พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๘๑-๘๕
๘. สุปปวาสาสูตร
(พระสูตรนี้น่าจะเป็นเรื่องแต่งขึ้นภายหลัง)
[๕๙] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ป่ากุณฑิฐานวัน ใกล้พระนครกุณฑิยา ก็สมัยนั้น แล พระนางสุปปวาสา พระธิดาของพระเจ้าโกลิยะ ทรงครรภ์อยู่ถึง ๗ ปี มีครรภ์หลง อยู่ถึง ๗ วัน พระนางสุปปวาสานั้น ผู้อันทุกขเวทนากล้าเผ็ดร้อน ถูกต้องแล้ว ทรง อดกลั้น ได้ด้วยการตรึก ๓ ข้อว่า พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ตรัสรู้ด้วยพระองค์โดย ชอบหนอ ย่อมทรงแสดงธรรม เพื่อละทุกข์เห็นปานนี้ พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค พระองค์นั้น ปฏิบัติดีแล้วหนอปฏิบัติ เพื่อละทุกข์เห็นปานนี้ นิพพานซึ่งเป็นที่ไม่มีทุกข์ เห็นปานนี้ เป็นสุขดีหนอ
[๖๐] ครั้งนั้นแล พระนางสุปปวาสาโกลิยธิดา เชิญพระสวามีมาว่าเชิญมานี่เถิด พระลูกเจ้า ขอเชิญพระองค์เสด็จไปเฝ้า พระผู้มีพระภาค ครั้นแล้ว ทรงถวายบังคม พระบาท ของพระผู้มีพระภาค ด้วยเศียรเกล้า ตามคำของหม่อมฉัน จงทูลถามถึงความ เป็นผู้มีพระอาพาธน้อย พระโรคเบาบาง กะปรี้กะเปร่า มีพระกำลังความอยู่สำราญ ว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นางสุปปวาสาโกลิยธิดา ถวายบังคมพระบาท ของพระผู้มี พระภาค ด้วยเศียรเกล้า และทูลถามความเป็นผู้มีพระอาพาธน้อย พระโรคเบาบาง กะปรี้กะเปร่า มีพระกำลัง ความอยู่สำราญ อนึ่งขอพระองค์จงกราบทูลอย่างนี้ว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นางสุปปวาสาโกลิยธิดาทรงครรภ์ ๗ ปี มีครรภ์หลงอยู่ ๗ วัน นางสุปปวาสานั้น อันทุกขเวทนากล้าเผ็ดร้อน ถูกต้องแล้ว ย่อมอดกลั้นได้ด้วยการ ตรึก ๓ ข้อว่า พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง โดยชอบหนอ ย่อมทรง แสดงธรรม เพื่อละทุกข์เห็นปานนี้ พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค พระองค์นั้น ปฏิบัติดีหนอ ปฏิบัติเพื่อละทุกข์ เห็นปานนี้ นิพพานซึ่งเป็นที่ไม่มีทุกข์เห็นปานนี้ เป็นสุขดีหนอ
พระราชบุตรพระเจ้าโกลิยะนั้น ทรงรับคำของพระนางสุปปวาสาโกลิยธิดา แล้วเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วประทับนั่ง ณ ที่ควร ส่วนข้างหนึ่งครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระนางสุปปวาสาโกลิยธิดา ถวายบังคมพระบาท ของ พระผู้มีพระภาค ด้วยเศียรเกล้า และตรัสถามถึง ความเป็นผู้มีพระอาพาธน้อย พระโรคเบาบาง กะปรี้กะเปร่า ทรงพระกำลัง ความอยู่สำราญ และรับสั่งอย่างนี้ว่า พระนางสุปปวาสาโกลิยธิดา ทรงครรภ์อยู่ถึง ๗ ปี มีครรภ์หลงอยู่ ๗ วัน พระนาง สุปปวาสานั้น ผู้อันทุกขเวทนากล้าเผ็ดร้อนถูกต้องแล้ว ย่อมอดกลั้นได้ด้วยการตรึก ๓ ข้อว่า พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบหนอ ย่อมทรงแสดง ธรรม เพื่อละทุกข์เห็นปานนี้ พระสงฆ์สาวก ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ปฏิบัติดีหนอ ปฏิบัติเพื่อละทุกข์เห็นปานนี้ นิพพานซึ่งเป็นที่ไม่มีทุกข์เห็นปานนี้ เป็นสุขดีหนอ
(๑) พระผู้มีพระภาคตรัสว่า พระนางสุปปวาสาโกลิยธิดา จงเป็นผู้มีสุข หาโรค มิได้ คลอดบุตรหาโรคมิได้เถิด ก็แลพระนางสุปปวาสาโกลิยธิดา ทรงมีสุขหาโรคมิได้ ประสูติพระโอรสผู้หาโรคมิได้ พร้อมกับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาค พระราชบุตร ของพระเจ้าโกลิยะนั้น ทูลรับพระดำรัสแล้ว ทรงชื่นชมยินดีพระภาษิต ของ พระผู้มีพระภาค เสด็จลุกขึ้นจากอาสนะ ถวายบังคมกระทำประทักษิณ แล้วเสด็จกลับ ไปสู่นิเวสน์ของตน ได้ทรงเห็นพระนางสุปปวาสาโกลิยธิดา ทรงมีสุขหาโรคมิได้ ประสูติ พระโอรสผู้หาโรคมิได้
ครั้นแล้วได้ทรงดำริว่า น่าอัศจรรย์จริงหนอ ไม่เคยมีมา พระตถาคตมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก ก็แลพระนางสุปปวาสาโกลิย ธิดานี้ทรงมีสุข หาโรคมิได้ คงจักประสูติ พระโอรสผู้หาโรคมิได้ พร้อมกับพระดำรัส ของพระผู้มีพระภาค ได้เป็นผู้ปลื้มใจ เบิกบาน มีปีติโสมนัส
[๖๑] ครั้งนั้นแล พระนางสุปปวาสาโกลิยธิดา ทูลเชิญพระสวามีมาว่า ข้าแต่พระลูกเจ้า ขอเชิญพระองค์เสด็จมานี่เถิด เชิญพระองค์เสด็จไปเฝ้า พระผู้มีพระภาค แล้วจงถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ด้วยเศียรเกล้า ตามคำของหม่อมฉัน ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นางสุปปวาสาโกลิยธิดา ถวายบังคมพระบาท ของพระผู้มีพระภาค ด้วยเศียรเกล้า
อนึ่ง ขอพระองค์จงทูลอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นางสุปปวาสาโกลิยธิดา ทรงครรภ์อยู่ถึง ๗ ปี มีครรภ์หลงถึง ๗ วัน บัดนี้ พระนางมีสุข หาโรคมิได้ คลอดบุตร ผู้หาโรคมิได้ นางนิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้า เป็นประมุขด้วยภัตตาหารสิ้น ๗ วัน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคกับภิกษุสงฆ์ จงทรงรับภัตตาหาร ของนาง สุปปวาสาโกลิยธิดา ๗ วันเถิด พระราชบุตรของพระเจ้าโกลิยะนั้น ทรงรับคำพระนาง สุปปวาสาโกลิยธิดาแล้ว เสด็จไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับถวายบังคมแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระนางสุปปวาสาโกลิยธิดา ถวายบังคมพระบาท ของพระผู้มีพระภาค ด้วยเศียรเกล้า อนึ่ง พระนางรับสั่งมาอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ พระนางสุปปวาสาโกลิยธิดาทรงครรภ์อยู่ถึง ๗ ปี มีครรภ์หลงถึง ๗ วัน บัดนี้ พระนางทรงมีสุข หาโรคมิได้ประสูติพระโอรส ผู้หาโรคมิได้ พระนางนิมนต์พระภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขด้วยภัตตาหารสิ้น ๗ วัน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มี พระภาค กับภิกษุสงฆ์ โปรดทรงรับภัตตาหาร ของนางสุปปวาสาโกลิยธิดาสิ้น ๗ วันเถิด
[๖๒] ก็สมัยนั้นแล อุบาสกคนหนึ่ง นิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้า เป็นประมุข ด้วยภัต เพื่อฉันในวันพรุ่ง ก็อุบาสกนั้นเป็นอุปัฏฐาก ของท่านพระมหาโมคคัลลานะ ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาค ตรัสเรียกท่านพระมหาโมคคัลลานะว่ามา นี่แน่ะโมคคัลลานะ ท่านจงเข้าไปหาอุบาสกนั้น
ครั้นแล้วจงกล่าวกะอุบาสกนั้น อย่างนี้ว่า ท่านผู้มีอายุ พระนางสุปปวาสา โกลิยธิดา ทรงครรภ์อยู่ถึง ๗ ปีมีครรภ์หลงถึง ๗ วัน บัดนี้ พระนางทรงมีสุข หาโรคมิได้ ประสูติพระโอรสผู้หาโรคมิได้ นิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้า เป็นประมุขด้วยภัตตาหาร สิ้น ๗ วันพระนางสุปปวาสาโกลิยธิดา จงทำภัตตาหารสิ้น ๗ วันเถิด อุปัฏฐากของ ท่านนั้นจักทำภายหลัง ท่านพระมหาโมคคัลลานะทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว เข้าไปหา อุบาสกนั้น ครั้นแล้วได้กล่าวกะอุบาสกนั้นว่า
ดูกรท่านผู้มีอายุ พระนางสุปปวาสาโกลิยธิดา ทรงครรภ์อยู่ถึง ๗ ปี มีครรภ์หลง ถึง ๗ วัน บัดนี้ พระนางทรงมีสุขหาโรคมิได้ ประสูติพระโอรสผู้หาโรคมิได้ นิมนต์ภิกษุ สงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ด้วยภัตตาหารสิ้น ๗ วัน พระนางสุปปวาสาโกลิยธิดา จงทำภัตสิ้น ๗ วัน ท่านจักทำในภายหลัง อุบาสกนั้นกล่าวว่า
(๒) ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ถ้าว่าพระมหาโมคคัลลานะ ผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ประกันธรรม ๓ อย่าง คือ โภคสมบัติ ชีวิตและศรัทธา ของกระผมได้ไซร้ พระนางสุปปวาสาโกลิยธิดา จงทำภัตตาหารสิ้น๗ วันเถิด กระผมจักทำในภายหลัง
โม. ดูกรท่านผู้มีอายุ ฉันจะเป็นผู้ประกันธรรม ๒ อย่าง คือโภคสมบัติ และชีวิตของท่าน ส่วนท่านเองเป็นผู้ประกันศรัทธา
อุ. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ถ้าว่าพระมหาโมคคัลลานะ ผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ประกันธรรม ๒ อย่าง คือ โภคสมบัติและชีวิตได้ไซร้ พระนางสุปปวาสาโกลิยธิดาจงทำภัตตาหารสิ้น ๗ วันเถิด กระผมจักทำในภายหลัง
ครั้งนั้นแล ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ยังอุบาสกนั้น ให้ยินยอมแล้วเข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ ให้อุบาสกนั้นยินยอมแล้ว พระนางสุปปวาสาโกลิยธิดา จงทรงทำภัตตาหารตลอด ๗ วัน อุบาสกนั้นจะทำในภายหลัง พระเจ้าข้า
ครั้งนั้นแล พระนางสุปปวาสาโกลิยธิดา ทรงอังคาสภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้า เป็นประมุข ด้วยขาทนียโภชนียาหาร อันประณีตด้วยพระหัตถ์ของพระนาง สิ้น ๗ วัน ให้ทารกนั้นถวายบังคม พระผู้มีพระภาคและให้ไหว้ภิกษุสงฆ์แล้ว
(๓)(๔) ลำดับนั้นแล ท่านพระสารีบุตร ได้ถามทารกนั้นว่า พ่อหนู เธอสบายดี หรือพอ เป็นไปหรอก หรือทุกข์ อะไรๆ ไม่มีหรือ ทารกนั้นตอบว่า ข้าแต่พระสารีบุตร ผู้เจริญ กระผมจักสบายแต่ไหนได้ พอเป็นไปแต่ไหน กระผมอยู่ในท้องเปื้อนด้วยโลหิต ถึง ๗ ปี
ลำดับนั้นแล พระนาง สุปปวาสาโกลิยธิดา ทรงมีพระทัยชื่นชมเบิกบานเกิดปีติ โสมนัส ว่า บุตรของเรา ได้สนทนา กับพระธรรมเสนาบดี
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงทราบว่า พระนางสุปปวาสาโกลิยธิดา ทรงมี พระทัยชื่นชม เบิกบานเกิดปีติโสมนัสแล้ว จึงตรัสถามพระนางสุปปวาสาโกลิยธิดาว่า ดูกรพระนาง พึงปรารถนาพระโอรสเห็นปานนี้ แม้อื่นหรือ พระนางสุปปวาสากราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้เจริญ หม่อมฉันพึงปรารถนาบุตรเห็นปานนี้แม้อื่นอีก ๗ คนเจ้าค่ะ
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า ทุกข์อันไม่น่ายินดี ย่อมครอบงำคนผู้ประมาท โดยความเป็น ของน่ายินดี ทุกข์อันไม่น่ารักย่อมครอบงำ คนผู้ประมาท โดยความเป็นของน่ารัก ทุกข์ย่อมครอบงำ บุคคลผู้ประมาท โดยความเป็นสุข |