พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๗๓-๗๔
อุปาลิสูตรที่ ๑
อำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ
(ตรัสกับพระอุบาลี)
[๓๑] ... ครั้งนั้นแล ท่านพระอุบาลี ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถาม พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระตถาคตทรงอาศัยอำนาจประโยชน์เท่าไร หนอแล จึงทรงบัญญัติสิกขาบท ทรงแสดงปาติโมกข์แก่สาวกทั้งหลาย
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรอุบาลี ตถาคตอาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการแล จึงบัญญัติสิกขาบท แสดงปาติโมกข์แก่สาวกทั้งหลาย ๑๐ ประการเป็นไฉน คือ
๑ เพื่อความตั้งอยู่ด้วยดีแห่งสงฆ์
๒ เพื่อความอยู่สำราญแห่งสงฆ์
๓ เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก
๔ เพื่อการอยู่สำราญแห่งภิกษุทั้งหลายผู้มีศีลเป็นที่รัก
๕ เพื่อป้องกันอาสวะทั้งหลายอันเป็นไปในปัจจุบัน
๖ เพื่อกำจัดอาสวะทั้งหลายอันเป็นไปในสัมปรายภพ
๗ ทั้งหลายผู้ยังไม่เลื่อมใส
๘ เพื่อความเจริญยิ่งแห่งความเลื่อมใสของบุคคลทั้งหลายผู้เลื่อมใสแล้ว
๙ เพื่อความตั้งมั่นแห่งสัทธรรม
๑๐ เพื่ออนุเคราะห์วินัย
ดูกรอุบาลี ตถาคตอาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการนี้แล จึงบัญญัติสิกขาบท แสดงปาติโมกข์แก่สาวกทั้งหลาย
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๗๓-๗๔
อุปาลิสูตรที่ ๒
เหตุงดสวดปาติโมกข์ ๑๐ ประการ
(ตรัสกับพระอุบาลี)
อุ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ การหยุดสวดปาติโมกข์มีกี่ประการ พระเจ้าข้า
พ. ดูกรอุบาลี การหยุดสวดปาติโมกข์มี ๑๐ ประการ ๑๐ ประการเป็นไฉน คือ
๑ ภิกษุผู้ต้องปาราชิกนั่งอยู่ในบริษัทนั้น
๒ กถาปรารภปาราชิกเป็นเรื่องยังทำค้างอยู่
๓ อนุปสัมบันนั่งอยู่ในบริษัทนั้น
๔ กถาปรารภอนุปสัมบันเป็นเรื่องยังทำค้างอยู่
๕ ผู้บอกลาสิกขานั่งอยู่ในบริษัทนั้น
๖ กถาปรารภผู้บอกลาสิกขาเป็นเรื่องยังทำค้างอยู่
๗ บัณเฑาะก์นั่งอยู่ในบริษัทนั้น
๘ กถาปรารภบัณเฑาะก์เป็นเรื่องยังทำค้างอยู่
๙ ผู้ประทุษร้ายนางภิกษุณีนั่งอยู่ในบริษัทนั้น
๑๐ กถาปรารภผู้ประทุษร้ายนางภิกษุณีเป็นเรื่องยังทำค้างอยู่
ดูกรอุบาลี การหยุดสวดปาติโมกข์มี ๑๐ ประการนี้แล
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๗๔-๗๕
อุพพาหสูตร
คุณสมบัติของภิกษุผู้รื้อฟื้นอธิกรณ์
(ตรัสกับพระอุบาลี)
[๓๒] อุ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุประกอบด้วยธรรมเท่าไรหนอแล สงฆ์พึงสมมติเพื่อให้เป็นผู้รื้อฟื้นอธิกรณ์
พ. ดูกรอุบาลี ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการแล สงฆ์พึงสมมติ เพื่อให้เป็นผู้รื้อฟื้นอธิกรณ์ ๑๐ ประการเป็นไฉน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
๑ เป็นผู้มีศีล สำรวมแล้วในปาติโมกขสังวร ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร มีปรกติ เห็นภัยในโทษทั้งหลาย อันมีประมาณน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย
๒เป็นพหูสูต ทรงสุตะ สั่งสมสุตะ เป็นผู้สดับมาก ทรงไว้ คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอด ด้วยดีด้วยทิฐิ ซึ่งธรรมอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศ พรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง
๓ ปาติโมกข์ทั้ง ๒ เป็นอุเทศอันภิกษุนั้นจำดีแล้ว จำแนกดีแล้ว กล่าวดีแล้ว โดย พิสดาร วินิจฉัยดีแล้วโดยสูตรโดยอนุพยัญชนะ
๔ อนึ่ง ภิกษุนั้นเป็นผู้เคร่งครัดในวินัยไม่ง่อนแง่น
๕ เป็นผู้สามารถเพื่ออันยังคู่ความทั้ง ๒ ฝ่ายให้ยินยอม ให้ตรวจดู ให้เห็นเหตุผล ให้เลื่อมใสได้
๖ เป็นผู้ฉลาดในการยังอธิกรณ์อันเกิดขึ้นให้ระงับ
๗ รู้อธิกรณ์
๘ รู้เหตุเป็นที่เกิดขึ้นแห่งอธิกรณ์
๙ รู้ความดับแห่งอธิกรณ์
๑๐ รู้ทางปฏิบัติเป็นเครื่องถึงความดับอธิกรณ์
ดูกรอุบาลี ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการนี้แล สงฆ์พึงสมมติเพื่อให้เป็น ผู้รื้อฟื้นอธิกรณ์
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๗๕
อุปสัมปทาสูตร
คุณสมบัติของภิกษุผู้ให้อุปสมบท
(ตรัสกับพระอุบาลี)
[๓๓] อุ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรมเท่าไรหนอแล พึงให้กุลบุตรอุปสมบท
พ. ดูกรอุบาลี ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการแล พึงให้กุลบุตรอุปสมบท ๑๐ ประการเป็นไฉน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
๑ เป็นผู้มีศีล สำรวมในปาติโมกขสังวร ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร มีปรกติ เห็นภัยในโทษ อันมีประมาณน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย
๒ เป็นพหูสูต ทรงสุตะสั่งสมสุตะ เป็นผู้สดับมาก ทรงไว้ คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฐิ ซึ่งธรรมอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง
๓ ปาติโมกข์เป็นอุเทศอันภิกษุนั้นจำดีแล้ว จำแนกดีแล้ว ให้เป็นไปดีแล้ว โดยพิสดาร วินิจฉัยดีแล้วโดยสูตรโดยอนุพยัญชนะ
๔ ภิกษุนั้นเป็นผู้สามารถเพื่ออุปัฏฐากเองหรือเพื่อให้ผู้อื่นอุปัฏฐาก ซึ่งสัทธิวิหาริก ผู้เป็นไข้
๕ เป็นผู้สามารถเพื่อระงับเองหรือให้ผู้อื่นระงับความไม่ยินดียิ่ง (ของสัทธิวิหาริก)
๖ เป็นผู้สามารถเพื่อบรรเทาความรำคาญอันเกิดขึ้นแล้วได้โดยธรรม
๗ เป็นผู้สามารถเพื่อเปลื้องความเห็นผิดอันเกิดขึ้นแล้วโดยธรรม
๘ เป็นผู้สามารถเพื่อให้สมาทานในอธิศีล
๙
เป็นผู้สามารถเพื่อให้สมาทานในอธิจิต
๑๐ เป็นผู้สามารถเพื่อให้สมาทานในอธิปัญญา
ดูกรอุบาลี ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการนี้แล พึงให้กุลบุตรอุปสมบท
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๗๖
นิสสยสูตร
คุณสมบัติของภิกษุผู้ให้นิสสัย (ให้การพึ่งพา ให้การอบรม)
(ตรัสกับพระอุบาลี)
[๓๔] อุ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรมเท่าไรหนอแล พึงให้นิสัย ฯลฯ
(ฉบับหลวงไม่ได้ลงไว้ แต่เนื้อความเช่นเดียวกับอุปสัมปทาสูตร จึงเติมเต็มตามฉบับมหาจุฬา)
พ. ดูกรอุบาลี ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการแล พึงให้กุลบุตรอุปสมบท ๑๐ ประการเป็นไฉน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
๑ เป็นผู้มีศีล สำรวมในปาติโมกขสังวร ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร มีปรกติ เห็นภัยในโทษ อันมีประมาณน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย
๒ เป็นพหูสูต ทรงสุตะสั่งสมสุตะ เป็นผู้สดับมาก ทรงไว้ คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฐิ ซึ่งธรรมอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง
๓ ปาติโมกข์เป็นอุเทศอันภิกษุนั้นจำดีแล้ว จำแนกดีแล้ว ให้เป็นไปดีแล้ว โดยพิสดาร วินิจฉัยดีแล้วโดยสูตรโดยอนุพยัญชนะ
๔ ภิกษุนั้นเป็นผู้สามารถเพื่ออุปัฏฐากเองหรือเพื่อให้ผู้อื่นอุปัฏฐาก ซึ่งสัทธิวิหาริก ผู้เป็นไข้
๕ เป็นผู้สามารถเพื่อระงับเองหรือให้ผู้อื่นระงับความไม่ยินดียิ่ง (ของสัทธิวิหาริก)
๖ เป็นผู้สามารถเพื่อบรรเทาความรำคาญอันเกิดขึ้นแล้วได้โดยธรรม
๗ เป็นผู้สามารถเพื่อเปลื้องความเห็นผิดอันเกิดขึ้นแล้วโดยธรรม
๘ เป็นผู้สามารถเพื่อให้สมาทานในอธิศีล
๙
เป็นผู้สามารถเพื่อให้สมาทานในอธิจิต
๑๐ เป็นผู้สามารถเพื่อให้สมาทานในอธิปัญญา
ดูกรอุบาลี ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการนี้แล พึงให้นิสสัยได้
|