พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๓๐-๑๓๑
วัตถุกถาสูตรที่ ๑
เรื่องที่ภิกษุไม่ควรสนทนา
[๖๙] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่าน อนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล ภิกษุเป็นอันมากกลับจาก บิณฑบาต ภายหลังภัต นั่งประชุมกันที่หอฉัน สนทนาดิรัจฉานกถาเป็นอันมาก
คือ สนทนาเรื่องพระราชา เรื่องโจร เรื่องมหาอำมาตย์เรื่องกองทัพ เรื่องภัย เรื่องกรรม เรื่องข้าว เรื่องน้ำ เรื่องผ้า เรื่องที่นอนเรื่องดอกไม้ เรื่องของหอม เรื่องญาติ เรื่องยาน เรื่องบ้าน เรื่องนิคมเรื่องนคร เรื่องชนบท เรื่องสตรี เรื่องคนกล้าหาญ เรื่องตรอก เรื่องท่าน้ำเรื่องคนล่วงลับไปแล้ว เรื่องเบ็ดเตล็ด เรื่องโลก เรื่องทะเล เรื่องความเจริญ และความเสื่อมด้วยประการนั้น
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากที่เร้นในเวลาเย็น เสด็จเข้าไปยัง หอฉัน ประทับนั่งบนอาสนะ อันเขาตบแต่งไว้ ครั้นแล้ว จึงตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เธอทั้งหลายนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ ก็แหละ กถาอะไรที่เธอทั้งหลายสนทนาค้างไว้
ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส ข้าพระองค์ทั้งหลายกลับจากบิณฑบาตภายหลังภัต นั่งประชุมกันที่หอฉัน สนทนา ซึ่งดิรัจฉานกถา เป็นอันมากคือ สนทนาเรื่องพระราชา เรื่องโจร ฯลฯ เรื่องความเจริญ และความเสื่อมพระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย การที่เธอทั้งหลาย สนทนากันถึงดิรัจฉานกถาเป็นอันมาก คือ สนทนาเรื่องพระราชา เรื่องโจร ฯลฯ เรื่องความเจริญและความเสื่อมนี้ ไม่สมควร แก่เธอทั้งหลาย ผู้เป็นกุลบุตรออกบวชเป็นบรรพชิตด้วยศรัทธาเลย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กถาวัตถุ ๑๐ ประการนี้ ๑๐ ประการเป็นไฉน คือ
๑ อัปปิจฉกถา (เรื่องความมักน้อย)
๒ สันตุฏฐิกถา (เรื่องความสันโดษ)
๓ ปวิเวกกถา (เรื่องความสงัด)
๔ อสังสัคคกถา (เรื่องความไม่คลุกคลีหมู่คณะ)
๕ วิริยารัมภกถา (เรื่องการปรารภความเพียร )
๖ สีลกถา (เรื่องศีล )
๗ สมาธิกถา (เรื่องสมาธิ )
๘ ปัญญากถา (เรื่องปัญญา)
๙ วิมุตติกถา (เรื่องวิมุตติ)
๑๐ วิมุตติญาณทัสสนกถา (เรื่องความรู้ความเห็นในวิมุตติ)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กถาวัตถุ ๑๐ ประการนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากว่าเธอทั้งหลายยึดถือเอากถาวัตถุทั้ง ๑๐ ประการนี้แล้ว กล่าวเป็นกถาไซร้ เธอทั้งหลายพึงครอบงำเดชแม้ของ พระจันทร์และพระอาทิตย์ ผู้มีฤทธิ์ มีอานุภาพมาก อย่างนี้ด้วยเดชได้ จะป่วยกล่าวไปไยถึงปริพาชก อัญญเดียรถีย์ ทั้งหลายเล่า
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๓๑-๑๓๔
วัตถุกถาสูตรที่ ๒
เรื่องที่ภิกษุควรสนทนา
[๗๐] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของ ท่านอนาถ บิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล ภิกษุเป็นจำนวนมาก กลับจากบิณฑบาต ภายหลังภัต นั่งประชุมกันที่หอฉัน สนทนาดิรัจฉานกถาเป็นอันมาก คือ สนทนาเรื่อง พระราชา เรื่องโจร ฯลฯ เรื่องความเจริญและความเสื่อม
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาค เสด็จออกจากที่เร้นในเวลาเย็นเสด็จเข้าไปยังหอฉัน ประทับนั่ง บนอาสนะที่เขาตบแต่งไว้ ครั้นแล้ว ได้ตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เธอทั้งหลาย นั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ ก็แหละ กถาอะไร ที่เธอทั้งหลายสนทนาค้างไว้ ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส ข้าพระองค์ทั้งหลายกลับจาก บิณฑบาต ภายหลังภัต นั่งประชุมกัน ที่หอฉัน สนทนาดิรัจฉานกถาเป็นอันมาก คือ สนทนา เรื่องพระราชา เรื่องโจร ฯลฯ เรื่องความเจริญและความเสื่อม พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย การที่เธอทั้งหลาย สนทนาดิรัจฉานกถาเป็นอันมาก คือ สนทนาเรื่อง พระราชา เรื่องโจรฯลฯ เรื่องความเจริญและความเสื่อมนี้ ไม่สมควรแก่เธอ ทั้งหลาย ผู้เป็นกุลบุตร ออกบวชเป็นบรรพชิตด้วยศรัทธาเลย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฐานะที่ควรสรรเสริญ ๑๐ อย่างนี้ ๑๐ อย่างเป็นไฉน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
๑ ตนเองเป็นผู้มีความปรารถนาน้อย และกล่าวกถา ปรารภความเป็นผู้มีความ ปรารถนาน้อย แก่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้มีความปรารถนาน้อย และกล่าวกถาปรารภความ เป็นผู้มี ความ ปรารถนาน้อย แก่ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะควรสรรเสริญ ๑
๒ ตนเองเป็นผู้สันโดษและกล่าวกถา ปรารภความเป็นผู้สันโดษ แก่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้สันโดษ และกล่าวกถาปรารภความเป็นผู้สันโดษ แก่ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะ ควรสรรเสริญ ๑
๓ ตนเองเป็นผู้สงัดและกล่าวกถาปรารภความเป็นผู้สงัด แก่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้สงัด และกล่าวกถาปรารภความเป็นผู้สงัด แก่ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะ ควรสรรเสริญ ๑
๔ ตนเองเป็นผู้ไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ และกล่าวกถาปรารภความไม่คลุกคลี ด้วยหมู่คณะ แก่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ และกล่าวกถาปรารภความ ไม่คลุกคลี ด้วยหมู่คณะแก่ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะควรสรรเสริญ ๑
๕ ตนเองเป็นผู้ปรารภความเพียรและกล่าวกถาปรารภความเพียร แก่ ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ปรารภความเพียร และกล่าวกถาปรารภความเพียร แก่ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ควรสรรเสริญ ๑
๖ ตนเองเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีล และกล่าวกถาปรารภ ความเป็นผู้สมบูรณ์ด้วย ศีล แก่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้สมบูรณ์ด้วยศีล และกล่าวกถาปรารภ ความเป็นผู้สมบูรณ์ ด้วยศีล แก่ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะควรสรรเสริญ ๑
๗ ตนเองเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยสมาธิ และกล่าวกถาปรารภความเป็นผู้สมบูรณ์ด้วย สมาธิ แก่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้สมบูรณ์ด้วยสมาธิ และกล่าวกถาปรารภความเป็น ผู้สมบูรณ์ ด้วยสมาธิแก่ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะควรสรรเสริญ ๑
๘ ตนเองเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยปัญญา และกล่าวกถาปรารภ ความเป็นผู้สมบูรณ ์ด้วย ปัญญา แก่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้สมบูรณ์ด้วยปัญญา และกล่าวกถา ปรารภความ เป็นผู้สมบูรณ์ ด้วยปัญญา แก่ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะควรสรรเสริญ ๑
๙ ตนเองเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยวิมุตติและกล่าวกถาปรารภ ความเป็นผู้สมบูรณ์ ด้วยวิมุตติ แก่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้สมบูรณ์ด้วยวิมุตติ และกล่าวกถาปรารภ ความเป็นผู้ สมบูรณ์ ด้วยวิมุตติแก่ภิกษุทั้งหลายนี้ เป็นฐานะควรสรรเสริญ ๑
๑๐ ตนเองเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยวิมุตติญาณทัสสนะ และกล่าวกถา ปรารภความเ ป็นผู้สมบูรณ์ ด้วยวิมุตติญาณทัสสนะ แก่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้สมบูรณ์ ด้วยวิมุตติ ญาณทัสสนะ และกล่าวกถา ปรารภความเป็นผู้สมบูรณ์ ด้วยวิมุตติญาณทัสสนะ แก่ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะควรสรรเสริญ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฐานะที่ควรสรรเสริญ ๑๐ อย่างนี้แล |