พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๑๘
๖. ปิณโฑลภารทวาชสูตร
[๑๐๐] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถ บิณฑิก เศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล ท่านพระปิณโฑล
ภารทวาชะ ผู้ถือการอยู่ป่า เป็นวัตร ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ถือทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ถือทรงไตรจีวร เป็นวัตร มีความปรารถนาน้อย สันโดษ ชอบสงัด ไม่คลุกคลี ด้วยหมู่ ปรารภความเพียร ผู้มีวาทะ กำจัด หมั่นประกอบในอธิจิต
นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง อยู่ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคได้ทรง
เห็นท่านพระปิณโฑลภารัทวาชะ ผู้ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร ... อยู่ในที่ไม่ไกล
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทาน
นี้ในเวลานั้นว่า
๑ การไม่ว่าร้ายกัน
๒ การไม่เบียดเบียนกัน
๓ การสำรวม
ในพระปาติโมกข์
๔ ความเป็นผู้รู้จักประมาณในภัต
๕ ที่นอนที่นั่งอันสงัด
๖ การประกอบความเพียรในอธิจิต
นี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
---------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๑๘-๑๑๙
๗. สาริปุตตสูตร
[๑๐๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถ บิณฑิก เศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล ท่านพระสารีบุตรผู้
มีความปรารถนาน้อย สันโดษ ชอบสงัด ไม่คลุกคลีด้วยหมู่ ปรารภความเพียร
หมั่นประกอบในอธิจิต นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง อยู่ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค
พระผู้มีพระภาคได้ทรงเห็น ท่านพระสารีบุตรผู้มีความปรารถนาน้อย ... อยู่ในที่ ไม่ไกล
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า ความโศกทั้งหลายย่อมไม่มีแก่ผู้ที่มีจิตยิ่ง ไม่ประมาท เป็นมุนี ศึกษาอยู่ ในครองแห่งมุนี คงที่ สงบ มีสติทุกเมื่อ
---------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๒๒-๑๒๓
๙. อุปเสนวังคันตปุตตสูตร
[๑๐๘] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน กลันทกนิวาปสถาน ใกล้พระนคร ราชคฤห์ ครั้งนั้นแล ท่านพระอุปเสนวังคันตบุตร หลีกเร้นอยู่ในที่ลับ ได้เกิดความปริวิตก แห่งใจขึ้น อย่างนี้ว่า เป็นลาภของเราหนอเราได้ดีแล้วหนอ พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้า เป็นศาสดาของเรา เราออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัย อันพระผู้มีพระภาค ตรัสดีแล้ว เพื่อนพรหมจรรย์ของเรามีศีล มีธรรมอันงาม เราเป็นผู้กระทำบริบูรณ์ ในศีลทั้งหลาย เป็นผู้มีจิตตั้งมั่นแน่วแน่เป็นอันดี เราเป็น พระอรหันต ขีณาสพ และเราเป็นผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก ชีวิตของเราเจริญ ความตาย ของเราเจริญ
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงทราบความปริวิตก แห่งใจของท่านพระอุปเสน วังคันตบุตร ด้วยพระหฤทัยแล้ว ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า ชีวิตย่อมไม่ทำให้ผู้ใด เดือดร้อน ผู้นั้นย่อมไม่เศร้าโศกในที่ สุดแห่งมรณะ ถ้าว่าผู้นั้นมีบทอันเห็นแล้วไซร้ เป็น นักปราชญ์ ย่อมไม่เศร้าโศกในท่ามกลางแห่งสัตว์ผู้มีความโศก ภิกษุผู้มีภวตัณหา อันตัดขาดแล้ว มีจิตสงบ มีชาติ สงสารสิ้นแล้ว ย่อมไม่มีภพใหม่
---------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๒๓-๑๒๔
๑๐. สาริปุตตสูตร
[๑๐๙] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก เศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล ท่านพระสารีบุตรนั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง พิจารณาความสงบ ระงับของตนอยู่ ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ได้ทรงเห็นท่าน พระสารีบุตร นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรงพิจารณาความสงบระงับ ของตน อยู่ในที่ไม่ไกล
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้น ว่า ภิกษุผู้มีจิตสงบระงับ มีตัณหาอันจะนำไปในภพตัดขาดแล้ว ชาติสงสาร สิ้นแล้ว พ้นแล้วจาก เครื่องผูกแห่งมาร
|