พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๕๒
๓. อาหุสูตร
[๑๓๕] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก เศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาค ประทับนั่ง ทรงพิจารณาอกุศล บาปธรรมเป็นอันมาก ที่พระองค์ทรงละได้แล้ว และกุศลธรรมเป็นอันมาก ที่ถึงความ เจริญบริบูรณ์
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงทราบอกุศลบาปธรรมเป็นอันมาก ที่พระองค์ ทรงละได้แล้ว และกุศลธรรมเป็นอันมาก ที่ถึงความเจริญบริบูรณ์ จึงทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า สิ่งทั้งปวงได้มีแล้วในกาลก่อน ไม่มีแล้วในกาลนั้น สิ่งทั้งปวงไม่มีแล้วใน กาลก่อน ได้มีแล้วในกาลนั้น ไม่มีแล้ว จักไม่มี และย่อมไม่มีในบัดนี้
---------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๕๘-๑๖๐
๖. ติตถสูตร
[๑๔๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก เศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล สมณะ พราหมณ์ปริพาชกมากด้วยกัน ผู้มีลัทธิต่างๆ กัน มีทิฐิต่างกัน มีความพอใจต่างกัน มีความชอบใจต่างกัน อาศัยทิฐินิสัย ต่างกัน อาศัยอยู่ในพระนครสาวัตถี สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะอย่างนี้ มีทิฐิอย่างนี้ ว่า ตนและโลกเที่ยง นี้แหละจริงอื่นเปล่า สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะอย่างนี้ มีทิฐิอย่างนี้ว่า ตนและโลกไม่เที่ยง นี้แหละจริง อื่นเปล่า ... ธรรมเป็นเช่นนี้ ธรรมไม่เป็น เช่นนี้ ธรรมไม่เป็นเช่นนี้ ธรรมเป็นเช่นนี้
[๑๔๒] ลำดับนั้นแล เป็นเวลาเช้า ภิกษุหลายรูปนุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวร เข้าไปบิณฑบาตยังพระนครสาวัตถี เที่ยวบิณฑบาตไปในพระนครสาวัตถี กลับจาก บิณฑบาตภายหลังภัตแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ถวายบังคม พระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สมณะ พราหมณ์ ปริพาชกมากด้วยกัน มีลัทธิต่างๆกัน มีทิฐิต่างๆ กัน มีความพอใจต่างๆ กัน มีความชอบใจต่างๆ กัน อาศัยทิฐินิสัยต่างๆ กัน อาศัยอยู่ในพระนครสาวัตถีนี้ สมณพราหมณ์พวกหนึ่งมีวาทะอย่างนี้ มีทิฐิอย่างนี้ว่า ตนและโลกเที่ยง นี้แหละจริง อื่นเปล่า สมณพราหมณ์พวกหนึ่ งมีวาทะอย่างนี้ มีทิฐิอย่างนี้ว่า ตนและโลกไม่เที่ยง นี้แหละจริง อื่นเปล่า... ธรรมเป็นเช่นนี้ ธรรมไม่เป็นเช่นนี้ ธรรมไม่เป็นเช่นนี้ ธรรมเป็นเช่นนี้
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อัญญเดียรถีย์ปริพาชกเป็นคนบอด ไม่มีจักษุ ย่อมไม่รู้จักประโยชน์ ไม่รู้จักความฉิบหาย มิใช่ประโยชน์ไม่รู้จักธรรม ไม่รู้จักสภาพมิใช่ธรรม เมื่อไม่รู้จักประโยชน์ ไม่รู้จักความฉิบหาย มิใช่ประโยชน์ ไม่รู้จักธรรม ไม่รู้จักสภาพมิใช่ธรรม ก็บาดหมางกัน ทะเลาะกันวิวาทกัน พูดจา ทิ่มแทงกัน และกัน ด้วยหอก คือปากว่า ธรรมเป็นเช่นนี้ ธรรมไม่เป็นเช่นนี้ ธรรมไม่เป็น เช่นนี้ ธรรมเป็นเช่นนี้
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า หมู่สัตว์นี้ขวนขวายแล้วในทิฐิว่า ตนและโลกเราสร้างสรร ประกอบด้วย ทิฐิว่า ตนและโลกผู้อื่นสร้างสรร สมณพราหมณ์ พวกหนึ่ง ไม่รู้จริงซึ่งทิฐินั้น ไม่ได้เห็น ทิฐินั้นว่า เป็นลูกศร ก็เมื่อผู้พิจารณาเห็นอยู่ ซึ่งความเห็นอันวิปริตนั้นว่า เป็นดุจลูกศร ความเห็นว่าเราสร้างสรร ย่อมไม่ปรากฏแก่ผู้นั้น ความเห็นว่า ผู้อื่นสร้างสรร ย่อมไม่ปรากฏ แก่ผู้นั้น หมู่สัตว์นี้ประกอบ แล้วด้วยมานะ มีมานะเป็นเครื่องร้อยรัด ถูกมานะผูกพันไว้ แล้ว กระทำความขวนขวายในเพราะทิฐิทั้งหลาย ย่อมไม่ ล่วงพ้นสงสารไปได้
|