พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๗-๑๘
เสนาสนสูตร
องค์ประกอบของเสนาสนะ
[๑๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ เสพอยู่ คบอยู่ซึ่ง เสนาสนะ อันประกอบด้วยองค์ ๕ ไม่นานนัก พึงทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะ มิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ อย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้
๑ เป็นผู้มีศรัทธา คือ เชื่อพระปัญญาตรัสรู้ของตถาคต ว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาค พระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ทรงถึงพร้อมด้วยวิชชา และจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก ทรงเป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดา ของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม ๑
๒ เป็นผู้มีอาพาธน้อย มีโรคเบาบาง ประกอบด้วยไฟธาตุสำหรับย่อยอาหาร สม่ำเสมอ ไม่เย็นจัด ไม่ร้อนจัด เป็นปานกลางควรแก่การบำเพ็ญเพียร ๑
๓ เป็นผู้ไม่โอ้อวด ไม่มีมารยา ทำตนให้เปิดเผยตามความเป็นจริง ในศาสดาหรือ ในเพื่อนพรหมจรรย์ ที่เป็นวิญญู ๑
๔ ปรารภความเพียร เพื่อละอกุศลธรรม เพื่อยังกุศลธรรมให้ถึงพร้อม เป็นผู้มีกำลัง มีความบากบั่นมั่นคง ไม่ทอดธุระในกุศลธรรมทั้งหลาย ๑
๕ เป็นผู้มีปัญญา คือ ประกอบด้วยปัญญา ที่เห็นความเกิด และความดับ เป็นอริยะ เป็นเครื่องชำแรกกิเลสให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ อย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เสนาสนะอันประกอบด้วยองค์ ๕ อย่างไร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เสนาสนะในธรรมวินัยนี้ อยู่ไม่ไกลนัก ไม่ใกล้นัก สมบูรณ์ ด้วยทางไปมา กลางวันไม่เกลื่อนกล่น กลางคืนเงียบเสียง ปราศจากเสียงอึกทึกมี เหลือบ ยุง ลม แดด และสัมผัสแห่งสัตว์เลื้อยคลานน้อย ๑
จีวร บิณฑบาตเสนาสนะ และเภสัชบริขารอันเป็นปัจจัยแห่งคนไข้ ย่อมเกิดขึ้น โดยไม่ฝืดเคืองแก่ภิกษุผู้อยู่ในเสนาสนะนั้น ๑
ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นพระเถระ เป็นพหูสูต ชำนาญคัมภีร์ ทรงธรรม ทรงวินัย ทรง มาติกา อยู่ในเสนาสนะนั้น ๑
ภิกษุนั้นเข้าไปหาพระเถระเหล่านั้นตามกาลอันสมควร แล้วย่อมสอบถาม ไต่ถาม ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้อนี้เป็นอย่างไร เนื้อความของข้อนี้เป็นอย่างไร ๑
ท่านพระเถระเหล่านั้น ย่อมเปิดเผยข้อที่ยังไม่ได้เปิดเผย ย่อมทำให้ง่ายซึ่งข้อ ที่ยังไม่ได้ทำให้ง่าย ย่อมบรรเทาความสงสัยในธรรม เป็นที่ตั้งแห่งความสงสัยแก่ภิกษุ นั้น ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เสนาสนะอันประกอบด้วยองค์ ๕ อย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ เสพอยู่ คบอยู่ ซึ่งเสนาสนะ อันประกอบด้วยองค์ ๕ ไม่นานนัก ก็พึงทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะ มิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๘-๑๙
อังคสูตร
[๑๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ละองค์ ๕ ได้แล้ว เป็นผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ บัณฑิตเรียกว่า ผู้ประกอบด้วยคุณทั้งมวล ผู้อยู่จบพรหมจรรย์ เป็นอุดมบุรุษ ในธรรมวินัยนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้ละองค์ ๕ (นิวรณ์) ได้แล้วอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เป็นผู้ละกามฉันทะได้แล้ว ๑
ละพยาบาทได้แล้ว ๑
ละถีนมิทธะได้แล้ว ๑
ละอุทธัจจกุกกุจจะได้แล้ว ๑
ละวิจิกิจฉาได้แล้ว ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุละองค์ ๕ ได้แล้วอย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ อย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ประกอบด้วย ศีลขันธ์ อันเป็นของพระอเสขบุคคล ๑
ประกอบด้วย สมาธิขันธ์ อันเป็นของพระอเสขบุคคล ๑
ประกอบด้วย ปัญญาขันธ์ อันเป็นของพระอเสขบุคคล ๑
ประกอบด้วย วิมุตติขันธ์ อันเป็นของพระอเสขบุคคล ๑
ประกอบด้วย วิมุตติญาณทัสสนขันธ์ อันเป็นของพระอเสขบุคคล ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้ประกอบ ด้วยองค์ ๕ อย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ละองค์ ๕ ได้แล้ว ผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ บัณฑิต เรียกว่า ผู้ประกอบด้วยคุณทั้งมวล ผู้อยู่จบพรหมจรรย์ เป็นอุดมบุรุษ ในธรรมวินัยนี้
กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ และ วิจิกิจฉา ย่อมไม่มีแก่ภิกษุ โดยประการทั้งปวงเทียว ภิกษุผู้ เช่นนั้นสมบูรณ์ด้วยศีลอันเป็นของพระอเสขะ ด้วยสมาธิ อันเป็นของพระอเสขะ ด้วยปัญญาอันเป็นของพระอเสขะ ด้วยวิมุตติอันเป็นของพระ อเสขะ และด้วยวิมุตติญาณทัสสนะ อันเป็นของพระอเสขะ ภิกษุนั้นแล เป็นผู้ละองค์ ๕ สมบูรณ์ แล้วด้วยองค์ ๕ ภิกษุนั้นแล บัณฑิตเรียกว่า ผู้ประกอบ ด้วยคุณทั้งมวล ในธรรมวินัยนี้
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๙
สังโยชนสูตร
[๑๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังโยชน์ ๑๐ ประการนี้ ๑๐ ประการเป็นไฉนคือ สังโยชน์เป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ ๕ ประการ สังโยชน์เป็นไปในส่วนเบื้องบน๕ ประการ
สังโยชน์เป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ ๕ ประการเป็นไฉน คือ สักกายทิฐิ ๑ วิจิกิจฉา ๑ สีลพัตตปรามาส ๑ กามฉันทะ ๑ พยาบาท ๑ สังโยชน์เป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ ๕ ประการนี้
สังโยชน์เป็นไปในส่วนเบื้องบน ๕ ประการเป็นไฉน คือ รูปราคะ ๑ อรูปราคะ ๑ มานะ ๑ อุทธัจจะ ๑ อวิชชา ๑ สังโยชน์เป็นไปในส่วนเบื้องบน ๕ ประการนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังโยชน์ ๑๐ ประการนี้แล
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๗-๒๘
อาหุเนยยสูตร
[๑๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๑๐ จำพวกนี้ เป็นผู้ควรของคำนับ เป็นผู้ควรของต้อนรับ เป็นผู้ควรของทำบุญ เป็นผู้ควรทำอัญชลี เป็นนาบุญ ของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า
๑๐ จำพวกเป็นไฉน คือ
พระตถาคต อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑
พระปัจเจกสัมพุทธเจ้า ๑
ท่านผู้เป็นอุภโตภาควิมุต ๑ (พระอรหันต์)
ท่านผู้เป็นปัญญาวิมุต ๑ (ผู้หลุดพ้นด้วยปัญญา)
ท่านผู้เป็นกายสักขี ๑ (สัมผัสวิโมกข์)
ท่านผู้เป็นทิฏฐิปัตตะ ๑ (อริยบุคคลทั้ง๔)
ท่านผู้เป็นสัทธาวิมุต ๑ (หลุดพ้นด้วยศรัทธา)
ผู้เป็นธัมมานุสารี ๑ (ผู้แล่นไปตามธรรม)
ท่านผู้เป็นสัทธานุสารี ๑ (ผู้แล่นไปตามศรัทธา)
ท่านผู้เป็นโคตรภู ๑ (ภิกษุประเภทปุถุชน)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๑๐ จำพวกนี้แล เป็นผู้ควรของคำนับ ฯลฯ เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า
|