พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๙๓-๑๙๕
โกกนุทสูตร
โกกนุทปริพาชกถามพระอานนท์
[๙๖] สมัยหนึ่ง ท่านพระอานนท์ (อยู่ที่ตโปทาราม ใกล้พระนครราชคฤห์ ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์) ลุกขึ้นแล้วในเวลาใกล้รุ่งแห่งราตรีได้ไปยัง แม่น้ำตโปทา เพื่อสรงน้ำ ครั้นสรงน้ำที่แม่น้ำตโปทาแล้วกลับขึ้นมา มีจีวรผืนเดียว ได้ยืนผึ่งตัวอยู่ แม้โกกนุทปริพาชกลุกขึ้นแล้วในเวลาใกล้รุ่งแห่งราตรีได้ไปยังแม่น้ำตโปทาเพื่ออาบน้ำ โกกนุทปริพาชกได้เห็นท่านพระอานนท์เดินมาแต่ไกลเทียว ครั้นแล้วได้ถามท่าน พระอานนท์ว่า
ดูกรอาวุโสใครอยู่ในที่นี้ท่านพระอานนท์ตอบว่า
ดูกรอาวุโส เราเป็นภิกษุ
โก. ดูกรอาวุโส ภิกษุพวกไหน
อา. ดูกรอาวุโส เราเป็นพวก สมณะศากยบุตร
โก. ข้าพเจ้าพึงถามข้อข้องใจบางอย่างกะท่าน หากท่านจะให้โอกาส เพื่อแก้ปัญหา
อา. เชิญท่านถามเถิด อาวุโส เราฟังแล้วจักกล่าวแก้
โก. ท่านผู้เจริญมีความเห็นอย่างนี้ว่า โลกเที่ยง สิ่งนี้เท่านั้นจริงสิ่งอื่นเปล่า หรือหนอ
อา. ดูกรอาวุโส เรามิได้มีความเห็นอย่างนั้น
โก. ท่านผู้เจริญมีความเห็นอย่างนี้หรือว่า โลกไม่เที่ยง สิ่งนี้เท่านั้นจริงสิ่งอื่น เปล่าหรือหนอ
อา. ดูกรอาวุโส เรามิได้มีความเห็นอย่างนั้น
โก. ท่านผู้เจริญมีความเห็นอย่างนี้ว่า โลกมีที่สุด ... โลกไม่มีที่สุด ...ชีพอันนั้น สรีระก็อันนั้น ... ชีพอย่างหนึ่ง สรีระก็อย่างหนึ่ง ... สัตว์เมื่อตายแล้วย่อมเป็นอีก ... สัตว์เมื่อตายแล้วย่อมไม่เป็นอีก ... สัตว์เมื่อตายแล้วย่อมเป็นอีกก็มี ย่อมไม่เป็นอีกก็มี ... สัตว์เมื่อตายแล้วย่อมเป็นอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เป็นอีกก็หามิได้ สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า หรือหนอ
อา. ดูกรอาวุโส เรามิได้มีความเห็นอย่างนั้น
โก. ถ้าอย่างนั้น ท่านผู้เจริญย่อมไม่รู้ ไม่เห็นนะซิ
อา. ดูกรอาวุโส เราไม่รู้ไม่เห็นหามิได้ เรารู้อยู่ เห็นอยู่
โก. ดูกรท่านผู้เจริญ ท่านถูกข้าพเจ้าถามว่า ท่านผู้เจริญมีความเห็นอย่างนี้ หรือว่า โลกเที่ยง สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่าหรือหนอ ก็กล่าวว่า ดูกรอาวุโส เรามิได้ มีความเห็นอย่างนั้น เมื่อถูกถามว่า ท่านผู้เจริญมีความเห็นอย่างนี้หรือว่า โลกไม่เที่ยง สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่าหรือหนอ ก็กล่าวว่า
ดูกรอาวุโส เรามิได้มีความเห็นอย่างนั้น
เมื่อถูกถามว่า ท่านผู้เจริญมีความเห็นอย่างนี้หรือว่า โลกมีที่สุด ... โลกไม่มี ที่สุด ... ชีพอันนั้น สรีระก็อันนั้น ...ชีพอย่างหนึ่ง สรีระก็อย่างหนึ่ง ... สัตว์เมื่อตายแล้ว ย่อมเป็นอีก ... สัตว์เมื่อตายแล้วย่อมไม่เป็นอีก ... สัตว์เมื่อตายแล้ว ย่อมเป็นอีกก็มี ย่อมไม่เป็นอีกก็มี ...สัตว์เมื่อตายแล้วย่อมเป็นอีก ก็หามิได้ ย่อมไม่เป็นอีกก็หามิได้ สิ่งนี้เท่านั้นจริงสิ่งอื่นเปล่าหรือหนอ ก็กล่าวว่า
ดูกรอาวุโส เรามิได้มีเห็นอย่างนั้น เมื่อถูกถามว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านผู้เจริญย่อมไม่รู้ ไม่เห็นละซิ ก็กล่าวว่า ดูกรอาวุโส เราย่อมไม่รู้ ไม่เห็นหามิได้ เรารู้อยู่ เห็นอยู่
ดูกรอาวุโส ก็อรรถแห่งภาษิตนี้จะพึงเห็นได้อย่างไรเล่า
อา. ดูกรอาวุโส ข้อนี้ว่า โลกเที่ยง สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่าเป็นทิฐิอย่างหนึ่ง ข้อนี้ว่า โลกไม่เที่ยง สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า เป็นทิฐิอย่างหนึ่ง ข้อนี้ว่า โลกมีที่สุด ... โลกไม่มีที่สุด ... ชีพอันนั้น สรีระก็อันนั้น ...ชีพอย่างหนึ่ง สรีระก็อย่างหนึ่ง ... สัตว์เมื่อตายแล้วย่อมเป็นอีก ... สัตว์เมื่อตายแล้วย่อมไม่เป็นอีก ... สัตว์เมื่อตายแล้ว ย่อม เป็นอีกก็มี ย่อมไม่เป็นอีกก็มี ...สัตว์เมื่อตายแล้วย่อมเป็นอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เป็น อีก ก็หามิได้ สิ่งนี้เท่านั้นจริงสิ่งอื่นเปล่า ก็เป็นทิฐิอย่างหนึ่ง
ดูกรอาวุโส ทิฐิก็ดี เหตุที่ตั้งทิฐิก็ดี ที่ตั้งมั่นแห่งทิฐิก็ดี ที่ตั้งขึ้นโดยรอบแห่งทิฐิ ก็ดี ความเพิกถอนทิฐิก็ดี มีประมาณเท่าใดเราย่อมรู้ ย่อมเห็นทิฐิเป็นต้นนั้น มีประมาณ เท่านั้น เรารู้ทิฐิเป็นต้นนั้น จึงกล่าวว่า เรารู้อยู่ เราเห็นทิฐิเป็นต้นนั้น จึงกล่าวว่า เราเห็นอยู่ เราจะกล่าวว่าเราไม่รู้ ไม่เห็นอย่างไรได้
ดูกรอาวุโส เรารู้อยู่ เห็นอยู่
โก. ท่านผู้มีอายุชื่อไร และเพื่อนพรหมจารีทั้งหลายย่อมเรียกท่าน ผู้มีอายุ ว่าอย่างไร
อา. ดูกรอาวุโส เรามีชื่อว่า อานนท์ และเพื่อนพรหมจารีทั้งหลายเรียกเราว่า อานนท์
โก. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าสนทนาอยู่กับท่านอาจารย์ผู้ใหญ่ ไม่รู้เลยว่า เป็นท่านพระอานนท์ ก็ถ้าว่าข้าพเจ้าพึงรู้ว่านี้คือท่านพระอานนท์ไซร้ ข้าพเจ้าก็ไม่พึง กล่าวโต้ตอบถึงเท่านี้ ขอท่านพระอานนท์จงอดโทษแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๐๖-๒๐๗
อภัพพสูตร
บุคคลผู้ไม่อาจทำให้แจ้งอรหัตตผล
[๑๐๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลยังละธรรม ๑๐ ประการนี้ ไม่ได้แล้ว ก็เป็นผู้ไม่ควร เพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัต
ธรรม ๑๐ ประการเป็นไฉน คือ
๑ ราคะ (ความกำหนัด)
๒ โทสะ (ความคิดประทุษร้าย)
๓ โมหะ (ความหลง)
๔ โกธะ (ความโกรธ)
๕ อุปนาหะ (ความผูกโกรธ)
๖ มักขะ (ความลบหลู่)
๗ ปฬาสะ (ความตีเสมอ)
๘ อิสสา (ความริษยา)
๙ มัจฉริยะ (ความตระหนี่)
๑๐ มานะ (ความถือตัว)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลยังละธรรม ๑๐ ประการนี้แลไม่ได้ก็เป็นผู้ไม่ควรเพื่อ ทำให้แจ้งซึ่งอรหัต
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลละธรรม ๑๐ ประการนี้ได้แล้ว จึงเป็นผู้ควร เพื่อทำ ให้แจ้ง ซึ่งอรหัต
ธรรม ๑๐ ประการเป็นไฉนคือ
๑ ราคะ (ความกำหนัด)
๒ โทสะ (ความคิดประทุษร้าย)
๓ โมหะ (ความหลง)
๔ โกธะ (ความโกรธ)
๕ อุปนาหะ (ความผูกโกรธ)
๖ มักขะ (ความลบหลู่)
๗ ปฬาสะ (ความตีเสมอ)
๘ อิสสา (ความริษยา)
๙ มัจฉริยะ (ความตระหนี่)
๑๐ มานะ (ความถือตัว)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลละธรรม ๑๐ ประการนี้แลได้แล้ว จึงเป็นผู้ควรเพื่อ ทำให้แจ้งซึ่งอรหัต
|