| พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๓ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๖๙-๓๗๐
 สิลายูปสูตรที่ ๑จิตที่อบรมแล้วย่อมรู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว
 
               [๒๒๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในกาลใดแล ภิกษุอบรมจิตให้ดีด้วยปัญญา ในกาลนั้น ควรเรียกภิกษุนั้นว่า ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี                ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุอบรมจิตให้ดี ด้วยปัญญาอย่างไร 
                                ภิกษุอบรมจิต ให้ดี ด้วยปัญญาอย่างนี้ว่า
 จิตของเราปราศจากราคะแล้ว
 จิตของเราปราศจากโทสะแล้ว
 จิตของเราปราศจากโมหะแล้ว
 จิตของเราไม่มีราคะเป็นธรรมดา
 จิตของเราไม่มีโทสะเป็นธรรมดา
 จิตของเราไม่มีโมหะเป็นธรรมดา
 จิตของเราไม่เวียนมาเพื่อรูปราคะเป็นธรรมดา
 จิตของเราไม่เวียนมา เพื่ออรูปราคะเป็นธรรมดา
 
 ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในกาลใดแล ภิกษุอบรมจิตให้ดี ด้วยปัญญาแล้ว ในกาลนั้น ควรเรียกภิกษุนั้นว่า ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มี
 -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
 พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๓ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๗๐-๓๗๒
 สิลายูปสูตรที่ ๒จิตที่อบรมแล้วเปรียบด้วยเสาหินยาว ๑๖ ศอก
 
               [๒๓๐] สมัยหนึ่ง ท่านพระสารีบุตร และท่านพระจันทิกาบุตรอยู่ ณพระวิหาร เวฬุวัน กลันทกนิวาปสถาน ใกล้พระนครราชคฤห์ ณ ที่นั้นแล ท่านพระจันทิกาบุตร กล่าวกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรอาวุโสทั้งหลาย พระเทวทัตย่อมแสดงธรรมแก่ภิกษุ ทั้งหลายอย่างนี้ว่า               ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ในกาลใดแล ภิกษุอบรมจิตด้วยจิต ในกาลนั้น ควร พยากรณ์ ภิกษุนั้นว่า ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี                เมื่อท่านพระจันทิกาบุตร กล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวกะท่าน พระจันทิกาบุตรว่า ดูกรอาวุโสจันทิกาบุตร พระเทวทัตมิได้แสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้ว่า               ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ในกาลใดแล ภิกษุอบรมจิตด้วยจิต ในกาลนั้น ควร พยากรณ์ ภิกษุนั้นว่า ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้วพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ดูกรอาวุโสจันทิกาบุตร แต่พระเทวทัต แสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลายอย่างนี้ว่า               ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ในกาลใดแล ภิกษุอบรมจิตให้ดีด้วยจิต ในกาลนั้น ควรพยากรณ์ภิกษุนั้นว่า ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี                แม้ครั้งที่ ๒ ...                แม้ครั้งที่ ๓ ท่านพระจันทิกาบุตร กล่าวกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรอาวุโส ทั้งหลาย พระเทวทัตย่อมแสดงธรรม แก่ภิกษุทั้งหลายอย่างนี้ว่า ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ในกาลใดแล ภิกษุอบรมจิตด้วยจิต ในกาลนั้น ควรพยากรณ์ภิกษุนั้นว่า ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็น อย่างนี้มิได้มี แม้ครั้งที่ ๓ ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวกะท่านพระจันทิกาบุตรว่า ดูกรอาวุโสจันทิกาบุตร พระเทวทัตมิได้แสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลายอย่างนี้ว่า               ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ในกาลใดแล ภิกษุอบรมจิตด้วยจิต ในกาลนั้น ควร พยากรณ์ภิกษุนั้นว่า ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้วพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ดูกรอาวุโสจันทิกาบุตร แต่พระเทวทัต แสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลายอย่างนี้ว่า              ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ในกาลใดแล ภิกษุอบรมจิตให้ดีด้วยจิต ในกาลนั้น ควรพยากรณ์ภิกษุนั้นว่า ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี                ดูกรอาวุโส ก็ภิกษุอบรมจิตให้ดี ด้วยจิตอย่างไร คือ อบรมจิตให้ดีด้วยจิตอย่างนี้ว่าจิตของเราปราศจากราคะแล้ว
 จิตของเราปราศจากโทสะแล้ว
 จิตของเราปราศจากโมหะแล้ว
 จิตของเราไม่มีราคะเป็นธรรมดา
 จิตของเราไม่มีโทสะเป็นธรรมดา
 จิตของเราไม่มีโมหะเป็นธรรมดา
 จิตของเราไม่เวียนมาในกามภพเป็นธรรมดา
 จิตของเราไม่เวียนมาในรูปภพเป็นธรรมดา
 จิตของเราไม่เวียนมาในอรูปภพเป็นธรรมดา
              ดูกรอาวุโส ถึงแม้ รูป ที่จะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุอย่างหยาบๆ ผ่านมาทางคลอง จักษุ แห่งภิกษุผู้มีจิตหลุดพ้นโดยชอบอย่างนี้ รูปเหล่านั้นก็ครอบงำจิตเธอไม่ได้ จิต ของเธอ ไม่เจือด้วยรูปเหล่านั้น เป็นจิตมั่น ถึงความไม่หวั่นไหว และเธอย่อมพิจารณา เห็นความ เสื่อมไปแห่งรูปนั้น ถึงแม้เสียง ที่จะพึงรู้แจ้งด้วยหู ฯลฯ
 กลิ่น ที่จะพึงรู้แจ้งด้วยจมูก ฯลฯ
 รส ที่พึงจะรู้แจ้งด้วยลิ้น ฯลฯ
 โผฏฐัพพะ ที่จะพึงรู้แจ้งด้วยกาย ฯลฯ
 ธรรมารมณ์ ที่จะพึงรู้แจ้งด้วยใจ อย่างหยาบๆ ผ่านมาทางคลองใจแห่งภิกษุ ผู้มีจิต หลุดพ้นโดยชอบอย่างนี้ธรรมารมณ์นั้น ก็ครอบงำจิตของเธอไม่ได้ จิตของเธอไม่เจือ ด้วยธรรมารมณ์นั้นเป็นจิตมั่น ถึงความไม่หวั่นไหว และเธอย่อม พิจารณาเห็นความเสื่อม ไป แห่งธรรมารมณ์นั้น
              ดูกรอาวุโส เปรียบเหมือนเสาหิน ยาว ๑๖ ศอก หยั่งลงไปในหลุม ๘ ศอก ข้างบนหลุม ๘ ศอก ถึงแม้ลมพายุอย่างแรง พัดมาทางทิศบูรพาเสาหินนั้น ไม่พึง สะเทื้อน สะท้านหวั่นไหว ถึงแม้ลมพายุอย่างแรงพัดมาทางทิศประจิม ทิศอุดร ทิศทักษิณ เสาหินนั้นก็ไม่พึงสะเทื้อนสะท้านหวั่นไหวข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะหลุมลึก และเพราะเสาหินฝังลึก ฉันใด               ดูกรอาวุโสฉันนั้นเหมือนกันแล ถึงแม้รูปที่จะพึงรู้แจ้ง ด้วยจักษุอย่างหยาบๆ ผ่านมาทางคลองจักษุแห่งภิกษุ ผู้มีจิตหลุดพ้น โดยชอบอย่างนี้ ก็ครอบงำจิตของเธอ ไม่ได้ จิตของเธอไม่เจือด้วยรูปเหล่านั้น เป็นจิตมั่น ถึงความไม่หวั่นไหว และเธอย่อม พิจารณาเห็นความเสื่อมไปแห่งรูปนั้น ถึงแม้เสียง ที่จะพึงรู้แจ้งด้วยหู ฯลฯ กลิ่นที่จะพึงรู้แจ้งด้วยจมูก ฯลฯ รสที่จะพึงรู้แจ้งด้วยลิ้น ฯลฯ โผฏฐัพพะ ที่จะพึงรู้แจ้งด้วย กาย ฯลฯ ธรรมารมณ์ ที่จะพึงรู้แจ้งด้วยใจอย่างหยาบๆ ผ่านมาทางคลองใจแห่งภิกษุ ผู้มีจิตหลุดพ้นโดยชอบอย่างนี้ ก็ครอบงำจิตของเธอไม่ได้ จิตของเธอไม่เจือด้วย ธรรมารมณ์นั้น เป็นจิตมั่น ถึงความไม่หวั่นไหว และเธอย่อมพิจารณาเห็นความเสื่อมไป แห่งธรรมารมณ์นั้น |