พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๒๕
๑. ราชสูตร
[๑๑๐] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอาราม ของท่านอนาถบิณฑิก เศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล พระเจ้าปเสนทิโกศลประทับอยู่บนปราสาท ชั้นบน พร้อมด้วยพระนางมัลลิกาเทวี ลำดับนั้นแลพระเจ้าปเสนทิโกศล ตรัสถามพระนาง มัลลิกาเทวีว่า ดูกรน้องมัลลิกา มีใครอื่นบ้างไหมที่น้องรักยิ่งกว่าตน พระนางมัลลิกา กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า หามีใครอื่นที่หม่อมฉันจะรักยิ่งกว่าตนไม่ ก็ทูลกระหม่อมเล่า มีใครอื่นที่รักยิ่งกว่าพระองค์ เพคะ
ป. ดูกรน้องมัลลิกา แม้ฉันก็ไม่รักใครอื่นยิ่งกว่าตน
ลำดับนั้นแล พระเจ้าปเสนทิโกศล เสด็จลงจากปราสาทแล้ว เสด็จเข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ทรงถวายบังคมแล้วประทับนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันอยู่บนปราสาท กับ พระนางมัลลิกาเทวี ได้ถามพระนางมัลลิกาเทวี ว่ามีใครอื่นที่น้องรักยิ่งกว่าตน เมื่อ หม่อมฉัน ถามอย่างนี้ พระนางมัลลิกาเทวี กล่าวว่าพระพุทธเจ้าข้า หามีใครอื่น ที่หม่อมฉัน จะรักยิ่งกว่าตนไม่ ก็ทูลกระหม่อมเล่ามีใครอื่น ที่รักยิ่งกว่า พระองค์ หม่อมฉันเมื่อถูกถามเข้าอย่างนี้ จึงได้ตอบพระนางมัลลิกาว่า แม้ฉันก็ไม่มีใครอื่น ที่จะรักยิ่งกว่าตน
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้น ว่า ใครๆ ตรวจตราด้วยจิตทั่วทุกทิศแล้ว หาได้พบผู้เป็นที่รักยิ่ง กว่าตน ในที่ไหนๆ ไม่เลย สัตว์เหล่าอื่นก็รักตนมากเหมือน กัน เพราะฉะนั้น ผู้รักตนจึงไม่ควร เบียดเบียนผู้อื่น
---------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๒๖
๒. อัปปายุกาสูตร
[๑๑๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก เศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล เวลาเย็น ท่านพระอานนท์ออกจากที่หลีกเร้นแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ไม่เคยมีมาแล้ว พระมารดาของพระผู้มีพระภาค ทรงมี พระชนมายุน้อยเหลือเกิน เมื่อพระผู้มีพระภาคประสูติได้ ๗ วัน พระมารดาของ พระผู้มีพระภาค ก็เสด็จสวรรคต เข้าถึงเทพนิกายชั้นดุสิต พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ ข้อนี้เป็นอย่างนั้น ดูกรอานนท์ข้อนี้เป็นอย่างนั้น
ดูกรอานนท์ มารดาของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย มีอายุน้อยเหลือเกิน เมื่อพระโพธิสัตว์ประสูติได้ ๗ วัน มารดาของพระโพธิสัตว์ ย่อมทำกาละ เข้าถึงเทพ นิกาย ชั้นดุสิต
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า สัตว์เหล่าใดเหล่าหนึ่งผู้เกิดแล้ว และแม้จักเกิด สัตว์ทั้งหมด นั้นจักละ ร่างกายไป ท่านผู้ฉลาดทราบความเสื่อมแห่งสัตว์ ทั้งปวงนั้นแล้วพึงเป็นผู้มีความเพียร ประพฤติพรหมจรรย์
---------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๒๙-๑๓๐
๔. กุมารกสูตร
[๑๑๕] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของท่าน อนาถบิณฑิก เศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล เด็กรุ่นหนุ่มมากด้วยกัน จับปลาอยู่ในระหว่าง พระนครสาวัตถี กับพระวิหารเชตวัน
ครั้งนั้นแลเป็นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาค ทรงอันตรวาสกแล้ว ทรงถือบาตร และจีวร เสด็จเข้าไปบิณฑบาตยังพระนครสาวัตถี ได้ทอดพระเนตร เห็นเด็กรุ่นหนุ่ม มากด้วยกัน จับปลาอยู่ในระหว่างพระนครสาวัตถี กับพระวิหารเชตวัน
ครั้นแล้วเสด็จเข้าไปหาเด็กรุ่นหนุ่มเหล่านั้น แล้วได้ตรัสถามว่า พ่อหนูทั้งหลาย เธอทั้งหลายกลัวต่อความทุกข์ ความทุกข์ไม่เป็นที่รักของเธอทั้งหลาย มิใช่หรือ เด็กเหล่านั้นกราบทูลว่า อย่างนั้นพระเจ้าข้า ข้าพระองค์ทั้งหลาย กลัวต่อความทุกข์ ความทุกข์ไม่เป็นที่รักของข้าพระองค์ทั้งหลาย
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า ถ้าท่านทั้งหลายกลัวต่อความทุกข์ ถ้าความทุกข์ไม่เป็นที่รัก ของท่าน ทั้งหลายไซร้ ท่านทั้งหลายอย่าได้ทำบาปกรรมทั้งใน ที่แจ้งหรือในที่ลับเลย ถ้าท่านทั้งหลาย จักทำหรือทำอยู่ซึ่ง บาปกรรมไซร้ ท่านทั้งหลายแม้จะเหาะหนีไป ก็ย่อมไม่พ้น ไปจากความทุกข์เลย
|