เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
ค้นหาคำที่ต้องการ            

(พุทธอุทาน อุทานสูตร) สุภูติสูตร คณิกาสูตร อุปาติสูตร อุปปัชชันติสูตร ทรงเปล่งอุทาน 2409
 

พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕

๗. สุภูติสูตร ทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า
ผู้ใดกำจัดวิตกทั้งหลายได้แล้ว ถอนขึ้นด้วยดีแล้วไม่มีส่วน เหลือในภายใน ผู้นั้นล่วงกิเลสเครื่องข้องได้แล้ว มีความ สำคัญนิพพานอันเป็นอรูป ล่วงโยคะ ๔ ได้แล้ว ย่อมไม่ กลับมาสู่ชาติ

๘. คณิกาสูตร ทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า
เบญจกามคุณ ที่บุคคลถึงแล้วและที่บุคคลจะพึงถึง ทั้งสอง นี้เกลื่อน กล่น แล้วด้วยธุลี คือ ราคะ แต่บุคคลผู้เร่าร้อน สำเหนียกตามอยู่ อนึ่ง การศึกษา อันเป็นสาระ ศีล พรต ชีวิต พรหมจรรย์ การอุปัฏฐากอันเป็นสาระ นี้เป็นส่วนสุดที่ ๑ ....

๙. อุปาติสูตร ทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า
สมณพราหมณ์พวกหนึ่ งย่อมแล่นเลยไป ไม่ถึงธรรมอันเป็น สาระ ย่อม พอกพูนเครื่องผูกใหม่ๆ ตั้งมั่นอยู่ในสิ่งที่ตน เห็นแล้วฟังแล้วอย่างนี้ เหมือนฝูง แมลง ตกลงสู่ประทีปน้ำมัน ฉะนั้น

๑๐. อุปปัชชันติสูตร ทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า
หิ่งห้อยนั้น ส่งแสงสว่างอยู่ชั่วเวลาพระอาทิตย์ ยังไม่ขึ้น เมื่อ พระอาทิตย์ ขึ้นไปแล้ว หิ่งห้อยนั้น ก็อับแสง และไม่สว่างได้ เลย พวกเดียรถีย์สว่างเหมือนหิ่งห้อยนั้น ตราบเท่าที่ พระสัมมา สัมพุทธเจ้า ยังไม่เสด็จอุบัติขึ้นในโลก  แต่เมื่อใด พระสัมมา สัมพุทธเจ้า เสด็จอุบัติขึ้นในโลก เมื่อนั้น พวก เดียรถีย์และ แม้สาวก ของพวกเดียรถีย์ เหล่านั้น ย่อมไม่หมดจด พวกเดียรถีย์ผู้มี ทิฐิชั่ว ย่อมไม่พ้นไป จากทุกข์

เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 
รวมพระสูตรบุคคลสำคัญ
พระโมคคัลลานะ
พระสารีบุตร
พระเทวทัต
นิครนถ์ปริพาชก
พระมหากัปปินะ
พระอนุรุทธะ
พระอุบาลี
(ดูทั้งหมด)
 
สารบาญพระไตรปิฎก
เล่มที่ ๘-๓๓ (๒๕ เล่ม) ทุกพระสูตร
1. ฉบับหลวง
2. ฉบับมหาจุฬาฯ
3. อรรถกถาไทย
4. ฉบับภาษาบาลี
5. อรรถกถา-บาลี
6. Pali Roman (Roman Script)
7. Atthakatha PaliRoman
 

 


 


พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๖๐

๗. สุภูติสูตร

            [๑๔๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก เศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล ท่านพระสุภูติ นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง เข้าสมาธิอันไม่มีวิตกอยู่ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ได้ทรงเห็นท่าน พระสุภูติ นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง เข้าสมาธิอันไม่มีวิตกอยู่ในที่ไม่ไกล

            ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า

             ผู้ใดกำจัดวิตกทั้งหลายได้แล้ว ถอนขึ้นด้วยดีแล้วไม่มีส่วน เหลือในภายใน ผู้นั้นล่วงกิเลสเครื่องข้องได้แล้ว มีความ สำคัญนิพพานอันเป็นอรูป ล่วงโยคะ ๔ ได้แล้ว ย่อมไม่ กลับมาสู่ชาติ


---------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๖๐-๑๖๒

๘. คณิกาสูตร

            [๑๔๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน ใกล้พระนคร ราชคฤห์ ก็สมัยนั้นแล ในพระนครราชคฤห์ มีนักเลง ๒พวก เป็นผู้กำหนัด มีจิตปฏิพัทธ์ ในหญิงแพศยาคนหนึ่ง เกิดความบาดหมางกัน ทะเลาะกัน วิวาทกัน ประหัตประหารกัน และกัน ด้วยฝ่ามือบ้าง ด้วยก้อนดินบ้าง ด้วยท่อนไม้บ้าง ด้วยศาตราบ้าง นักเลงเหล่านั้น ถึงความตายในที่นั้นบ้างถึงความทุกข์ปางตายบ้าง

            ครั้งนั้นแล เป็นเวลาเช้าภิกษุมากรูปด้วยกัน นุ่งแล้วถือบาตรและจีวรเข้าไป บิณฑบาต ยังพระนครราชคฤห์ ครั้นเที่ยวบิณฑบาต ในพระนครราชคฤห์ กลับจาก บิณฑบาต ภายหลังภัตแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

            ครั้นแล้วได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทาน พระวโรกาส ในพระนครราชคฤห์ มีนักเลง ๒ พวก เป็นผู้กำหนัด มีจิตปฏิพัทธ์ในหญิง แพศยาคนหนึ่ง ...ถึงความตายในที่นั้นบ้าง ถึงความทุกข์ปางตายบ้าง พระเจ้าข้า

            ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทาน
นี้ในเวลานั้นว่า
เบญจกามคุณ ที่บุคคลถึงแล้วและที่บุคคลจะพึงถึง ทั้งสอง นี้เกลื่อน กล่น แล้วด้วยธุลี คือ ราคะ แต่บุคคลผู้เร่าร้อน สำเหนียกตามอยู่ อนึ่ง การศึกษา อันเป็นสาระ ศีล พรต ชีวิต พรหมจรรย์ การอุปัฏฐากอันเป็นสาระ นี้เป็นส่วนสุดที่ ๑

            อนึ่ง การประกอบตนพัวพัน ด้วยความสุขในกาม ของบุคคลผู้ที่ กล่าวอย่างนี้ว่า โทษในกามไม่มี นี้เป็นส่วนสุดที่ ๒

            ส่วนสุด ทั้งสองนี้เป็นที่เจริญแห่งตัณหา และอวิชชาอย่างนี้ ตัณหาและ อวิชชา ย่อมยังทิฐิให้เจริญ สมณพราหมณ์บางพวกไม่รู้ส่วน สุดทั้งสองนั้น ย่อมจมอยู่ (ในสงสารด้วยอำนาจการถือมั่น สัสสตทิฐิ)

            สมณพราหมณ์บางพวก ย่อมแล่นไป (ด้วยอำนาจ การถือมั่นอุจเฉททิฐิ) ส่วนท่านผู้ที่รู้ส่วนสุดทั้งสองนั้นแล้ว เป็นผู้ไม่ตกไปใน ส่วนสุดทั้งสองนั้น และได้สำคัญ ด้วยการ ละส่วนสุดทั้งสองนั้น วัฏฏะของท่านผู้ที่ดับไม่มีเชื้อเหล่านั้น ย่อมไม่มีเพื่อจะบัญญัติ


---------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๖๒

๙. อุปาติสูตร

            [๑๔๕] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก เศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคประทับนั่งในที่แจ้ง ในความ มืดตื้อในราตรี เมื่อประทีปน้ำมันลุกโพลงอยู่ ก็สมัยนั้นแล ตัวแมลงเป็นอันมาก ตกลงรอบๆ ที่ประทีปน้ำมันเหล่านั้น ย่อมถึงความทุกข์ ความพินาศ ความย่อยยับ ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคได้ทรงเห็นตัวแมลงเป็นอันมากเหล่านั้น ตกลงรอบๆ ที่ประทีปน้ำมันเหล่านั้น ถึงความทุกข์ความพินาศ ความย่อยยับ

            ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า สมณพราหมณ์พวกหนึ่ งย่อมแล่นเลยไป ไม่ถึงธรรมอันเป็น สาระ ย่อม พอกพูนเครื่องผูกใหม่ๆ ตั้งมั่นอยู่ในสิ่งที่ตน เห็นแล้วฟังแล้วอย่างนี้ เหมือนฝูง แมลง ตกลงสู่ประทีปน้ำมัน ฉะนั้น

---------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๖๒-๑๖๔

๑๐. อุปปัชชันติสูตร

            [๑๔๖] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถ บิณฑิก เศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคว่า

            ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระตถาคต อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังไม่เสด็จอุบัติ ขึ้นในโลก เพียงใด พวกอัญญเดียรถีย์ ย่อมเป็นผู้อันมหาชนสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรง และได้จีวร บิณฑบาตเสนาสนะและคิลานปัจจัย เภสัชบริขาร เพียงนั้น แต่เมื่อใด พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จอุบัติขึ้นในโลก เมื่อนั้น พวกอัญญเดียรถีย์ ปริพาชก ย่อมเป็นผู้อันมหาชนไม่สักการะ เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรง และไม่ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัย เภสัชบริขาร

            ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้พระผู้มีพระภาค และภิกษุสงฆ์ ย่อมเป็นผู้อันมหาชน สักการะ เคารพ นับถือ บูชายำเกรง และได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัย เภสัชบริขาร พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ จริงอย่างนั้น ดูกรอานนท์ จริงอย่างนั้น ดูกรอานนท์ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังไม่เสด็จอุบัติขึ้นในโลกเพียงใด ... แต่เมื่อใดพระตถาคต อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จอุบัติขึ้นในโลก ...

            ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า หิ่งห้อยนั้น ส่งแสงสว่างอยู่ชั่วเวลาพระอาทิตย์ ยังไม่ขึ้น เมื่อ พระอาทิตย์ ขึ้นไปแล้ว หิ่งห้อยนั้นก็อับแสง และไม่สว่างได้ เลย พวกเดียรถีย์สว่างเหมือนหิ่งห้อยนั้น ตราบเท่าที่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังไม่เสด็จอุบัติขึ้นในโลก  แต่เมื่อใด พระสัมมา สัมพุทธเจ้า เสด็จอุบัติขึ้นในโลก เมื่อนั้น พวก เดียรถีย์และ แม้สาวก ของพวกเดียรถีย์ เหล่านั้น ย่อมไม่หมดจด พวกเดียรถีย์ผู้มีทิฐิชั่ว ย่อมไม่พ้นไป จากทุกข์

 





หนังสือพุทธวจน ธรรมะของพระศาสดา
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์