พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๔๑
๗. กังขาเรวตสูตร
[๑๒๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถ บิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล ท่านพระกังขาเรวตะ นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง พิจารณา กังขาวิตรณวิสุทธิของตน อยู่ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ได้ทรงเห็นท่านพระกังขาเรวตะ ผู้นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรงพิจารณา กังขาวิตรณวิสุทธิของตน อยู่ในที่ไม่ไกล
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ได้ทรงเปล่ง
อุทานนี้ในเวลานั้นว่า ความสงสัยอย่างหนึ่งอย่างใดในอัตภาพนี้ หรือในอัตภาพอื่น ในความรู้ของตน หรือในความรู้ของผู้อื่น บุคคลผู้เพ่ง พินิจ มีความเพียร ประพฤติพรหมจรรย์อยู่ ย่อมละ ความสงสัยเหล่านั้น ได้ทั้งหมด
---------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๔๑-๑๔๒
๘. อานันทสูตร
[๑๒๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน กลันทกนิวาปสถาน ใกล้พระนคร ราชคฤห์ ก็สมัยนั้นแล ในวันอุโบสถเวลาเช้า ท่านพระอานนท์นุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวร เข้าไปบิณฑบาต ยังพระนครราชคฤห์ พระเทวทัตต์ได้เห็นท่าน พระอานนท์ กำลังเที่ยวบิณฑบาตอยู่ในพระนครราชคฤห์ จึงเข้าไปหาท่านพระอานนท์ แล้วได้กล่าวกะท่านพระอานนท์ว่า
ดูกรอาวุโสอานนท์บัดนี้ ผมจักกระทำอุโบสถ และสังฆกรรมแยกจากพระผู้มี พระภาค แยกจากภิกษุสงฆ์ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ เที่ยว บิณฑบาต ในพระนครราชคฤห์ กลับจากบิณฑบาตในภายหลังภัตแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มี พระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทาน พระวโรกาส เวลาเช้าข้าพระองค์นุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปบิณฑบาต ยังพระนคร ราชคฤห์ พระเทวทัตต์ได้เห็นข้าพระองค์กำลังเที่ยวบิณฑบาต อยู่ในพระนครราชคฤห์ จึงเข้าไปหาข้าพระองค์ ครั้นแล้วได้กล่าวกะข้าพระองค์ว่า
ดูกรอาวุโสอานนท์ บัดนี้ ผมจักกระทำอุโบสถ และสังฆกรรมแยกจากพระผู้มี พระภาค แยกจากภิกษุสงฆ์ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วันนี้ พระเทวทัตต์ จักทำลายสงฆ์ จักกระทำอุโบสถและสังฆกรรม
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า ความดีคนดีทำได้ง่าย ความดีคนชั่วทำได้ยาก ความชั่ว คนชั่วทำได้ง่าย ความชั่วพระอริยเจ้าทั้งหลายทำได้ยาก
---------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๔๒-๑๔๓
๙. สัททายมานสูตร
[๑๒๕] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาค เสด็จจาริกไปในโกศลชนบท กับภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ก็สมัยนั้น แล มาณพมากด้วยกันเปล่งเสียงอื้ออึง ผ่านไปในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ได้ทรงเห็นมาณพมาก ด้วยกันเปล่งเสียงอื้ออึง ผ่านไปในที่ไม่ไกล
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า ชนทั้งหลายผู้มีสติหลงลืม อวดอ้างว่าเป็นบัณฑิต พูดตาม อารมณ์ (พูดเท็จ) พูดยืดยาวตามปรารถนา ย่อมไม่รู้สึก ถึงเหตุที่ตนพูดชักนำผู้อื่นนั้น
---------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๔๓-๑๔๔
๑๐. จูฬปันถกสูตร
[๑๒๖] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถ บิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี สมัยนั้นแล ท่านพระจูฬปันถกะนั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้จำเพาะหน้า ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาคพระผู้มีพระภาค ได้ทรงเห็นท่านพระจูฬปันถกะนั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้จำเพาะหน้า ในที่ไม่ไกล
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า ภิกษุมีกายตั้งมั่นแล้ว มีใจตั้งมั่นแล้ว ยืนอยู่ก็ดี นั่งอยู่ก็ดี นอนอยู่ก็ดี ควบคุมสตินี้ไว้อยู่ เธอพึงได้คุณวิเศษทั้ง เบื้องต้นและเบื้องปลาย ครั้นได้คุณวิเศษ ทั้งเบื้องต้นและ เบื้องปลายแล้ว พึงถึงสถานที่เป็นที่ไม่เห็นแห่งมัจจุราช |