พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๘๖-๘๙
๑๐. กาฬิโคธาภัททิยสูตร
[๖๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ที่อนุปิยอัมพวัน ก็สมัยนั้นแลท่านพระภัททิยะ พระโอรสของพระราชาเทวี พระนามว่า กาฬิโคธา อยู่ในป่าก็ดีอยู่โคนไม้ก็ดี อยู่เรือนว่าง ก็ดี ได้เปล่งอุทานเนืองๆ ว่า สุขหนอ สุขหนอภิกษุเป็นอันมาก ได้ฟังท่าน พระภัททิยะ พระโอรสของพระราชเทวีกาฬิโคธา อยู่ในป่าก็ดี อยู่โคนไม้ก็ดี อยู่เรือนว่าง ก็ดี เปล่งอุทานเนืองๆ ว่า สุขหนอ สุขหนอ ครั้นแล้วภิกษุเหล่านั้น ได้พากันปริวิตกว่า
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ท่านพระภัททิยะพระโอรส ของพระราชเทวีกาฬิโคธา ไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์ โดยไม่ต้องสงสัย ท่านอยู่ป่าก็ดี อยู่โคนไม้ก็ดี อยู่เรือนว่าง ก็ดี คงหวนระลึกถึงความสุข ในราชสมบัติเมื่อเป็นคฤหัสถ์ในกาลก่อน จึงได้เปล่งอุทาน เนืองๆ ว่าสุขหนอ สุขหนอ ครั้งนั้นแล ภิกษุเป็นอันมากเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระภัททิยะ พระโอรส ของพระราชทวีกาฬิโคธา คงไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์ โดยไม่ต้องสงสัย ท่านอยู่ในป่าก็ดีอยู่โคนไม้ก็ดี อยู่เรือนว่างก็ดี คงหวนระลึกถึงความสุข ในราชสมบัติ เมื่อเป็นคฤหัสถ์ในกาลก่อน จึงได้เปล่งอุทานเนืองๆ ว่า สุขหนอ สุขหนอ
[๖๕] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาค ตรัสสั่งภิกษุรูปหนึ่งว่า ดูกรภิกษุเธอจงไปเรียก ภัททิยะภิกษุ มาตามคำของเราว่า ภัททิยะผู้มีอายุ พระศาสดาตรัสสั่งให้หาท่าน ภิกษุนั้น ทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว เข้าไปหาท่านพระภัททิยะ พระโอรสของ พระราชเทวีกาฬิโคธา ครั้นแล้วได้กล่าวกะท่านพระภัททิยะ พระโอรสของพระราช เทวีกาฬิโคธาว่า
ดูกรอาวุโสภัททิยะ พระศาสดารับสั่งให้หาท่านท่านพระภัททิยะ พระโอรสของ พระราชเทวีกาฬิโคธา รับคำภิกษุนั้นแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคม แล้วนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งพระผู้มีพระภาค ได้ตรัสถามท่าน พระภัททิยะ พระโอรสของพระราชเทวีกาฬิโคธาว่า
ดูกรภัททิยะ ได้ยินว่า ท่านอยู่ในป่าก็ดี อยู่โคนไม้ก็ดี อยู่เรือนว่างก็ดี เปล่งอุทาน เนืองๆ ว่า สุขหนอ สุขหนอ ดังนี้จริงหรือ ท่านพระภัททิยะทูลรับว่า จริงพระเจ้าข้า
พ. ดูกรภัททิยะ ท่านเห็นอำนาจประโยชน์อะไรเล่า อยู่ในป่าก็ดีอยู่โคนไม้ก็ดี อยู่เรือนว่างก็ดี จึงเปล่งอุทานเนืองๆ ว่า สุขหนอ สุขหนอ
ภ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อข้าพระองค์เป็นคฤหัสถ์ ในกาลก่อนเสวยสุข ในราชสมบัติอยู่ ได้มีการรักษาอั นพวกราชบุรุษจัดแจงดีแล้ว ทั้งภายในพระราชวัง ทั้งภายนอกพระราชวัง ทั้งภายในพระนคร ทั้งภายนอกพระนคร ทั้งภายในชนบท ทั้งภายนอกชนบท
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์นั้นแล เป็นผู้อันราชบุรุษรักษาแล้ว คุ้มครองแล้ว อย่างนี้ ยังเป็นผู้กลัว หวาดเสียวระแวง สะดุ้งอยู่ แต่บัดนี้ ข้าพระองค์ ผู้เดียวอยู่ป่าก็ดี อยู่โคนไม้ก็ดี อยู่เรือนว่างก็ดี ไม่กลัว ไม่หวาดเสียว ไม่ระแวง ไม่สะดุ้ง มีความขวนขวายน้อยมีขนตก เป็นไปอยู่ด้วยของที่ผู้อื่นให้ มีใจดุจเนื้ออยู่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เห็นอำนาจประโยชน์นี้แล อยู่ในป่าก็ดี อยู่โคนไม้ก็ดี อยู่เรือนว่างก็ดี จึงได้เปล่งอุทานเนืองๆ ว่า สุขหนอ สุขหนอ
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า ความกำเริบ (ความโกรธ) ย่อมไม่มีภายในพระอริยบุคคล ผู้ก้าวล่วง ความเจริญและความเสื่อม มีประการอย่างนั้น เทวดา ทั้งหลาย ย่อมไม่สามารถ เพื่อจะเห็นพระอริยบุคคลนั้น ผู้ปราศจากภัย มีความสุข ไม่มีความโศก |