พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๘๓-๑๘๗
ทิฏฐิสูตร
[๙๓] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของ อนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล ท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดี ออกจาก พระมหานครสาวัตถีแต่ยังวัน เพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ลำดับนั้น ท่านได้มีความคิดเช่นนี้ว่า มิใช่เวลาเพื่อจะเฝ้าพระผู้มีพระภาคก่อน เพราะพระผู้มีพระภาคยังทรงหลีกเร้นอยู่ มิใช่กาลเพื่อจะเยี่ยมภิกษุทั้งหลาย ผู้ยังใจ ให้เจริญ เพราะพวกภิกษุผู้ยังใจให้เจริญยังหลีกเร้นอยู่ อย่ากระนั้นเลย เราพึงเข้าไปยัง อารามของพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกเถิด
ลำดับนั้น ท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดี จึงเข้าไปยังอารามของพวก อัญญเดียรถีย์ ปริพาชก ก็สมัยนั้นแล พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชก กำลังร่วมประชุมกัน บันลือเสียง เอ็ดอึง นั่งพูดกันถึงดิรัจฉานกถาหลายอย่าง พอได้เห็นท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดี เดินมาแต่ไกล
ครั้นแล้วจึงยังกันและกัน ให้หยุดด้วยกล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงเบาเสียง อย่าได้เปล่งเสียง อนาถบิณฑิกคฤหบดีคนนี้ เป็นสาวกของพระสมณโคดม กำลังเดินมา อนาถบิณฑิกคฤหบดีนี้ เป็นสาวกคนหนึ่ง บรรดาคฤหัสถ์ผู้นุ่งห่มผ้าขาว ซึ่งเป็นสาวก ของพระสมณโคดม อาศัยอยู่ในพระนครสาวัตถี ก็ท่านเหล่านั้นเป็นผู้ใคร่ในเสียงเบา ได้รับแนะนำในทางเสียงเบา กล่าวสรรเสริญเสียงเบา แม้ไฉนเขาทราบบริษัท ผู้มีเสียงเบา พึงสำคัญที่จะเข้ามาหา
ลำดับนั้น ปริพาชกเหล่านั้นได้นิ่งอยู่ ท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดีเข้าไปหา ปริพาชกเหล่านั้น ถึงที่อยู่ ได้สนทนาปราศรัยกับพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชก ครั้นผ่าน การปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว อัญญเดียรถีย์ ปริพาชกเหล่านั้น ได้กล่าวกะท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดีว่า
ดูกรคฤหบดี ขอท่านจงบอก พระสมณโคดมมีทิฐิอย่างไร อนาถบิณฑิก คฤหบดี ตอบว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ทราบทิฐิทั้งหมดของ พระผู้มีพระภาค
ป. ดูกรคฤหบดี นัยว่า บัดนี้ท่านไม่ทราบทิฐิทั้งหมดของพระสมณโคดม ขอท่าน จงบอก ภิกษุทั้งหลายมีทิฐิอย่างไร
อ. ข้าแต่ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ทราบทิฐิทั้งหมด แม้ของภิกษุ ทั้งหลาย
ป. ดูกรคฤหบดี นัยว่า ท่านไม่ทราบทิฐิทั้งหมด ของพระสมณโคดมทั้งไม่ทราบ ทิฐิ ทั้งหมด ของพวกภิกษุด้วยประการดังนี้ ขอท่านจงบอก ตัวท่านมีทิฐิอย่างไร
ข้าแต่ท่านผู้เจริญทั้งหลาย การที่ข้าพเจ้าบอกทิฐิของข้าพเจ้าว่า มีทิฐิอย่างใด นี้ไม่ยาก เชิญท่านทั้งหลายบอกทิฐิของตนเสียก่อน ข้าพเจ้าจึงจะบอกทิฐิของข้าพเจ้า ว่า มีทิฐิอย่างใดในภายหลัง ซึ่งเป็นการทำไม่ยาก
(ทิฐิ หรือความเห็นของปริพาชกต่างๆ)
เมื่อท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดี กล่าวอย่างนี้แล้ว ปริพาชกคนหนึ่งได้กล่าว กะท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดีว่า
ดูกรคฤหบดี เรามีทิฐิอย่างนี้ว่าโลกเที่ยง สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า ปริพาชกอีกคนหนึ่งได้กล่าวกะ อนาถบิณฑิกคฤหบดีว่า
ดูกรคฤหบดี เรามีทิฐิ อย่างนี้ว่า โลกไม่เที่ยง สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า
แม้ปริพาชกอีกคนหนึ่ง ได้กล่าวกะ อนาถบิณฑิกคฤหบดีว่า โลกมีที่สุด ... อีกคนหนึ่งพูดว่า โลกไม่มีที่สุด ...
อีกคนหนึ่ง พูดว่า ชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น ...
อีกคนหนึ่งพูดว่า ชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง ...
อีกคนหนึ่งพูดว่า สัตว์เมื่อตายแล้วย่อมเป็นอีก ...
อีกคนหนึ่งพูดว่า สัตว์เมื่อตายแล้ว ย่อมไม่เป็นอีก ...
อีกคนหนึ่งพูดว่า สัตว์เมื่อตายแล้ว ย่อมเป็นอีกก็มี ไม่เป็นอีกก็มี ...
อีกคนหนึ่งพูดว่า
ดูกรคฤหบดี เรามีทิฐิอย่างนี้ว่า สัตว์เมื่อตายแล้ว ย่อมเป็นอีกหามิได้ ไม่เป็นอีกหามิได้ สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า
เมื่อพวกปริพาชก กล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดี ได้กล่าวกะ ปริพาชกเหล่านั้นว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ท่านผู้มีอายุได้กล่าวอย่างนี้ว่า
ดูกรคฤหบดี เรามีทิฐิอย่างนี้ว่า โลกเที่ยง สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า ทิฐิของท่านผู้มีอายุนี้ เกิดขึ้นเพราะเหตุแห่งการกระทำไว้ในใจ โดยไม่แยบคายของตน หรือ เพราะโฆษณาของผู้อื่นเป็นปัจจัย ก็ทิฐินั้น เกิดขึ้นแล้ว อันปัจจัยปรุงแต่งแล้ว อันปัจจัยก่อขึ้นแล้ว เกิดขึ้นเพราะอาศัยปัจจัย ก็สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นแล้ว อันปัจจัย ปรุงแต่งแล้ว อันปัจจัยก่อขึ้นแล้ว เกิดขึ้นเพราะอาศัยปัจจัย สิ่งนั้นไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้น เป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ ท่านผู้มีอายุนั้นเป็นผู้ติดสิ่งนั้นแหละ ท่านผู้มีอายุนั้น เข้าถึงสิ่งนั้นแหละ
แม้ท่านผู้มีอายุรูปใดกล่าวอย่างนี้ว่า
ดูกรคฤหบดี เรามีทิฐิอย่างนี้ว่า โลกไม่เที่ยงสิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า ทิฐิ ของท่านผู้มีอายุแม้นี้ ก็เกิดขึ้นเพราะเหตุแห่งการกระทำไว้ในใจ โดยไม่แยบคาย ของตน หรือเพราะการโฆษณาของผู้อื่นเป็นปัจจัย ก็ทิฐินั้นเกิดขึ้นแล้ว อันอาศัยปัจจัย ปรุงแต่งแล้ว อันปัจจัยก่อขึ้นแล้วเกิดขึ้นเพราะอาศัยปัจจัย ก็สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นแล้ว อันปัจจัยปรุงแต่งแล้วเกิดขึ้น เพราะอาศัยปัจจัย สิ่งนั้นไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้น เป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ ท่านผู้มีอายุนั้นเป็นผู้ติดสิ่งนั้นแหละ ท่านผู้มีอายุนั้น เป็นผู้เข้าถึง สิ่งนั้นแหละ
แม้ท่านผู้มีอายุรูปใดกล่าวอย่างนี้ว่า
ดูกรคฤหบดี เรามีทิฐิอย่างนี้ว่า โลกมีที่สุด ... โลกไม่มีที่สุด ... ชีพอันนั้น สรีระก็อันนั้น ... ชีพอย่างหนึ่ง สรีระก็อย่างหนึ่ง ... สัตว์เมื่อตายแล้วย่อมเป็นอีก ... สัตว์เมื่อตายแล้วย่อมไม่เป็นอีก ...สัตว์เมื่อตายแล้วย่อมเป็นอีกก็มี ย่อมไม่เป็นอีกก็มี ... สัตว์เมื่อตายแล้วย่อมเป็นอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เป็นอีกก็หามิได้ สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า ทิฐิของท่านผู้มีอายุนี้ เกิดขึ้นเพราะเหตุแห่งการกระทำไว้ในใจ โดยไม่แยบ คายของตน หรือเพราะการโฆษณาของผู้อื่นเป็นปัจจัย ก็ทิฐินั้นเกิดขึ้นแล้ว อันปัจจัย ปรุงแต่งแล้ว อันปัจจัยก่อขึ้นแล้ว เกิดขึ้นเพราะอาศัยปัจจัย ก็สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นแล้ว อันปัจจัยปรุงแต่งแล้ว อันปัจจัยก่อขึ้นแล้ว เกิดขึ้นเพราะอาศัยปัจจัย สิ่งนั้นไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ ท่านผู้มีอายุนั้นเป็นผู้ติดสิ่งนั้นแหละ ท่านผู้มีอายุนั้นเข้าถึงสิ่งนั้นแหละ
เมื่อท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดี กล่าวอย่างนี้แล้ว ปริพาชกเหล่านั้นได้กล่าว กะท่าน อนาถบิณฑิกคฤหบดีว่า
ดูกรคฤหบดี พวกเราทั้งหมดบอกทิฐิของตนแล้ว ขอท่านจงบอก ท่านมีทิฐิอย่างไร
อ. ข้าแต่ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ก็สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นแล้ว อันปัจจัยปรุงแต่ง แล้ว อันปัจจัยก่อขึ้นแล้ว เกิดขึ้นเพราะอาศัยปัจจัย สิ่งนั้นไม่เที่ยงสิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ ข้าพเจ้ามีความเห็นสิ่งนั้นอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา
ป. ดูกรคฤหบดี สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นแล้ว อันปัจจัยปรุงแต่งแล้ว อันปัจจัย ก่อขึ้นแล้ว เกิดขึ้นเพราะอาศัยปัจจัย สิ่งนั้นไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ ท่านเป็นผู้ติดสิ่งนั้นแหละ ท่านเข้าถึงสิ่งนั้นแหละ
อ. ก็สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นแล้ว อันปัจจัยปรุงแต่งแล้ว อันปัจจัยก่อขึ้นแล้ว เกิดขึ้นเพราะอาศัยปัจจัย สิ่งนั้นไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ ข้าพเจ้าเห็นสิ่งนั้นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา ทั้งรู้ชัดอุบายเป็นเครื่องสลัดออกซึ่งสิ่งนั้น อย่างยอดเยี่ยมตามเป็นจริง
เมื่อท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดี กล่าวอย่างนี้แล้ว ปริพาชกเหล่านั้น พากัน นั่งนิ่ง เก้อเขิน คอตก ก้มหน้า ซบเซา โต้ตอบไม่ได้ ท่านอนาถบิณฑิก คฤหบดี ทราบปริพาชก เหล่านั้นเป็นผู้นิ่ง เก้อเขิน คอตก ก้มหน้า ซบเซาโต้ตอบไม่ได้ แล้วลุกจากอาสนะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค แล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้ว ได้กราบทูลถึงเรื่องที่สนทนา กับอัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้น ทั้งหมด แด่พระผู้มีพระภาค ให้ทรงทราบทุกประการ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดีละๆ คฤหบดี ท่านพึงข่มขี่พวกโมฆบุรุษเหล่านั้นให้เป็นการข่มขี่ด้วยดี โดยกาล อันควร โดยชอบธรรมอย่างนี้แล
ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาค ทรงชี้แจง ท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดี ให้เห็นชัด ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถา ท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดี อันพระผู้มีพระภาค ทรงชี้แจงให้เห็นชัด ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ร่าเริง ด้วย ธรรมีกถาแล้ว ลุกจากที่นั่ง ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณ แล้วหลีกไป เมื่อท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดี หลีกไปไม่นาน พระผู้มีพระภาค ตรัสเรียก ภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุใดแลเป็นผู้มีธรรม อันไม่หวั่นไหวในธรรมวินัย ตลอดกาลนาน ภิกษุแม้นั้นพึงข่มขี่อัญญเดียรถีย์ปริพาชก เหล่านั้น ให้เป็นการข่มขี่ ด้วยดี โดยชอบธรรมอย่างนี้ เหมือนท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดีข่มขี่แล้ว ฉะนั้น |