พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๓ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๒๓-๓๒๕
สัมโพธิสูตร
การตรัสรู้ธรรม
[๒๐๕] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก เศรษฐีใกล้พระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชก พึงถามอย่างนี้ว่า ดูกรอาวุโส ทั้งหลาย อะไรเป็นเหตุ ให้ธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งธรรมเครื่อง ตรัสรู้เจริญ เธอทั้งหลาย ถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงพยากรณ์แก่อัญญเดียรถีย์ ปริพาชกเหล่านั้น ว่าอย่างไร ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมของข้าพระองค์ ทั้งหลาย มีพระผู้มีพระภาคเป็นมูล ฯลฯภิกษุทั้งหลายได้ฟังต่อพระผู้มีพระภาค แล้วจัก ทรงจำไว้ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้น เธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกพึงถามอย่างว่า ดูกรอาวุโสทั้งหลาย อะไรเป็นเหตุให้ธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งธรรมเครื่องตรัสรู้เจริญ เธอทั้งหลายถูกถามอย่างนี้แล้วพึงพยากรณ์แก่ อัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้น อย่างนี้ว่า
(ภิกษุพึงเจริญธรรม ๕ ประการ)
(๑) ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี ดูกรอาวุโสทั้งหลาย นี้เป็นเหตุข้อที่ ๑ ให้ธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งธรรมเครื่องตรัสรู้ เจริญ
(๒) อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้มีศีล สำรวมระวังในปาติโมกข์ ถึงพร้อมด้วย อาจาระ และโคจร มีปกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบท ทั้งหลาย ดูกรอาวุโสทั้งหลาย นี้เป็นเหตุข้อที่ ๒ ให้ธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งธรรม เครื่องตรัสรู้เจริญ
(๓) อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้ได้ตามความปรารถนา ได้โดยไม่ยาก ไม่ลำบาก ซึ่งกถาเห็นปานนั้น อันเป็นไปเพื่อขัดเกลากิเลส เป็นที่สบายในการเปิดจิต คือ อัปปิจฉกถา สันตุฏฐิกถา ปวิเวกกถา อสังสัคคกถา วิริยารัมภกถาทั้งหลาย นี้เป็นเหตุ ข้อที่ ๓ ให้ธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งธรรมเครื่องตรัสรู้เจริญ
(๔) อีกประการหนึ่ง ภิกษุผู้ปรารภความเพียร เพื่อละอกุศลธรรม เพื่อความถึง พร้อม แห่งกุศลธรรม เป็นผู้มีกำลัง มีความบากบั่นมั่นคง ไม่ทอดทิ้งธุระในกุศลธรรม ดูกรอาวุโสทั้งหลาย นี้เป็นเหตุข้อที่ ๔ ให้ธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งธรรมเครื่องตรัสรู้เจริญ
(๕) อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้มีปัญญา ประกอบด้วยปัญญา เครื่องพิจารณา เห็น ความเกิดและความดับ เป็นอริยะ ชำแรกกิเลสให้ถึงความสิ้นทุกข์ โดยชอบ ดูกรอาวุโสทั้งหลาย นี้เป็นเหตุข้อที่ ๕ ให้ธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งธรรมเครื่องตรัสรู้เจริญ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี พึงหวังข้อนี้ได้คือ ตนจัก เป็นผู้มีศีล จักสำรวมระวังในปาติโมกข์ ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจรมีปกติ เห็นภัย ในโทษเพียงเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย
จักเป็นผู้ได้ตามความปรารถนา ได้โดยไม่ยาก ไม่ลำบากซึ่งกถา อันเป็นไปเพื่อ ขัดเกลากิเลส เป็นที่สบายในการเปิดจิต คือ อัปปิจฉกถา สันตุฏฐิกถา ปวิเวกกถา อสังสัคคกถา วิริยารัมภกถา สีลกถา สมาธิกถา ปัญญากถา วิมุตติกถา วิมุตติญาณทัสนกถา (รวม ๑๐ กถา) *
จักเป็นผู้ปรารภความเพียร เพื่อละอกุศลธรรม เพื่อความถึงพร้อมแห่งกุศลธรรม เป็นผู้มีกำลัง มีความบากบั่นมั่นคง ไม่ทอดธุระในกุศลธรรม
จักเป็นผู้มีปัญญา ประกอบด้วยปัญญา เครื่องพิจารณาเห็นความเกิดและ ความดับ เป็นอริยะ ชำแรกกิเลส ให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ
(ภิกษุพึงเจริญธรรม ๔ ประการ)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แหละภิกษุนั้นตั้งอยู่ในธรรม ๕ ประการนี้แล้ว พึงเจริญธรรม ๔ ประการให้ยิ่งขึ้นไป คือ
๑ พึงเจริญอสุภะเพื่อละราคะ
๒ พึงเจริญเมตตา เพื่อละความพยาบาท
๓ พึงเจริญอานาปานสติเพื่อเข้าไปตัดวิตก
๔ พึงเจริญอนิจจสัญญา เพื่อถอนอัสมิมานะ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนัตตสัญญา ย่อมปรากฏแก่ภิกษุผู้ได้อนิจจสัญญา ผู้ที่ได้อนัตตสัญญา ย่อมบรรลุนิพพาน อันถอนเสียได้ซึ่งอัสมิมานะในปัจจุบันทีเดียว
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
* กถาวัตถุ ๑๐ ถ้อยคำอะไรที่ภิกษุไม่ควรพูด และถ้อยคำอะไรที่ภิกษุควรพูด
๑. อปฺปิจฺฉกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้มีความปรารถนาน้อย
๒. สนฺตุฏฐิกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้สันโดษ
๓. ปวิเวกกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้สงัด
๔. อสํสคิคกถา ถ้อยคำชักนำไม่ให้ระคนด้วยหมู่
๕. วิริยารมฺภกถา ถ้อยคำชักนำให้ปรารภความเพียร
๖. สีลกถา ถ้อยคำชักนำให้ตั้งอยู่ในศีล
๗. สมาธิกถา ถ้อยคำชักนำให้ทำใจให้สงบ
๘. ปญฺญากถา ถ้อยคำชักนำให้เกิดปัญญา
๙. วิมุติติกถา ถ้อยคำชักนำให้ทำใจให้พ้นจากกิเลส
๑๐.วิมุตติญาณทสฺสนกถา ถ้อยคำชักนำให้เกิดความรู้ความเห็นในการพ้นจากกิเลส
|