พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๖๙-๗๒
โกศลสูตรที่ ๒
ว่าด้วยพระเจ้าปเสนทิโกศล สูตร๒
[๓๐] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่าน อนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็โดยสมัยนั้นแล พระเจ้าปเสนทิโกศล เสด็จกลับจากการรบชนะสงครามมาแล้ว มีพระราชประสงค์อันได้แล้ว ครั้งนั้นแล พระเจ้าปเสนทิโกศลได้เสด็จไปยังอาราม เสด็จไปโดยพระราชยานเท่าที่ยานจะไปได้ เสด็จลงจากยานแล้ว เสด็จไปด้วยพระบาทเข้าไปสู่อาราม
ก็โดยสมัยนั้น ภิกษุมากรูปเดินจงกรมอยู่ในที่แจ้ง ครั้งนั้นแล พระเจ้าปเสนทิ โกศล ได้เสด็จเข้าไปหาภิกษุเหล่านั้น แล้วได้ตรัสถามว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญบัดนี้ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับอยู่ในที่ไหนหนอ ด้วยว่าดิฉันประสงค์ จะเฝ้าพระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ภิกษุเหล่านั้นทูลว่าขอถวายพระพร ขอมหาบพิตร จงเงียบเสียงเสด็จเข้าไปยังพระวิหาร ซึ่งมีประตูปิดนั่นแล้ว ไม่รีบด่วน เสด็จเข้าไปยังระเบียงทรงกระแอม ทรงเคาะอกเลาประตูเถิด พระผู้มีพระภาคจัก ทรงเปิดประตูรับ ขอถวายพระพร ครั้งนั้นแล พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงเงียบเสียง เสด็จเข้าไปยังวิหารที่มีประตูปิดนั้น
ครั้นแล้วมิได้ทรงรีบด่วน เสด็จเข้าไปยังระเบียงแล้ว ทรงกระแอม ทรงเคาะ อกเลาประตู พระผู้มีพระภาค ทรงเปิดประตูรับ ครั้งนั้นแล พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จ เข้าไปสู่วิหาร ซบพระเศียรลงที่พระบาททั้งคู่ ของพระผู้มีพระภาคทรงจุ๊บ(จุมพิต) พระบาททั้งสอง ของพระผู้มีพระภาคด้วยพระโอฐ ทรงนวดด้วยพระหัตถ์ทั้งสอง และทรงประกาศ พระนามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันคือพระเจ้าปเสนทิโกศล หม่อมฉันคือพระเจ้า ปเสนทิโกศล
พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรมหาบพิตร มหาบพิตรทรงเห็นอำนาจ ประโยชน์ อะไรเล่า จึงทรงทำความนบนอบอย่างยิ่ง มอบถวายความนับถืออันประกอบ ด้วยเมตตา เห็นปานนี้ ในสรีระนี้
พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันเห็นความ กตัญญูกตเวที จึงทำความนบนอบอย่างยิ่ง ถวายความนับถืออันประกอบด้วย เมตตา เห็นปานนี้ ในพระผู้มีพระภาค เพราะพระผู้มีพระภาค ทรงปฏิบัติเพื่อประโยชน์แก่ชน หมู่มาก เพื่อความสุขแก่ชนหมู่มาก เพื่อเกื้อกูลแก่ชนหมู่มาก ทรงยังชนหมู่มากให้ดำรง อยู่ ในอริยญายธรรม คือ ความเป็นผู้มีกัลยาณธรรม ความเป็นผู้มีกุศลธรรม ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันเห็นอำนาจประโยชน์แม้นี้แล จึงทำความนอบน้อม อย่างยิ่ง ถวายความนับถืออันประกอบด้วยเมตตา เห็นปานนี้ในพระผู้มีพระภาค
อีกประการหนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงเป็นผู้มีศีล มีศีลอันเจริญ มีศีลอันประเสริฐ มีศีลเป็นกุศล ทรงเป็นผู้ประกอบแล้วด้วยกุศลศีล ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันเห็น อำนาจประโยชน์แม้นี้แล จึงทำความนอบน้อมอย่างยิ่งถวายความนับถือ อันประกอบ ด้วยเมตตาเห็นปานนี้ ในพระผู้มีพระภาค
อีกประการหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ทรงถือการอยู่ป่าเป็นวัตร ทรงเสพเสนาสนะ อันสงัดซึ่งตั้งอยู่แนวป่า ตลอดกาลนาน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันเห็นอำนาจ ประโยชน์แม้นี้แล จึงทำความนอบน้อมอย่างยิ่ง ถวายความนับถือ อันประกอบด้วย เมตตาเห็นปานนี้ ในพระผู้มีพระภาค
อีกประการหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ทรงสันโดษด้วยจีวร บิณฑบาตเสนาสนะ และเภสัชบริขาร อันเป็นปัจจัยแก่คนไข้ ตามมีตามได้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉัน เห็น อำนาจประโยชน์แม้นี้แล จึงทำความนอบน้อมอย่างยิ่ง ถวายความนับถือ อันประกอบ ด้วยเมตตา เห็นปานนี้ ในพระผู้มีพระภาค
อีกประการหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ทรงเป็นผู้ควรของคำนับ เป็นผู้ควรของต้อนรับ เป็นผู้ควรของทำบุญ เป็นผู้ควรทำอัญชลี ทรงเป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันเห็นอำนาจประโยชน์แม้นี้แล จึงทำความนอบน้อม อย่างยิ่ง ถวายความนับถือ อันประกอบด้วยเมตตาเห็นปานนี้ ในพระผู้มีพระภาค
อีกประการหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ทรงเป็นผู้ได้ตามความปรารถนา ได้โดยไม่ยาก ไม่ลำบาก ซึ่งกถาเป็นเครื่องขัดเกลาอย่างยิ่ง เป็นที่สบายแห่งการเที่ยวไปแห่งจิต คือ อัปปิจฉกถา สันตุฏฐิกถา ปวิเวกกถา อสังสัคคกถา วิริยารัมภกถาสีลกถา สมาธิกถา ปัญญากถา วิมุตติญาณทัสสนกถา ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันเห็นอำนาจประโยชน์ แม้นี้แล จึงทำความนอบน้อมอย่างยิ่ง ถวายความนับถือ อันประกอบด้วยเมตตา เห็นปานนี้ ในพระผู้มีพระภาค
อีกประการหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ทรงเป็นผู้ได้ตามความปรารถนา ได้โดยไม่ยาก ไม่ลำบาก ซึ่งฌาน ๔ อันมีในจิตยิ่ง เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ หม่อมฉันเห็นอำนาจประโยชน์แม้นี้แล จึงทำความนอบน้อมอย่างยิ่ง ถวายความนับถือ อันประกอบด้วยเมตตาเห็นปานนี้ ในพระผู้มีพระภาค
อีกประการหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ทรงระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้างพันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอด สังวัฏฏกัป เป็นอันมากบ้าง ตลอด วิวัฏฏกัป เป็นอันมากบ้าง ตลอด สังวัฏฏวิวัฏฏกัป เป็นอันมากบ้างว่า ในภพโน้น เรามีชื่ออย่างนี้มีโคตรอย่างนี้ มีผิวพรรณอย่างนี้ มีอาหารอย่างนี้ เสวยสุข เสวยทุกข์อย่างนี้มีกำหนดอายุเพียงเท่านี้ ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้น เราก็เป็นผู้มีชื่อย่างนี้ มีโคตรอย่างนี้ มีผิวพรรณอย่างนี้ มีอาหารอย่างนี้เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนี้ มีกำหนด อายุเพียงเท่านี้ ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้มาเกิดในภพนี้ ทรงระลึกชาติก่อนได้เป็น อันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศด้วยประการฉะนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉัน เห็นอำนาจประโยชน์แม้นี้แลจึงทำความนอบน้อมอย่างยิ่ง ถวายความนับถือ อันประกอบด้วยเมตตาเห็นปานนี้ในพระผู้มีพระภาค
อีกประการหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ย่อมทรงเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุมนุษย์ ย่อมทรงรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมว่า สัตว์เหล่านี้ประกอบด้วย กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยะเจ้า เป็นมิจฉาทิฐิ ยึดถือการกระทำ ด้วยอำนาจมิจฉาทิฐิ เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงอบายทุคติ วินิบาต นรก ส่วนสัตว์เหล่านี้ ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียน พระ อริยะเจ้า เป็นสัมมาทิฐิ ยึดถือการกระทำ ด้วยอำนาจสัมมาทิฐิเมื่อตายไป ย่อมเข้าถึง สุคติโลกสวรรค์ ย่อมทรงเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ กำลังอุปบัติเลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุมนุษย์ ย่อมทรงรู้ชัด ซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมด้วยประการฉะนี้ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เห็น อำนาจประโยชน์แม้นี้แล จึงทำความนอบน้อมอย่างยิ่ง ถวายความนับถืออันประกอบ ด้วยเมตตา เห็นปานนี้ ในพระผู้มีพระภาค
อีกประการหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ทรงทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยพระปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เห็นอำนาจประโยชน์แม้นี้แล จึงทำความ นอบน้อมอย่างยิ่ง ถวายความนับถืออันประกอบด้วยเมตตาเห็นปานนี้ ในพระผู้มีพระภาค
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันเป็นผู้มีกิจมาก มีกรณียะมากขอถวาย บังคม ลาไป ณ บัดนี้ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรมหาบพิตร ขอมหาบพิตรทรงสำคัญกาล อันควรในบัดนี้เถิด ครั้งนั้นแล พระเจ้าปเสนทิโกสล เสด็จลุกขึ้นจากอาสน์ ถวายบังคม พระผู้มีพระภาค ทรงทำประทักษิณแล้ว เสด็จกลับไป |