผู้มีศีล ๕ ประการนี้ ๕ ประการเป็นไฉน คือ

            ๑ บุคคลผู้มีศีล ผู้ถึงพร้อมด้วยศีลในโลกนี้ ย่อมได้กองแห่งโภคะใหญ่ เพราะความไม่ประมาทเป็นเหตุ นี้เป็นอานิสงส์แห่งศีลสมบัติ ของบุคคลผู้มีศีลประการที่

            ๒ อีกประการหนึ่ง กิตติศัพท์อันงาม ของบุคคลผู้มีศีล ผู้ถึงพร้อมด้วยศีลย่อม ขจรไป นี้เป็นอานิสงส์แห่งศีลสมบัติ ของบุคคลผู้มีศีลประการที่ ๒

            ๓ อีกประการหนึ่ง บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยศีล เข้าไปหาบริษัทใด คือ ขัตติยบริษัท ก็ดี พราหมณบริษัทก็ดี คหบดีบริษัทก็ดี สมณบริษัทก็ดี ย่อมเป็นผู้แกล้วกล้า ไม่เก้อเขิน เข้าไปหาบริษัทนั้น นี้เป็นอานิสงส์แห่งศีลสมบัติ ของบุคคลผู้มีศีลประการที่ ๓

            ๔ อีกประการหนึ่ง บุคคลผู้มีศีล ผู้ถึงพร้อมด้วยศีล ย่อมเป็นผู้ไม่หลงใหล กระทำ กาละ นี้เป็นอานิสงส์แห่งศีลสมบัติข องบุคคลผู้มีศีลประการที่ ๔

            ๕ อีกประการหนึ่ง บุคคลผู้มีศีล ผู้ถึงพร้อมด้วยศีล ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ นี้เป็นอานิสงส์แห่งศีลสมบัติ ของบุคคลผู้มีศีลประการที่ ๕

            ดูกรคฤหบดีทั้งหลาย อานิสงส์แห่งศีลสมบัติ ของบุคคลผู้มีศีล ๕ ประการนี้แล

            [๑๗๑] ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงชี้แจงให้อุบาสก ชาวปาฏลิคามเห็น แจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถา สิ้นราตรีเป็นอันมากแล้วทรงส่งไป ด้วยพระดำรัสว่า ดูกรคฤหบดีทั้งหลาย ราตรีล่วงไปแล้ว ท่านทั้งหลาย จงสำคัญเวลา อันควร ณ บัดนี้เถิด ลำดับนั้น อุบาสกชาวปาฏลิคามทั้งหลาย ชื่นชมยินดีภาษิตของ พระผู้มีพระภาค ลุกจากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณแล้ว หลีกไป ลำดับนั้น เมื่ออุบาสกชาวปาฏลิคามหลีกไปแล้วไม่นาน พระผู้มีพระภาคได้เสด็จ เข้าไปยังสุญญาคาร

            [๑๗๒] ก็สมัยนั้นแล มหาอำมาตย์ในแคว้นมคธ ชื่อสุนีธะ และวัสสการะ จะสร้าง เมืองในปาฏลิคาม เพื่อป้องกันเจ้าวัชชีทั้งหลาย ก็สมัยนั้นแล เทวดา เป็นอันมาก แบ่งเป็นพวกละพัน ย่อมรักษาพื้นที่ในปาฏลิคาม เทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่รักษา พื้นที่อยู่ใน ประเทศใด จิตของราชมหาอำมาตย์ ของพระราชาผู้มีศักดิ์ใหญ่ ย่อมน้อมไป เพื่อจะสร้าง นิเวศน์ในประเทศนั้น เทวดาผู้มีศักดิ์ปานกลาง รักษาพื้นที่อยู่ในประเทศใด จิตของราช มหาอำมาตย์ของพระราชา ผู้มีศักดิ์ปานกลาง ย่อมน้อมไปเพื่อจะสร้าง นิเวศน์ ในประเทศนั้น เทวดาผู้มีศักดิ์ต่ำ รักษาพื้นที่อยู่ในประเทศใด จิตของราชมหา อำมาตย์ ของพระราชาผู้มีศักดิ์ต่ำ ย่อมน้อมไปเพื่อจะสร้างนิเวศน์ ในประเทศนั้น

            พระผู้มีพระภาคได้ทรงเห็นเทวดาเหล่านั้น เป็นจำนวนพันๆ รักษาพื้นที่อยู่ใน ปาฏลิคาม ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ คือ เทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่ .. เทวดาผู้มีศักดิ์ต่ำรักษาพื้นที่อยู่ในประเทศใด จิตของราช มหาอำมาตย์ของพระราชา ผู้มีศักดิ์ต่ำ ย่อมน้อมไปเพื่อจะสร้างนิเวศน์ในประเทศนั้น

            ครั้งนั้น เมื่อปัจจุสสมัยแห่ง ราตรีนั้น ตั้งขึ้น พระผู้มีพระภาคต รัสถามท่าน พระอานนท์ว่า ดูกรอานนท์ ใครหนอ จะสร้างเมืองในปาฏลิคาม ท่านพระอานนท์ กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มหาอำมาตย์ในแว่นแคว้นมคธชื่อสุนีธะ และวัสสการะ จะสร้าง เมือง ในปาฏลิคาม เพื่อป้องกันเจ้าวัชชีทั้งหลายพระเจ้าข้า

            พ. ดูกรอานนท์ มหาอำมาตย์ในแว่นแคว้นมคธ ชื่อสุนีธะและวัสสการะ จะสร้าง เมืองในปาฏลิคาม เพื่อป้องกันเจ้าวัชชีทั้งหลาย ประหนึ่งว่าปรึกษากับเทวดาชั้น ดาวดึงส์ แล้วสร้างเมืองฉะนั้น

             ดูกรอานนท์ เราได้เห็นเทวดาเป็นจำนวนมาก แบ่งเป็นพวก ละพัน รักษาพื้นที่ อยู่ในปาฏลิคาม ด้วยทิพยจักษุ อันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของ มนุษย์ ณ ตำบลนี้ คือ เทวดา ผู้มีศักดิ์ใหญ่ ... เทวดาผู้มีศักดิ์ต่ำรักษาพื้นที่อยู่ใน ประเทศ ใด จิตของราชมหาอำมาตย์ ของพระราชาผู้มีศักดิ์ต่ำ ย่อมน้อมไปเพื่อจะสร้างนิเวศน์ ในประเทศนั้น

             ดูกรอานนท์ เมืองนี้จักเป็นเมืองเลิศ แห่งที่ประชุมของเหล่ามนุษย์ ผู้เป็นอริยะ และเป็นทางค้าขาย เป็นที่แก้ห่อสินค้า อันตราย ๓ อย่างจักมี แก่เมือง ปาฏลิคาม จากไฟ ๑ จากน้ำ ๑ จากความแตกแห่งกันและกัน ๑

            [๑๗๓] ครั้งนั้นแล มหาอำมาตย์ ในแว่นแคว้นมคธชื่อสุนีธะ และวัสสการะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการ ปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคว่า ขอพระโคดมผู้เจริญพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ โปรดทรงรับภัตของ ข้าพระองค์ทั้งหลาย เพื่อเสวยในวันนี้ พระผู้มีพระภาค ทรงรับนิมนต์โดยดุษณีภาพ

            ลำดับนั้น มหาอำมาตย์ในแว่นแคว้นมคธ ชื่อสุนีธะ และวัสสการะ ทราบว่า พระผู้มีพระภาค ทรงรับนิมนต์แล้วเข้าไปยังที่พักของตน ครั้นแล้วสั่งให้ตกแต่ง ขาทนีย โภชนียาหาร อันประณีต ในที่พักของตน แล้วกราบทูลภัตกาล แด่พระผู้มีพระภาค ว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ถึงเวลาแล้ว ภัตเสร็จแล้ว ครั้งนั้นเป็นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาค ทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตรและจีวร เสด็จเข้าไปยังที่พักของมหาอำมาตย์ ในแว่นแคว้น มคธ ชื่อสุนีธะ และวัสสการะ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์

            ครั้นแล้ว ประทับนั่งเหนืออาสนะ ที่ปูลาดถวาย ลำดับนั้น มหาอำมาตย์ในแว่น แคว้น มคธ ชื่อสุนีธะและวัสสการะ อังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเ ป็นประมุข ด้วย ขาทนียโภชนียาหารอันประณีต ให้อิ่มหนำสำราญ ด้วยมือของตน ครั้งนั้นแล เมื่อพระผู้มี พระภาคเสวยเสร็จแล้ว ชักพระหัตถ์ ออกจากบาตรแล้ว มหาอำมาตย์ในแว่นแคว้นมคธ ชื่อสุนีธะและวัสสการะ ถือเอาอาสนะ ต่ำแห่งหนึ่งนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ทรงอนุโมทนากะมหาอำมาตย์ ในแว่นแคว้นมคธ ชื่อสุนีธะและวัสสการะ ผู้นั่งอยู่แล้ว ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ด้วยพระคาถาเหล่านี้ว่า

            บุรุษชาติบัณฑิต ย่อมสำเร็จการอยู่ในประเทศใด พึงเชิญ ท่านผู้มีศีล สำรวม แล้ว ประพฤติพรหมจรรย์ ให้บริโภค ในประเทศนั้น ควรอุทิศทักษิณาทาน เพื่อเทวดา ผู้สถิตอยู่ ในที่นั้นๆ เทวดาเหล่านั้น อันบุรุษชาติบัณฑิตนับถือ บูชา ย่อมนับถือบูชา บุรุษชาติ บัณฑิตนั้น แต่นั้นย่อมอนุเคราะห์ บุรุษชาติบัณฑิตนั้น ประหนึ่งมารดา อนุเคราะห์บุตรแล้วก็ย่อม เห็นความเจริญทุกเมื่อ

            [๑๗๔] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคครั้นทรงอนุโมทนา แก่มหาอำมาตย์ในแว่น แคว้นมคธ ชื่อสุนีธะและวัสสการะ ด้วยพระคาถาเหล่านี้แล้ว เสด็จลุกจากอาสนะหลีกไป ก็สมัยนั้นแล มหาอำมาตย์ในแว่นแคว้นมคธ ชื่อสุนีธะและวัสสการะ ติดตามพระผู้มี พระภาค ไปข้างหลังๆ ด้วยตั้งใจว่า วันนี้ พระสมณโคดม จักเสด็จออกโดยประตูใด ประตูนั้นจักชื่อว่า โคตมประตู จักเสด็จข้ามแม่น้ำคงคา โดยท่าใด ท่านั้นจักชื่อว่า โคตมติฏฐะ

            ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาค เสด็จออกประตูใด ประตูนั้นชื่อว่าโคตมประตู พระผู้มีพระภาคเสด็จไปยังแม่น้ำคงคา ก็สมัยนั้นแล แม่น้ำคงคาเป็นแม่น้ำ เต็มเปี่ยม พอกาดื่มกินได้ มนุษย์บางจำพวก แสวงหาเรือ บางพวกแสวงหาพ่วง บางพวกผูกแพ ต้องการจะข้ามไปฝั่งโน้น

            ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาค ทรงหายจากฝั่งนี้แห่งแม่น้ำคงคา ไปปรากฏอยู่ที่ฝั่ง โน้น พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ เหมือนบุรุษผู้มีกำลัง พึงเหยียดแขนที่คู้ หรือพึงคู้แขนที่ เหยียด ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคได้ทรงเห็นมนุษย์เหล่านั้น บางพวกแสวง หาเรือ บางพวกแสวงหาพ่วง บางพวกผูกแพ ต้องการจะข้ามไปฝั่งโน้น

            ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า

            ชนเหล่าใดจะข้ามห้วงน้ำ คือ สงสาร และสระ คือ ตัณหา ชนเหล่านั้นกระทำ สะพาน คือ อริยมรรค ไม่แตะต้อง เปือกตมคือกามทั้งหลาย จึงข้ามสถานที่ลุ่มอันเต็ม ด้วยน้ำได้ ก็ ชนแม้ต้องการจะข้ามน้ำมีประมาณน้อย ก็ต้องผูกแพ ส่วน พระพุทธเจ้า และพุทธสาวกทั้งหลาย เป็นผู้มีปัญญา เว้นจากแพก็ข้ามได้

 





หนังสือพุทธวจน ธรรมะของพระศาสดา
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์