พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๑๒
๒. อุทธตสูตร
[๙๐] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่สาลวัน อันเป็นที่เสด็จประพาส ของมัลลกษัตริย์ ทั้งหลาย ใกล้กรุงกุสินารา ก็สมัยนั้นแล ภิกษุมากรูปด้วยกันเป็นผู้มีจิตฟุ้งซ่าน เย่อหยิ่ง กลับกลอก มีปากกล้า มีวาจาเกลื่อนกล่น มีสติหลงลืม ไม่รู้สำนึกตัว มีจิตไม่ตั้งมั่น มีจิตหมุนไปผิด ไม่สำรวมอินทรีย์ อยู่ในกุฎีที่เขาสร้างไว้ในป่า ในที่ไม่ไกล พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ได้ทรงเห็นภิกษุเหล่านั้น ผู้มีจิตฟุ้งซ่าน เย่อหยิ่ง ปากกล้า วาจาเกลื่อนกล่น มีสติหลงลืม ไม่รู้สำนึกตัว มีจิตไม่ตั้งมั่น มีจิตหมุนไปผิด ไม่สำรวมอินทรีย์ อยู่ในกุฎีที่เขาสร้างไว้ในป่าในที่ไม่ไกล
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า ภิกษุมีกายไม่รักษาแล้ว เป็นมิจฉาทิฐิ และถูกถีนมิทธะ ครอบงำแล้ว ย่อมไปสู่อำนาจแห่งมาร เพราะเหตุนั้น ภิกษุพึงเป็นผู้รักษาจิต มีความดำริชอบเป็นโคจร มุ่งสัมมา ทิฐิเป็นเบื้องหน้า รู้ความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปแล้ว ครอบงำถีนมิทธะ พึงละทุคติทั้งหมดได้
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๑๒-๑๑๔
๓. โคปาลสูตร
[๙๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาค เสด็จจาริกไปในโกศลชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงแวะออกจากทางแล้ว เสด็จเข้าไปยังโคนต้นไม้แห่งหนึ่ง แล้วประทับนั่งที่อาสนะอันบุคคลปูไว้แล้ว ครั้งนั้นแลนายโคบาลคนหนึ่ง เข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว นั่งอยู่ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ทรงชี้แจงให้นายโคบาลนั้นเห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา
ครั้งนั้นแล นายโคบาลนั้น อันพระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้เห็นแจ้งให้สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาค พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ทรงรับภัตของข้าพระองค์ เพื่อเสวยในวัน พรุ่งนี้เถิด พระเจ้าข้าพระผู้มีพระภาค ทรงรับนิมนต์โดยดุษณีภาพ
ลำดับนั้นแล นายโคบาลนั้น ทราบว่าพระผู้มีพระภาค ทรงรับแล้วลุกออกจาก อาสนะ ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณแล้วหลีกไป พอล่วงราตรีนั้นไป นายโคบาลสั่งให้ตกแต่งข้าวปายาสมีน้ำน้อย และสัปปิใหม่ อันเพียงพอ ในนิเวศน์ ของตนแล้ว ให้กราบทูลภัตกาลแด่พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถึงเวลาแล้ว ภัตเสร็จแล้ว ครั้นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาค ทรงอันตรวาสกแล้ว ทรงถือบาตรและจีวร เสด็จเข้าไปยังนิเวศน์ของนายโคบาล พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ครั้นแล้วประทับนั่งที่อาสนะ ที่เขาปูลาดถวาย
ลำดับนั้นแล นายโคบาลอังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้า เป็นประมุขด้วยข้าว ปายาส มีน้ำน้อยและสัปปิใหม่ให้อิ่มหนำสำราญด้วยมือของตน เมื่อพระผู้มีพระภาค เสวยเสร็จชักพระหัตถ์จากบาตรแล้ว นายโคบาล ถือเอาอาสนะต่ำแห่งหนึ่งนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ทรงชี้แจงให้นายโคบาลนั้น เห็นแจ้งให้สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาแล้วเสด็จลุกจากอาสนะหลีกไป
[๙๒] ครั้งนั้นแล เมื่อพระผู้มีพระภาค เสด็จหลีกไปแล้วไม่นาน บุรุษคนหนึ่ง ได้ปลงชีวิตนายโคบาลนั้น ในระหว่างเขตบ้าน ลำดับนั้นแล ภิกษุมากรูปด้วยกัน เข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ได้ทราบว่า นายโคบาล อังคาส ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้า เป็นประมุขให้อิ่มหนำสำราญด้วยข้าวปายาสมีน้ำน้อย และสัปปิใหม่ด้วยมือของตนในวันนี้แล้ว ถูกบุรุษคนหนึ่งปลงชีวิตเสียแล้ว ในระหว่าง เขตบ้าน
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า โจรหัวโจกเห็นโจรหัวโจกแล้ว พึงทำความฉิบหายหรือความ ทุกข์ให้ ก็หรือคนมีเวรเห็น คนมีเวรแล้ว พึงทำความฉิบหาย หรือความทุกข์ให้ จิตที่ตั้งไว้ผิด พึงทำเขาให้เลวกว่านั้น
|