เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
ค้นหาคำที่ต้องการ            

(พุทธอุทาน อุทานสูตร) ปิณฑปาตสูตร สิปปสูตร โลกสูตร 2398
 

พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕

๘. ปิณฑปาตสูตร ทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า
ถ้าว่าภิกษุไม่อาศัยเสียงสรรเสริญแล้วไซร้ เทวดาและมนุษย์ ทั้งหลาย ย่อมรักใคร่ต่อภิกษุ ผู้ถือการเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ผู้เลี้ยงตนมิใช่ผู้เลี้ยงคนอื่น ผู้คงที่

๙. สิปปสูตร ทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า
ผู้ไม่อาศัยศิลปเลี้ยงชีพ ผู้เบา ปรารถนาประโยชน์ มี อินทรีย์สำรวมแล้ว พ้นวิเศษแล้ว ในธรรมทั้งปวง ไม่มี ที่อยู่เที่ยวไป ไม่ยึดถือว่าของเรา ไม่มีความหวัง ผู้นั้นกำจัด มารได้แล้ว เป็นผู้เที่ยวไปผู้เดียว ชื่อว่าเป็นภิกษุ

๑๐. โลกสูตร ทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า
โลกนี้เกิดความเดือดร้อนแล้ว ถูกผัสสะครอบงำแล้ว ย่อมกล่าวถึงโรค โดยความเป็นตัวตน ก็โลกย่อมสำคัญโดยประการ ใด ขันธปัญจกอันเป็นวัตถุ แห่งความสำคัญนั้น ย่อมเป็น อย่างอื่น จากประการที่ตนสำคัญนั้น โลกข้องแล้วในภพ มีความแปรปรวนเป็นอื่น ถูกภพครอบงำแล้ว ย่อมเพลิด เพลินภพนั่นเอง (สัตว์) โลกย่อมเพลิดเพลินสิ่งใด สิ่งนั้น เป็นภัย โลกกลัวสิ่งใด สิ่งนั้นเป็นทุกข์ ก็บุคคลอยู่ ประพฤติพรหมจรรย์นี้เพื่อจะละภพแล

เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 
รวมพระสูตรบุคคลสำคัญ
พระโมคคัลลานะ
พระสารีบุตร
พระเทวทัต
นิครนถ์ปริพาชก
พระมหากัปปินะ
พระอนุรุทธะ
พระอุบาลี
(ดูทั้งหมด)
 
สารบาญพระไตรปิฎก
เล่มที่ ๘-๓๓ (๒๕ เล่ม) ทุกพระสูตร
1. ฉบับหลวง
2. ฉบับมหาจุฬาฯ
3. อรรถกถาไทย
4. ฉบับภาษาบาลี
5. อรรถกถา-บาลี
6. Pali Roman (Roman Script)
7. Atthakatha PaliRoman
 

 


 


พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๐๒-๑๐๓

๘. ปิณฑปาตสูตร

            [๘๒] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก เศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล ภิกษุมากรูปด้วยกัน กลับจากบิณฑบาต ในเวลาปัจฉาภัต นั่งประชุมกันในโรงกลมใกล้ต้นกุ่ม สนทนากันถึงเรื่องเป็นไป ในระหว่างนี้ว่า

            ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุผู้ถือการเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร เที่ยวบิณฑบาตอยู่ ย่อมได้เห็นรูป อันเป็นที่พอใจ ด้วยจักษุย่อมได้ฟังเสียง อันเป็นที่ พอใจ ด้วยหู ย่อมได้ดมกลิ่นอันเป็นที่พอใจด้วยจมูก ย่อมได้ลิ้มรสอันเป็นที่พอใจด้วยลิ้น ย่อมได้ถูกต้องโผฏฐัพพะ อันเป็นที่พอใจด้วยกาย ตามกาลอันสมควร

            ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุผู้ถือการเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร เป็นผู้อัน มหาชนสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรง ย่อมเที่ยวไปบิณฑบาต

            ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ผิฉะนั้น เราทั้งหลายจงถือการเที่ยวบิณฑบาต เป็นวัตรเถิด แม้เราทั้งหลายก็จักได้เห็นรูปอันเป็นที่พอใจด้วยจักษุ ได้ฟังเสียง อันเป็นที่พอใจด้วยหู ได้ดมกลิ่นอันเป็นที่พอใจด้วยจมูก ได้ลิ้มรสอันเป็นที่พอใจด้วยลิ้น ได้ถูกต้องโผฏฐัพพะ อันเป็นที่พอใจด้วยกาย ตามกาลอันสมควรแม้เราทั้งหลาย ก็จักเป็นผู้อันมหาชนสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรงเที่ยวไปบิณฑบาต

            ภิกษุเหล่านั้นสนทนากถาค้างอยู่ในระหว่างเพียงนี้ ครั้งนั้นแลเป็นเวลาเย็น พระผู้มีพระภาค เสด็จออกจากที่เร้นแล้ว ได้เสด็จเข้าไปถึงโรงกลมใกล้ต้นกุ่ม แล้ว ประทับนั่ง ณ อาสนะที่ปูลาดไว้

            ครั้นแล้วตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เธอทั้งหลาย นั่งประชุมสนทนากัน ด้วยเรื่องอะไรหนอ และเธอทั้งหลายสนทนาเรื่องอะไร ค้างไว้ในระหว่าง ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่าขอประทานพระวโรกาส ข้าพระองค์ทั้งหลาย กลับจากบิณฑบาตในเวลาปัจฉาภัต นั่งประชุมกันในโรงกลมใกล้ต้นกุ่มนี้ เกิดสนทนากันในระหว่างนี้ว่า

            ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุผู้ถือการเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร เที่ยวไป บิณฑบาต อยู่ย่อมได้เห็นรูปอันเป็นที่พอใจ ด้วยจักษุ ... แม้เราทั้งหลาย ก็จักเป็นผู้ อันมหาชน สักการะ เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรง เที่ยวไปบิณฑบาต

            ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทั้งหลาย สนทนาเรื่องค้างไว้ในระหว่างนี้แล ก็พอดีพระผู้มีพระภาคเสด็จมาถึง พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย การที่เธอทั้งหลาย เป็นกุลบุตรออกบวชเป็นบรรพชิต ด้วยศรัทธา พึงกล่าวเรื่องเห็นปานนี้นั้นไม่สมควรเลย เธอทั้งหลาย ประชุมกันแล้ว พึงกระทำอาการ ๒ อย่าง คือ ธรรมีกถา หรือดุษณีภาพอันเป็นอริยะ

            ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ได้ ทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า ถ้าว่าภิกษุไม่อาศัยเสียงสรรเสริญแล้วไซร้ เทวดาและมนุษย์ ทั้งหลาย ย่อมรักใคร่ต่อภิกษุ ผู้ถือการเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ผู้เลี้ยงตนมิใช่ผู้เลี้ยงคนอื่น ผู้คงที่


---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๐๔-๑๐๕

๙. สิปปสูตร

            [๘๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถ บิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล ภิกษุมากด้วยกันกลับจากบิณฑบาต ในเวลาปัจฉาภัตแล้ว นั่งประชุมกันในโรงกลม ได้สนทนากันถึงเรื่องเป็นไปในระหว่างว่า

            ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ใครหนอแลย่อมรู้ศิลป ใครศึกษาศิลปอะไร ศิลปอย่างไหนเป็นยอดแห่งศิลปทั้งหลาย บรรดาภิกษุเหล่านั้นภิกษุบางพวก กล่าวอย่างนี้ว่า ศิลปในการฝึกช้าง เป็นยอดแห่งศิลปทั้งหลาย

บางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า ศิลปในการฝึกม้าเป็นยอดแห่งศิลปทั้งหลาย
บางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า ศิลปในการขับรถเป็นยอดแห่งศิลปทั้งหลาย
บางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า ศิลปในการยิงธนูเป็นยอดแห่งศิลปทั้งหลาย
บางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า ศิลปทางอาวุธเป็นยอดแห่งศิลปทั้งหลาย
บางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า ศิลปทางนับนิ้วมือเป็นยอดแห่งศิลปทั้งหลาย
บางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า ศิลปในการคำนวณเป็นยอดแห่งศิลปทั้งหลาย
บางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า ศิลปนับประมวลเป็นยอดแห่งศิลปทั้งหลาย
บางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า ศิลปในการขีดเขียนเป็นยอดแห่งศิลปทั้งหลาย
บางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า ศิลปในการแต่งกาพย์กลอนเป็นยอดแห่งศิลปทั้งหลาย
บางพวกกล่าวอย่างนี้ว่าศิลปในทางโลกายตศาสตร์เป็นยอดแห่งศิลปทั้งหลาย
บางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า ศิลปในทางภูมิศาสตร์เป็นยอดแห่งศิลปทั้งหลาย

            ภิกษุเหล่านั้นสนทนาเรื่องค้างไว้ในระหว่างเพียงนี้ ครั้งนั้นแล เป็นเวลาเย็น พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากที่เร้น ได้เสด็จเข้าไปถึงโรงกลม แล้วประทับนั่ง ณ อาสนะ ที่ปูลาดไว้ ครั้นแล้วตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เธอทั้งหลาย นั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ และเธอทั้งหลายสนทนาเรื่องอะไรค้างไว้ ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ขอประทาน พระวโรกาส ข้าพระองค์ทั้งหลายกลับจากบิณฑบาตในเวลาปัจฉาภัต นั่งประชุมกัน ในโรงกลม เกิดสนทนากันในระหว่างว่า

            ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ใครหนอแลย่อมรู้ศิลป ... บางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า ศิลป ในทางภูมิศาสตร์ เป็นยอดแห่งศิลปทั้งหลาย ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ ทั้งหลาย สนทนาเรื่องค้างไว้ในระหว่างนี้แล ก็พอดีพระผู้มีพระภาคเสด็จมาถึง พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย การที่เธอทั้งหลายเป็นกุลบุตร ออกบวชเป็นบรรพชิต ด้วยศรัทธา กล่าวกถาเห็นปานนี้นั้น ไม่สมควรเลย เธอทั้งหลายประชุมกันแล้ว พึงกระทำอาการ ๒ อย่าง คือ ธรรมีกถา หรือดุษณีภาพอันเป็นอริยะ

            ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า ผู้ไม่อาศัยศิลปเลี้ยงชีพ ผู้เบา ปรารถนาประโยชน์ มี อินทรีย์สำรวมแล้ว พ้นวิเศษแล้ว ในธรรมทั้งปวง ไม่มี ที่อยู่เที่ยวไป ไม่ยึดถือว่าของเรา ไม่มีความหวัง ผู้นั้นกำจัด มารได้แล้ว เป็นผู้เที่ยวไปผู้เดียว ชื่อว่าเป็นภิกษุ


---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๐๕-๑๐๗

๑๐. โลกสูตร


            [๘๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคแรกตรัสรู้ ประทับอยู่ที่ควงไม้โพธิ์ ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลา ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาค ประทับนั่งเสวยวิมุตติสุขโดยบัลลังก์เดียว ตลอด ๗ วัน ครั้งนั้นแลโดยล่วง ๗ วันนั้นไป พระผู้มีพระภาค เสด็จออกจากสมาธิ นั้นแล้ว ทรงตรวจดูโลก ด้วยพุทธจักษุ ได้ทรงเห็นหมู่สัตว์ผู้เดือดร้อน อยู่ด้วยความ เดือดร้อนเป็นอันมาก และผู้ถูกความเร่าร้อนเป็นอันมาก ซึ่งเกิดจากราคะบ้าง เกิดจากโทสะบ้าง เกิดจากโมหะบ้าง แผดเผาอยู่

            ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า โลกนี้เกิดความเดือดร้อนแล้ว ถูกผัสสะครอบงำแล้ว ย่อม กล่าวถึงโรค โดยความเป็นตัวตน ก็โลกย่อมสำคัญโดยประการ ใด ขันธปัญจกอันเป็นวัตถุ แห่งความสำคัญนั้น ย่อมเป็น อย่างอื่นจากประการที่ตนสำคัญนั้น โลกข้องแล้วในภพ มีความแปรปรวนเป็นอื่น ถูกภพครอบงำแล้ว ย่อมเพลิด เพลินภพนั่นเอง (สัตว์) โลกย่อมเพลิดเพลินสิ่งใด สิ่งนั้น เป็นภัย โลกกลัวสิ่งใด สิ่งนั้นเป็นทุกข์ ก็บุคคลอยู่ ประพฤติพรหมจรรย์นี้เพื่อจะละภพแล

            ก็สมณะหรือพราหมณ์ เหล่าใดเหล่าหนึ่ง กล่าวความหลุดพ้นจากภพ ด้วยภพ(สัสสตทิฐิ) เรากล่าวว่า สมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมดไม่หลุดพ้นไปจาก ภพ ก็หรือสมณะ หรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง กล่าว ความสลัดออกจากภพ ด้วยความ ไม่มีภพ (อุจเฉททิฐิ) เรากล่าวว่า สมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมดไม่สลัดออกไป จากภพ ก็ทุกข์นี้ย่อมเกิดเพราะอาศัยอุปธิทั้งปวง ความเกิด แห่งทุกข์ย่อมไม่มี เพราะความสิ้นอุปาทานทั้งปวง ท่านจง ดูโลกนี้

            สัตว์ทั้งหลายเป็นจำนวนมาก ถูกอวิชชาครอบงำ หรือยินดีแล้วในขันธปัญจก ที่เกิดแล้ว ไม่พ้นไปจากภพ ก็ภพเหล่าใดเหล่าหนึ่งในส่วนทั้งปวง (ในเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวาง) โดยส่วนทั้งปวง (สวรรค์ อบาย และมนุษย์เป็นต้น) ภพทั้งหมดนั้น ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา อันบุคคลผู้เห็นขันธปัญจก กล่าวคือ ภพ ตามความเป็นจริงด้วย ปัญญา อันชอบอย่างนี้ อยู่ ย่อมละภวตัณหาได้ ทั้งไม่เพลิดเพลิน วิภวตัณหา ความดับ ด้วยอริยมรรคเป็นเครื่องสำรอกไม่มีส่วนเหลือ เพราะความ สิ้นไปแห่งตัณหาทั้งหลาย โดยประการทั้งปวง เป็นนิพพาน ภพใหม่ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น ผู้ดับแล้วเพราะไม่ถือมั่น ภิกษุ นั้นครอบงำมาร ชนะสงคราม ล่วงภพได้ทั้งหมด เป็นผู้ คงที่ฉะนี้แล

 





หนังสือพุทธวจน ธรรมะของพระศาสดา
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์