เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
ค้นหาคำที่ต้องการ            

อริยวสสูตรที่ ๑ สูตรที่ ๒ ธรรม ๑๐ ประการ อันเป็นเครื่องอยู่ของพระอริยะ. ละนิวรณ์๕ ได้แล้ว ประกอบด้วยองค์๖ 2326
 

พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๔

อริยวส(อริยวาสสูตร) สูตรที่ ๑ สูตร๒ ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของพระอริยะ ๑๐ ประการ

๑ ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นผู้ละองค์ ๕ ได้แล้ว (ละนิวรณ์๕)
๒ ประกอบด้วยองค์ ๖ (สำรวมอายตนะ ๖)
๓ รักษาแต่อย่างเดียว
๔ มีธรรมเป็นที่พักพิง ๔ ประการ
๕ มีปัจเจกสัจจะบรรเทาได้แล้ว
๖ มีการแสวงหาอันสละเสียแล้วด้วยดี
๗ มีความดำริไม่ขุ่นมัว
๘ มีกายสังขารอันสงบระงับแล้ว
๙ มีจิตหลุดพ้นแล้วด้วยดี
๑๐ มีปัญญาอันหลุดพ้นแล้วด้วยดี

เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 
รวมพระสูตรบุคคลสำคัญ
พระโมคคัลลานะ
พระสารีบุตร
พระเทวทัต
นิครนถ์ปริพาชก
พระมหากัปปินะ
พระอนุรุทธะ
พระอุบาลี
(ดูทั้งหมด)
 
สารบาญพระไตรปิฎก
เล่มที่ ๘-๓๓ (๒๕ เล่ม) ทุกพระสูตร
1. ฉบับหลวง
2. ฉบับมหาจุฬาฯ
3. อรรถกถาไทย
4. ฉบับภาษาบาลี
5. อรรถกถา-บาลี
6. Pali Roman (Roman Script)
7. Atthakatha PaliRoman
 

 


 


พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๓-๓๔

อริยวส(อริยวาสสูตร)สูตรที่ ๑
ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของพระอริยะ

            [๑๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเป็นที่อยู่แห่งพระอริยะ ที่พระอริยะอยู่แล้วก็ดี (อดีต)กำลังอยู่ก็ดี(กำลังปฎิบัติในปัจจุบัน) จักอยู่ก็ดี(อนาคต) ๑๐ ประการนี้

๑๐ ประการเป็นไฉน คือ
๑ ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นผู้ละองค์ ๕ ได้แล้ว (ละนิวรณ์๕)
๒ ประกอบด้วยองค์ ๖ (สำรวมอายตนะ ๖)
๓ รักษาแต่อย่างเดียว
๔ มีธรรมเป็นที่พักพิง ๔ ประการ
๕ มีปัจเจกสัจจะบรรเทาได้แล้ว
๖ มีการแสวงหาอันสละเสียแล้วด้วยดี
๗ มีความดำริไม่ขุ่นมัว
๘ มีกายสังขารอันสงบระงับแล้ว
๙ มีจิตหลุดพ้นแล้วด้วยดี
๑๐ มีปัญญาอันหลุดพ้นแล้วด้วยดี

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเป็นที่อยู่แห่งพระอริยะ ที่พระอริยะอยู่แล้วก็ดี กำลังอยู่ก็ดีจักอยู่ก็ดี ๑๐ ประการนี้แล


-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๔-๓๗

อริยวสสูตรที่ ๒
ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของพระอริยะ

            [๒๐] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ที่นิคมของชาวกุรุ ชื่อกัมมาสธรรม ในแคว้นกุรุ ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้น ทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเป็นที่อยู่แห่งพระอริยะ ที่พระอริยะอยู่แล้วก็ดี กำลังอยู่ก็ดี จักอยู่ก็ดี ๑๐ ประการนี้

๑๐ ประการเป็นไฉน คือ
๑ ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นผู้ละองค์ ๕ ได้แล้ว (นิวรณ์๕)
๒ ประกอบด้วยองค์ ๖
๓ รักษาแต่อย่างเดียว
๔ มีธรรมเป็นที่พักพิง ๔ ประการ
๕ มีปัจเจกสัจจะบรรเทาได้แล้ว
๖ มีการแสวงหาอันสละแล้วด้วยดี
๗ มีความดำริไม่ขุ่นมัว
๘ มีกายสังขารอันสงบระงับแล้ว
๙ มีจิตหลุดพ้นแล้วด้วยดี
๑๐ มีปัญญาอันหลุดพ้นแล้วด้วยดี

          (๑)  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้ละองค์ ๕ (นิวรณ์๕) ได้แล้วอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ละกามฉันทะได้แล้ว ๑ เป็นผู้ละพยาบาทได้แล้ว ๑ เป็นผู้ละ ถีนมิทธะได้แล้ว ๑ เป็นผู้ละอุทธัจจกุกกุจจะได้แล้ว ๑ เป็นผู้ละวิจิกิจฉาได้แล้ว ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้ละองค์ ๕ ได้แล้วอย่างนี้แล

          (๒)  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ อย่างไร (สำรวมอินทรีย์๖ หรืออายตนะ๖) ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว เป็นผู้ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ มีอุเบกขา มีสติมีสัมป ชัญญะอยู่ ฟังเสียงด้วยหู ... ดมกลิ่นด้วยจมูก ... ลิ้มรสด้วยลิ้น ... ถูกต้องโผฏฐัพพะ ด้วยกาย ... รู้แจ้งธรรมด้วยใจแล้ว เป็นผู้ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ อย่างนี้แล

           (๓) ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้รักษาแต่อย่างเดียว อย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ประกอบด้วยใจอันรักษาด้วยสติ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้รักษาแต่อย่างเดียว อย่างนี้แล

           (๔) ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้มีธรรมเป็นที่พักพิง ๔ ประการอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาแล้วย่อมเสพของอย่างหนึ่ง พิจารณาแล้วย่อมอดกลั้นของ อย่างหนึ่ง พิจารณาแล้วย่อมเว้นของอย่างหนึ่ง พิจารณาแล้วย่อมบรรเทาของอย่างหนึ่ง ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้มีธรรมเป็นที่พักพิง ๔ ประการอย่างนี้แล

            (๕) ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้มีปัจเจกสัจจะ บรรเทาแล้วอย่างไร ปัจเจกสัจจะ เป็นอันมากเหล่าใดเหล่าหนึ่งของสมณพราหมณ์เป็นอันมาก คือ สัจจะ ว่าโลกเที่ยงบ้าง โลกไม่เที่ยงบ้าง โลกมีที่สุดบ้าง โลกไม่มีที่สุดบ้าง ชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้นบ้าง ชีพเป็นอื่น สรีระเป็นอื่นบ้าง สัตว์เมื่อตายไปย่อมเป็นอีกบ้าง สัตว์เมื่อ ตายไปย่อมไม่เป็นอีกบ้าง สัตว์เมื่อตายไปย่อมเป็นอีกก็มี ย่อมไม่เป็นอีกก็มีบ้าง สัตว์เมื่อตายไป ย่อมเป็นอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เป็นอีกก็หามิได้บ้าง สัจจะเหล่านั้น (ที่เป็นของสมณะพราหมณ์เหล่าอื่น) ทั้งหมด เป็นของอันภิกษุในธรรมวินัยนี้บรรเทาได้แล้ว กำจัดออกแล้วสละได้แล้ว คลายได้แล้ว พ้นได้แล้ว ละได้แล้ว สลัดได้เฉพาะแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้มีปัจเจกสัจจะ อันบรรเทาได้แล้วอย่างนี้แล

           (๖) ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้มีการแสวงหา อันสละได้แล้วด้วยดี อย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ละการแสวงหากามได้แล้ว เป็นผู้ละการแสวงหาภพ ได้แล้ว เป็นผู้สงบระงับการแสวงหาพรหมจรรย์ได้แล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้มี การ แสวงหา อันสละได้แล้วด้วยดีอย่างนี้แล

           (๗) ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้มีความดำริไม่ขุ่นมัวอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ละความดำริในกามได้แล้ว เป็นผู้ละความดำริในพยาบาท ได้แล้ว เป็นผู้ละความ ดำริ ในวิหิงสาได้แล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้มีความ ดำริไม่ขุ่นมัวอย่างนี้แล

           (๘) ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้มีกายสังขาร สงบระงับแล้วอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์และดับ โสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้มีกายสังขารอันสงบระงับแล้ว อย่างนี้แล

          (๙)  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้มีจิตอันหลุดพ้นแล้วด้วยดีอย่างไร จิตของภิกษุ ในธรรมวินัยนี้ เป็นธรรมชาติ หลุดพ้นแล้วจากราคะ หลุดพ้นแล้วจากโทสะ หลุดพ้นแล้ว จากโมหะ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้มีจิตอันหลุดพ้นแล้วด้วยดี อย่างนี้แล

          (๑๐)  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้มีปัญญาหลุดพ้นแล้ว ด้วยดีอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมรู้ชัดว่า ราคะเราละได้แล้ว ตัดรากได้ขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือน ตาลยอดด้วน ทำให้ไม่มี มีอันไม่เกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นธรรมดา ย่อมรู้ชัดว่า โทสะเรา ละได้แล้ว ฯลฯ ย่อมรู้ชัดว่า โมหะเราละได้แล้ว ตัดรากได้ขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาล ยอดด้วน ทำให้ไม่มี มีอันไม่เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้มี ปัญญา อันหลุดพ้นแล้วด้วยดีอย่างนี้แล

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็พระอริยเจ้าเหล่าใดเหล่าหนึ่งในอดีตกาลอยู่อาศัยแล้ว ซึ่งธรรมเป็นที่อยู่ของพระอริยเจ้า ๑๐ ประการเหล่านี้เทียว พระอริยเจ้าเหล่าใด เหล่าหนึ่ง ในอนาคตกาล จักอยู่อาศัย ซึ่งธรรมเป็นที่อยู่ของพระอริยเจ้า ๑๐ ประการ เหล่านี้เทียว พระอริยเจ้าเหล่าใดเหล่าหนึ่งในปัจจุบันนี้ อยู่อาศัยซึ่งธรรมเป็นที่อยู่ของ พระอริยเจ้า พระอริยเจ้าเหล่านั้นทั้งหมด ย่อมอยู่อาศัยซึ่งธรรม เป็นที่อยู่ของ พระอริยเจ้า ๑๐ ประการเหล่านี้เทียว

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเป็นที่อยู่ของพระอริยเจ้า ที่พระอริยเจ้าอยู่อาศัยแล้ว ก็ดี กำลังอยู่อาศัยก็ดี จักอยู่อาศัยก็ดี๑๐ ประการนี้แล

 



หนังสือพุทธวจน ธรรมะของพระศาสดา
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์