เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
ค้นหาคำที่ต้องการ            

(พุทธอุทาน) อุโปสถสูตร ทรงไม่แสดงปาติโมกข์ แม้จะล่วงเวลาจวนสว่าง ดูกรอานนท์ บริษัทยังไม่บริสุทธิ์ 2404
 

พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕

๕. อุโปสถสูตร (พุทธอุทาน)
ทรงแสดงปาติโมกข์ ณ ปุพพารามปราสาท ของนางวิสาขามิคารมารดา ...เมื่อภิกษุพร้อมแล้ว พระองค์ก็ไม่ได้แสดง แม้พระอานนท์จะเข้าไปกราบทูล ถึง ๓ ครั้ง "ขอพระผู้มีพระภาค ทรงแสดงปาติโมกข์ แก่ภิกษุทั้งหลายเถิด" เมื่อท่าน พระอานนท์กราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ทรงนิ่งอยู่ เมื่อราตรีล่วงไปแล้ว มัชฌิมยามสิ้นไปแล้ว อรุณขึ้นไปแล้ว จวนสว่างแล้ว ภิกษุสงฆ์นั่ง อยู่นานแล้ว (เกือบ ๑๒ ชั่วโมง)... ตรัสว่า ดูกรอานนท์ บริษัทยังไม่ บริสุทธิ์ (จิตของภิกษุบางรูปยังไม่สงบ ยังมีธรรมอันลามกอยู่ในจิต)

ทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลาต่อมาว่า ฝน คือ กิเลสย่อมรั่วรดสิ่งที่ปกปิด ย่อมไม่รั่วรดสิ่งที่เปิด เพราะฉะนั้น พึงเปิดสิ่งที่ปกปิดไว้เสีย ฝน คือ กิเลส ย่อมไม่รั่วรดสิ่งที่เปิดนั้นอย่างนี้

เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 
รวมพระสูตรบุคคลสำคัญ
พระโมคคัลลานะ
พระสารีบุตร
พระเทวทัต
นิครนถ์ปริพาชก
พระมหากัปปินะ
พระอนุรุทธะ
พระอุบาลี
(ดูทั้งหมด)
 
สารบาญพระไตรปิฎก
เล่มที่ ๘-๓๓ (๒๕ เล่ม) ทุกพระสูตร
1. ฉบับหลวง
2. ฉบับมหาจุฬาฯ
3. อรรถกถาไทย
4. ฉบับภาษาบาลี
5. อรรถกถา-บาลี
6. Pali Roman (Roman Script)
7. Atthakatha PaliRoman
 

 


 


พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๓๐-๑๓๗

๕. อุโปสถสูตร

            [๑๑๖] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ปุพพารามปราสาท ของนางวิสาขามิคารมารดา ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาค แวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ประทับนั่งอยู่ในวันอุโบสถ ลำดับนั้นแล เมื่อราตรีล่วงไปแล้ว ปฐมยามสิ้นไปแล้ว ท่านพระอานนท์ ลุกจากอาสนะ กระทำจีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมอัญชลีไปทางที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า

            ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญราตรีล่วงไปแล้ว ปฐมยามสิ้นไปแล้ว ภิกษุสงฆ์นั่งอยู่ นานแล้ว ขอพระผู้มีพระภาค ทรงแสดงปาติโมกข์ แก่ภิกษุทั้งหลายเถิด เมื่อท่าน พระอานนท์กราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ทรงนิ่งอยู่ แม้ครั้งที่ ๒

            เมื่อราตรีล่วงไปแล้ว มัชฌิมยามสิ้นไปแล้ว ท่านพระอานนท์ลุกจากอาสนะ กระทำจีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมอัญชลีไปทางที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ราตรีล่วงไปแล้ว มัชฌิมยาม สิ้นไปแล้ว ภิกษุสงฆ์นั่งอยู่นานแล้ว ขอพระผู้มีพระภาค ทรงแสดงปาติโมกข์ แก่ภิกษุทั้งหลายเถิด แม้ครั้งที่ ๒ พระผู้มีพระภาคได้ทรงนิ่งอยู่ แม้ครั้งที่ ๓

            เมื่อราตรีล่วงไปแล้ว ปัจฉิมยามสิ้นไปแล้ว อรุณขึ้นไปแล้ว จวนสว่างแล้ว ท่านพระอานนท์ลุกจากอาสนะ กระทำจีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมอัญชลีไปทาง ที่พระผู้มีพระภาคประทับ ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ราตรีล่วงไปแล้ว ปัจฉิมยามสิ้นไปแล้ว อรุณขึ้นไปแล้ว จวนสว่างแล้ว ภิกษุสงฆ์นั่ง อยู่นานแล้ว ขอพระผู้มีพระภาค ทรงแสดงปาติโมกข์แก่ภิกษุทั้งหลายเถิด พระผู้มีพระภาค ตรัสว่าดูกรอานนท์ บริษัทยังไม่บริสุทธิ์

            ลำดับนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ดำริว่าพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ว่า ดูกรอานนท์ บริษัทยังไม่บริสุทธิ์ ดังนี้ ทรงหมายถึงใครหนอแล ลำดับนั้น ท่านพระมหา โมคคัลลานะกำหนดใจของภิกษุสงฆ์ทุกหมู่เหล่าด้วยใจของตนแล้ว ได้พิจารณาเห็น บุคคลนั้น ผู้ทุศีล มีธรรมอันลามกมีความประพฤติ ไม่สะอาดน่ารังเกียจ มีการงานปกปิด ไม่เป็นสมณะปฏิญาณว่าเป็นสมณะ ไม่เป็นพรหมจารี ปฏิญาณว่าเป็นพรหมจารีผู้เน่าใน ผู้อันราคะรั่วรดแล้ว ผู้เป็นดุจหยากเยื่อ นั่งอยู่ในท่ามกลางภิกษุสงฆ์

            ครั้นแล้ว ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ลุกจากอาสนะเข้าไปหาบุคคลนั้น แล้วได้ กล่าวกะบุคคลนั้นว่า จงลุกขึ้นเถิดผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาคทรงเห็นท่านแล้ว ท่านไม่มี ธรรมเป็นเครื่องอยู่ร่วมกับภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้นแล บุคคลนั้นได้นิ่งเสีย แม้ครั้งที่ ๒... แม้ครั้งที่ ๓ ท่านพระมหาโมคคัลลานะก็ได้กล่าวกะบุคคลนั้นว่า จงลุกขึ้นเถิดผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาคทรงเห็นท่านแล้ว ท่านไม่มีธรรมเป็นเครื่องอยู่ ร่วมกับภิกษุทั้งหลาย แม้ครั้งที่ ๓ บุคคลนั้นก็ได้นิ่งเสีย

            ลำดับนั้นแล ท่านพระมหาโมคคัลลานะ จับบุคคลนั้นที่แขน ฉุดให้ออกไปจาก ภายนอก ซุ้มประตู ใส่กลอนแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว ได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ให้บุคคลนั้น ออกไปแล้ว บริษัทบริสุทธิ์แล้ว ขอพระผู้มีพระภาค ทรงแสดงปาติโมกข์แก่ภิกษุ ทั้งหลายเถิด พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

            ดูกรโมคคัลลานะ น่าอัศจรรย์ ดูกรโมคคัลลานะ ไม่เคยมีมาแล้ว โมฆบุรุษนี้
อยู่จนกระทั่ง ต้องจับแขนฉุดออกไป

             ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาค ตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ ตั้งแต่นี้ไป เราจักไม่กระทำอุโบสถ แสดงปาติโมกข์ ตั้งแต่นี้ไป เธอทั้งหลายนั่นแล พึงกระทำอุโบสถ แสดงปาติโมกข์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย การที่ตถาคต จะพึงกระทำอุโบสถ แสดงปาติโมกข์ ในเมื่อบริษัทไม่บริสุทธิ์นั้น มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส

            [๑๑๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในมหาสมุทร มีธรรมอันน่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมา ๘ ประการนี้ ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ พากันยินดีอยู่ในมหาสมุทร ๘ ประการเป็นไฉน

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย มหาสมุทรลาดลุ่มลึกลงไปตามลำดับ ไม่โกรกชันเหมือนเหว ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่มหาสมุทรลาดลุ่มลึกลงไปตามลำดับ ไม่โกรกชันเหมือนเหว นี้เป็นธรรมอันน่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมา ประการที่ ๑ มีอยู่ในมหาสมุทร ที่พวกอสูร เห็นแล้วๆ พากันยินดีอยู่ในมหาสมุทร

            อีกประการหนึ่ง มหาสมุทรเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ ไม่ล้นฝั่ง ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ข้อที่ มหาสมุทร เต็มเปี่ยมอยู่เสมอ ไม่ล้นฝั่งนี้ก็เป็นธรรมอันน่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมาประการที่ ๒ ...

            อีกประการหนึ่ง มหาสมุทรย่อมไม่เกลื่อนกล่นด้วยซากศพ เพราะคลื่นย่อมซัด เอา ซากศพเข้าหาฝั่งให้ขึ้นบก ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ข้อที่มหาสมุทรไม่เกลื่อนกล่น ด้วยซากศพ เพราะคลื่นย่อมซัดเอาซากศพเข้าหาฝั่ง ให้ขึ้นบก นี้ก็เป็นธรรมอันน่า อัศจรรย์ ไม่เคยมีมา ประการที่ ๓ ...

            อีกประการหนึ่ง แม่น้ำสายใหญ่ๆ คือ แม่น้ำคงคา ยมุนา อจิรวดีสรภู มหี แม่น้ำเหล่านั้น ไหลไปถึงมหาสมุทรแล้ว ย่อมละชื่อและโคตรเดิมหมด ถึงการนับว่า มหาสมุทรนั่นเอง ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ข้อที่แม่น้ำสายใหญ่ๆคือ แม่น้ำคงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหี แม่น้ำเหล่านั้น ไหลไปถึงมหาสมุทรแล้ว ย่อมละชื่อและโคตรเดิมหมด ถึงการนับว่า มหาสมุทรนั่นเองนี้ก็เป็นธรรมอันน่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมา ประการที่ ๔ ...

            อีกประการหนึ่ง แม่น้ำทุกสายในโลก ย่อมไหลไปรวมลงในมหาสมุทร และ สายฝน ก็ตกลง สู่มหาสมุทร มหาสมุทรก็มิได้ปรากฏว่าจะพร่อง หรือเต็มเพราะน้ำนั้นๆ ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ข้อที่แม่น้ำทุกสายในโลก ไหลไปรวมลงในมหาสมุทร และสายฝน ก็ตกลงสู่มหาสมุทร แต่มหาสมุทรก็มิได้ปรากฏว่า จะพร่องหรือเต็มเพราะน้ำนั้นๆ นี้ก็เป็น ธรรมอันน่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมา ประการที่ ๕ ...

            อีกประการหนึ่ง มหาสมุทรมีรสเดียว คือ รสเค็ม ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ข้อที่ มหาสมุทร ทั้งหลาย มีรสเดียว คือ รสเค็ม นี้ก็เป็นธรรมอันน่าอัศจรรย์ไม่เคยมีมา ประการที่ ๖ ...

            อีกประการหนึ่ง มหาสมุทรมีรัตนะมากมายหลายชนิด ในมหาสมุทรนั้น มีรัตนะ เหล่านี้ คือ แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ สังข์ ศิลา แก้วประพาฬ เงิน ทอง ทับทิม แก้วมรกต ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ข้อที่มหาสมุทร มีรัตนะมากมายหลายชนิด ... นี้ก็เป็น ธรรมอันน่า อัศจรรย์ ไม่เคยมีมาประการที่ ๗ ...

            อีกประการหนึ่ง มหาสมุทรเป็นที่พำนักอาศัย ของสิ่งที่มีชีวิตใหญ่ๆ สิ่งมีชีวิต ใหญ่ๆ ในมหาสมุทรนั้น คือ ปลาติมิ ปลามิงคละ ปลาติมิติมิงคละพวกอสูร นาค คนธรรพ์ แม้ที่มีร่างกายใหญ่ประมาณร้อยโยชน์ สองร้อยโยชน์ สามร้อยโยชน์ สี่ร้อยโยชน์ ห้าร้อยโยชน์ ก็มีอยู่

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ข้อที่มหาสมุทร เป็นที่พำนักของสิ่งที่มีชีวิตใหญ่ๆ ... นี้ก็เป็นธรรม อันน่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมา ประการที่ ๘ ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ พากัน ยินดีอยู่ในมหาสมุทร ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในมหาสมุทรมีธรรมอันน่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมา๘ ประการนี้แล ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ พากันยินดีอยู่ในมหาสมุทร

            [๑๑๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในธรรมวินัยนี้ ก็มีธรรมอันน่าอัศจรรย์ไม่เคยมีมา ๘ ประการ ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ พากันยินดีอยู่ในธรรมวินัยฉันนั้นเหมือนกัน ๘ ประการเป็นไฉน

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในธรรมวินัยนี้ มีการศึกษาไปตามลำดับ มีการกระทำไป ตามลำดับ มีการปฏิบัติไปตามลำดับ มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตผลโดยตรง เปรียบเหมือน มหาสมุทร ลาดลุ่มลึกไปตามลำดับ ไม่โกรกชันเหมือนเหวฉะนั้น

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ในธรรมวินัยนี้มีการศึกษาไปตามลำดับ มีการกระทำไป ตามลำดับ มีการปฏิบัติไปตามลำดับ มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตผลโดยตรง นี้เป็นธรรม อันน่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมาประการที่ ๑ ในธรรมวินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ พากันยินดีอยู่ในธรรมวินัยนี้

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย สาวกทั้งหลายของเรา ไม่ล่วงสิกขาบทที่เราบัญญัติแล้ว แม้เพราะเหตุ แห่งชีวิต เปรียบเสมือนมหาสมุทรเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ ไม่ล้นฝั่ง ฉะนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลายแม้ข้อที่สาวกทั้งหลายของเรา ไม่ล่วงสิกขาบทที่เราบัญญัติแล้ว นี้ก็เป็นธรรมอันน่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมา ประการที่ ๒ ...

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ทุศีล มีบาปธรรม มีความประพฤติไม่สะอาด น่ารังเกียจ ปกปิดกรรมชั่ว ไม่ใช่สมณะปฏิญาณว่าเป็นสมณะ ไม่ใช่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ปฏิญาณ ว่า ประพฤติพรหมจรรย์ เสียใน ชุ่มด้วยราคะเป็นดุจหยากเยื่อ สงฆ์ไม่ยอม อยู่ร่วมกับ บุคคลนั้น ประชุมกันยกวัตรเธอเสียทันที แม้เขาจะนั่งอยู่ในท่ามกลาง ภิกษุสงฆ์ แต่เขาก็ชื่อว่าห่างไกลจากสงฆ์และสงฆ์ก็ห่างไกลจากเขา เปรียบเหมือน มหาสมุทร ไม่เกลื่อนกล่นด้วยซากศพเ พราะคลื่นย่อมซัดเอาซากศพ ในมหาสมุทร เข้าหาฝั่ง ให้ขึ้นบก ฉะนั้น

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ข้อที่บุคคลผู้ทุศีล มีบาปธรรม ... และสงฆ์ก็ห่างไกล จากเขานี้ ก็เป็นธรรมอันน่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมาประการที่ ๓ ...

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย วรรณะ ๔ จำพวก คือ กษัตริย์ พราหมณ์แพศย์ ศูทร ออกบวชเป็น บรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว ย่อมละชื่อและโคตรเดิม ถึงการนับว่าพระ สมณศากยบุตรทั้งนั้น เปรียบเหมือนแม่น้ำใหญ่ๆ คือ แม่น้ำคงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหี แม่น้ำเหล่านั้นไหลไปถึงมหาสมุทรแล้ว ย่อมละชื่อและโคตรเดิมหมด ถึงการนับว่า มหาสมุทร นั่นเองฉะนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ข้อที่วรรณะ ๔ จำพวก คือ กษัตริย์ พราหมณ์... ถึงการนับว่าพระสมณศากยบุตรทั้งนั้น นี้ก็เป็นธรรมอันน่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมา ประการที่ ๔ ...

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ภิกษุเป็นอันมากจะปรินิพพาน ด้วยอนุปาทิเสส นิพพานธาตุ นิพพานธาตุก็มิได้ปรากฏว่าพร่องหรือเต็มด้วยภิกษุนั้น เปรียบเหมือน แม่น้ำทุกสาย ในโลก ย่อมไหลไปรวมลงในมหาสมุทร และสายฝนก็ตกลงสู่มหาสมุทร มหาสมุทร ก็ไม่ปรากฏว่าพร่องหรือเต็ม ฉะนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ข้อที่ภิกษุทั้งหลาย จะ ปรินิพพาน ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ นิพพานธาตุก็มิได้ปรากฏว่าพร่อง หรือ เต็มด้วย ภิกษุนั้น นี้เป็นธรรมอันน่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมาประการที่ ๕ ...

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมวินัยนี้มีรสเดียว คือวิมุตติรส เปรียบเหมือนมหาสมุทร มีรสเดียว คือ รสเค็มฉะนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ข้อธรรมวินัยนี้มีรสเดียว คือ วิมุตติรส นี้ก็เป็นธรรมอันน่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมา ประการที่ ๖ ...

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมวินัยนี้มีรัตนะมากมายหลายชนิด ในธรรมวินัยนั้นมีรัตนะ เหล่านี้ คือ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘ เปรียบเหมือนมหาสมุทร มีรัตนะมากมายหลายชนิด ในมหาสมุทรนั้น มีรัตนะเหล่านี้ คือ แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ สังข์ ศิลา แก้วประพาฬ เงิน ทอง ทับทิม แก้วมรกต ฉะนั้นดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ข้อที่ธรรมวินัยนี้ มีรัตนะมากมาย หลายชนิด ... อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้ก็เป็นธรรมอันน่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมา ประการที่ ๗ ...

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมวินัยนี้เป็นที่พำนักอาศัยสิ่งมีชีวิตใหญ่ๆ ในธรรมวินัยนั้น มีสิ่งที่มีชีวิตใหญ่ๆ เหล่านี้ คือ พระโสดาบัน ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล พระสกทาคามี ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้ง ซึ่งสกทาคามิผล พระอนาคามี ท่านผู้ปฏิบัติ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล พระอรหันต์ ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอรหันต์ เปรียบเหมือนมหาสมุทรเป็นที่พำนักอาศัย ของสิ่งมีชีวิตใหญ่ๆ ในมหาสมุทรนั้น มีสิ่งที่มีชีวิตใหญ่ๆ เหล่านี้คือ ปลาติมิ ปลาติมิงคละ ปลาติมิติมิงคละ อสูร นาค คนธรรพ์ แม้มีร่างกายใหญ่ประมาณร้อยโยชน์ สองร้อยโยชน์ สามร้อยโยชน์ สี่ร้อยโยชน์ ห้าร้อยโยชน์ ฉะนั้น

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ข้อที่ธรรมวินัยนี้ เป็นที่พำนักอาศัยสิ่งที่มีชีวิตใหญ่ๆ ... ท่านผู้ปฏิบัติ เพื่อความเป็นพระอรหันต์ นี้ก็เป็นธรรมอันน่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมา ประการที่ ๘ ในธรรมวินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆพากันยินดีอยู่ในธรรมวินัย ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในธรรมวินัยนี้ มีธรรมอันน่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมา ๘ ประการนี้แล ที่ภิกษุทั้งหลาย เห็นแล้วๆ พากันยินดีอยู่ในธรรมวินัยนี้

            ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า ฝน คือ กิเลสย่อมรั่วรดสิ่งที่ปกปิด ย่อมไม่รั่วรดสิ่งที่เปิด เพราะฉะนั้น พึงเปิดสิ่งที่ปกปิดไว้เสีย ฝน คือ กิเลส ย่อมไม่รั่วรดสิ่งที่เปิดนั้นอย่างนี้

 





หนังสือพุทธวจน ธรรมะของพระศาสดา
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์