พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๓๗-๑๔๑
๖. โสณสูตร
[๑๑๙] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก เศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล ท่านพระมหากัจจานะ อยู่ ณ ปวัฏฏบรรพต แคว้นกุรุรฆระ ในอวันตีชนบท ก็สมัยนั้นแล อุบาสก ชื่อโสณโกฏิกัณณะ เป็นอุปัฏฐาก ของท่านพระมหากัจจานะ
ครั้งนั้นแลอุบาสกชื่อโสณโกฏิกัณณะ หลีกเร้นอยู่ในที่ลับ ได้เกิดความปริวิตก แห่งใจอย่างนี้ว่า พระคุณเจ้ามหากัจจานะ ย่อมแสดงธรรมด้วยอาการใดๆ ธรรมนั้น ย่อมปรากฏแก่เรา ผู้พิจารณาอยู่ด้วยอาการนั้นๆ อย่างนี้ว่า บุคคลผู้ครองเรือน จะประพฤติพรหมจรรย์ ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ โดยส่วนเดียวดุจสังข์ขัด ไม่ใช่ทำได้ง่าย ผิฉะนั้น เราพึงปลงผมและหนวดนุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกบวชเป็นบรรพชิตเถิด ลำดับนั้น แล อุบาสกโสณโกฏิกัณณ ะเข้าไปหาท่านพระมหากัจจานะถึงที่อยู่ อภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้วได้กล่าวกะท่าน พระมหากัจจานะว่าข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอโอกาส กระผมหลีกเร้นอยู่ในที่ลับ ได้เกิดปริวิตกแห่งใจอย่างนี้ว่า พระคุณเจ้ามหากัจจานะ ย่อมแสดงธรรมด้วยอาการใดๆ ธรรมนั้นย่อมปรากฏแก่เรา ผู้พิจารณาอยู่ด้วยอาการนั้นๆ อย่างนี้ว่า บุคคลผู้อยู่ครองเรือน จะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ โดยส่วนเดียว ดุจสังข์ ไม่ใช่ทำได้ง่ายผิฉะนั้น เราพึงปลงผมและหนวดนุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกบวช เป็นบรรพชิตเถิด ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอพระคุณเจ้ามหากัจจานะ โปรดให้กระผมบวชเถิด
[๑๒๐] เมื่ออุบาสกโสณโกฏิกัณณะ กล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านพระมหากัจจานะ ได้กล่าวกะอุบาสกโสณโกฏิกัณณะว่า ดูกรโสณะ พรหมจรรย์มีภัตหนเดียว มีการนอน ผู้เดียวตลอดชีวิต ทำได้ยากนัก ดูกรโสณะ เชิญท่านเป็นคฤหัสถ์อยู่ในเรือนนั้นแล จงหมั่นประกอบพรหมจรรย์ อันมีภัตหนเดียว นอนผู้เดียว เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ทั้งหลายเถิด
ครั้งนั้นแล การปรารภเพื่อจะบวชของ อุบาสกโสณโกฏิกัณณะได้ระงับไป แม้ครั้งที่ ๒ ... การปรารภเพื่อจะบวช ของอุบาสกโสณโกฏิกัณณะ ก็ได้ระงับไป แม้ครั้งที่ ๓ อุบาสกโสณโกฏิกัณณะหลีกเร้นอยู่ในที่ลับ เกิดความปริวิตกแห่งใจ อย่างนี้ว่า พระคุณเจ้ามหากัจจานะ ย่อมแสดงธรรมด้วยอาการใดๆ ธรรมนั้นย่อมปรากฏ แก่เรา ผู้พิจารณาอยู่ด้วยอาการนั้นๆ อย่างนี้ว่า บุคคลผู้อยู่ครองเรือน จะประพฤติ พรหมจรรย์ ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ โดยส่วนเดียวดุจสังข์ขัด ไม่ใช่ทำได้ง่าย ผิฉะนั้น เราพึงปลงผม และหนวดนุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกบวชเป็นบรรพชิตเถิด แม้ครั้งที่ ๓ อุบาสกโสณโกฏิกัณณะก็ได้เข้าไปหาท่านพระมหากัจจานะ ถึงที่อยู่ อภิวาทแล้วนั่งณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้วได้กล่าวกะ ท่านพระมหากัจจานะว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ กระผม หลีกเร้น อยู่ในที่ลับ ได้เกิดความปริวิตกแห่งใจอย่างนี้ว่า พระคุณเจ้ามหากัจจานะ ย่อมแสดงธรรมด้วยอาการใดๆ ธรรมนั้นย่อมปรากฏแก่เราผู้พิจารณา อยู่ด้วยอาการนั้นๆ อย่างนี้ว่า บุคคลผู้อยู่ครองเรือน จะประพฤติพรหมจรรย์บริสุทธิ์บริบูรณ์ โดยส่วนเดียว ดุจสังข์ขัด ไม่ใช่ทำได้ง่าย ผิฉะนั้นเราพึงปลงผมและหนวดนุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกบวช เป็นบรรพชิตเถิด ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอพระคุณเจ้ามหากัจจานะ โปรดให้กระผมบวชเถิด ลำดับนั้นแล ท่านพระมหากัจจานะ ให้อุบาสกโสณโกฏิกัณณะบวชแล้ว
[๑๒๑] ก็โดยสมัยนั้น อวันตีทักขิณาบถ มีภิกษุน้อย ครั้งนั้นแล ท่านพระมหา กัจจานะ ให้ประชุมพระภิกษุสงฆ์ทศวรรคแต่บ้าน และนิคมเป็นต้นนั้น โดยยากลำบาก โดยล่วงไปสามปี จึงให้ท่านพระโสณะอุปสมบทได้ ครั้งนั้นแลท่านพระโสณะ อยู่จำพรรษา แล้ว หลีกออกเร้นอยู่ในที่ลับ เกิดความปริวิตกแห่งใจอย่างนี้ว่า เราไม่ได้เฝ้าพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เฉพาะพระพักตร์ แต่เราได้ฟังเท่านั้นว่า พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น พระองค์เป็นเช่นนี้ๆ ถ้าว่าพระอุปัชฌายะพึงอนุญาตเราไซร้ เราพึงไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ลำดับนั้นแล เป็นเวลาเย็น ท่านพระโสณะออกจากที่เร้น เข้าไปหาพระมหากัจจานะถึงที่อยู่ อภิวาท แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้วได้กล่าวกะท่านพระมหากัจจานะว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอโอกาส เมื่อกระผมหลีกออกเร้นอยู่ในที่ลับ ได้เกิดความปริวิตกแห่งใจอย่างนี้ว่า เราไม่ได้เฝ้า พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เฉพาะพระพักตร์ แต่เราได้ฟังเท่านั้นว่า พระผู้มีพระภาค พระองค์นั้น พระองค์เป็นเช่นนี้ๆ ถ้าว่าพระอุปัชฌายะพึงอนุญาตเราไซร้ เราพึงไปเฝ้า พระผู้มีพระภาค อรหัตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ท่านพระมหากัจจานะกล่าวว่า ดีละๆ โสณะ ท่านจงไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค อรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นเถิด ท่านจักได้เฝ้าพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้น่าเลื่อมใส ควรเลื่อมใส มีอินทรีย์สงบ มีพระทัยสงบผู้ถึงความสงบ และความฝึก อันสูงสุด ผู้ฝึกแล้ว ผู้คุ้มครองแล้ว มีอินทรีย์สำรวมแล้วผู้ประเสริฐ ครั้นแล้ว ท่านจง ถวายบังคมพระบาท ของพระผู้มีพระภาค ด้วยเศียรเกล้าตามคำของเรา จงทูลถามถึง ความเป็นผู้มีอาพาธน้อย พระโรคเบาบาง กระปรี้กระเปร่า ทรงมีกำลัง ทรงอยู่สำราญ เถิด
ท่านพระโสณะชื่นชมยินดีภาษิต ของท่านพระมหากัจจานะแล้ว ลุกจากอาสนะ อภิวาทท่านพระมหากัจจานะ กระทำประทักษิณ เก็บเสนาสนะแล้ว ถือบาตรและจีวร หลีกจาริกไปทางพระนครสาวัตถี เมื่อเที่ยวจาริกไปโดยลำดับ ได้ถึงพระนครสาวัตถี แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระมหากัจจานะ อุปัชฌายะ ของข้าพระองค์ถวายบังคมพระบาท ของพระผู้มีพระภาคด้วยเศียรเกล้า และทูลถามถึง ความเป็นผู้มีพระอาพาธน้อย พระโรคเบาบาง กระปรี้กระเปร่า ทรงมีกำลัง ทรงอยู่ สำราญ พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า
ดูกรภิกษุ เธอพึงอดทนได้หรือ พึงให้เป็นไปได้หรือ เธอมาสิ้นหนทางไกล ด้วยความไม่ลำบากหรือ และเธอไม่ลำบากด้วยบิณฑบาตหรือ ท่านพระโสณะ กราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์พึงอดทนได้ พึงให้เป็นไปได้ ข้าพระองค์มาสิ้นหนทางไกล ด้วยความไม่ลำบากและข้าพระองค์ไม่ลำบาก ด้วยบิณฑบาตพระเจ้าข้า
[๑๒๒] ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาค ตรัสสั่งท่านพระอานนท์ว่า ดูกรอานนท์ เธอจงปูลาดเสนาสนะสำหรับภิกษุ ผู้อาคันตุกะนี้เถิด ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์ดำริว่า พระผู้มีพระภาคตรัสสั่งใช้เราว่า
ดูกรอานนท์ เธอจงปูลาดเสนาสนะ สำหรับภิกษุอาคันตุกะนี้เถิด ดังนี้ เพื่อภิกษุใด พระผู้มีพระภาคทรงปรารถนา จะประทับอยู่ในวิหารเดียวกันกับภิกษุนั้น พระผู้มีพระภาค ทรงปรารถนาจะประทับอยู่ในวิหารเดียวกับท่านพระโสณะ ท่านพระอานนท์ ได้ปูลาดเสนาสนะ สำหรับท่านพระโสณะในวิหาร ที่พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงยับยั้งด้วยการบรรทม ในอัพโภกาสสิ้นราตรี เป็นอันมาก ทรงล้างพระบาทแล้ว เสด็จเข้าไปสู่พระวิหาร แม้ท่านพระโสณะก็ยับยั้ง ด้วยการนอน ในอัพโภกาสสิ้นราตรีเป็นอันมาก ล้างเท้าแล้วเข้าไปสู่พระวิหาร ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงลุกขึ้นในเวลาใกล้รุ่งแห่งราตรี รับสั่งกะท่านพระโสณะว่า
ดูกรภิกษุการกล่าวธรรมจงแจ่มแจ้งกะเธอเถิด ท่านพระโสณะทูลรับพระผู้มี พระภาค แล้วได้กล่าวพระสูตรทั้งหมด ๑๖ สูตร จัดเป็นวรรค ๘ วรรค ด้วยสรภัญญะ ลำดับนั้น ในเวลาจบสรภัญญะของท่านพระโสณะ พระผู้มีพระภาค ทรงอนุโมทนาว่า ดีละๆ ภิกษุ พระสูตร ๑๖ สูตร จัดเป็นวรรค ๘ วรรค เธอเรียนดีแล้ว กระทำไว้ในใจดีแล้ว ทรงจำไว้ดีแล้ว เธอเป็นผู้ประกอบด้วยวาจาไพเราะ ไม่มีโทษสามารถเพื่อจะยัง เนื้อความ ให้แจ่มแจ้ง
ดูกรภิกษุ เธอมีพรรษาเท่าไร ท่านพระโสณะกราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์มีพรรษาหนึ่ง
พ. เธอได้ทำช้าอยู่อย่างนี้เพื่ออะไร
โส. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้เห็นโทษในกามทั้งหลาย โดยกาลนาน ทั้งฆราวาสก็คับแคบ มีกิจมาก มีกรณีย์มาก พระเจ้าข้า
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า พระอริยเจ้าย่อมไม่ยินดีในบาป ท่านผู้สะอาดย่อมไม่ยินดี ในบาป เพราะ ได้เห็นโทษในโลก เพราะได้รู้ธรรมอัน ไม่มีอุปธิ
|